- ช่วงนี้ ผมงดดูข่าวชั่วคราว และฟังข่าวแค่แบบผ่าน ๆ แค่กันไม่ให้ตกข่าวที่สำคัญกว่า ไม่ได้สนใจตัวบุคคลเลยครับ
- ใกล้ปีใหม่ เสริมสิริมงคลให้ชีวิต
- คิดสิ่งดี ๆ และเลี่ยงความอัปมงคลให้ไกล ๆ จะทำให้สุขภาพจิตไม่เสียครับ
ผมไปดูหนัง The Warlords (3 อหังการ์ เจ้าสุริยา) เมื่อคืนก่อน หลังทราบผลการเลือกตั้ง
ไปดูหนัง เพื่ออยากรู้ว่า หนัง กับ ชีวิตจริง อะไร น่ากลัวกว่า
หนังเรื่องนี้ แสดงถึงด้านที่โหด และมืดมิด ของคน
เรื่องไม่ซับซ้อน ชายสามคนสาบานเป็นพี่น้อง อยู่เป็นโจรไม่มีกิน ไปเป็นทหารรับจ้าง มีผู้หญิง (เมียพี่รอง) เป็นชนวนเหตุของการฆ่าฟันตอนจบ โดยพี่ใหญ่วางแผนฆ่าพี่รอง แล้วพี่ใหญ่ ก็โดนหักหลังจากเบื้องบนอีกต่อ
อารมณ์ของการถ่ายภาพ ก็เป็นแนว noir คือ มืดมัว หนักอึ้ง กดดัน
ใครขวัญอ่อนไม่ควรดูครับ เพราะฉากฆ่าฟันนี่ ดิบ เถื่อน จริง ๆ ประเภท "สลัดอวัยวะ" นี่ มีให้เห็นไม่หยุด
เรื่องนี้ ดาราตีบทแตก
ตัวละครที่โดดเด่นสุด อาจเป็นเจ๊ต ลี ที่แสดงเป็นพี่ใหญ่
พี่ใหญ่ เป็นพวกสมอง แยกขาดจากอารมณ์ และมีสองบุคลิก (ไม่รู้ว่า เป็นจิตเภทไหม คือ double standard แบบมาตรฐานโลก) คือ มองเรื่องคนอื่นด้วยเหตุผล ด้วยการคาดคำนวณว่า ทำอย่างนี้ ๆ จะมี calculated risk ยังไง ในสถานการณ์หนึ่ง ฆ่าไม่ปราณี ในอีกสถานการณ์หนึ่ง ช่วยเหลืออย่างไม่คิดชีวิต เพื่อ minimize จำนวนคนตายรวม
แต่พอมาถึงเรื่องของตัวเอง (เรื่องผู้หญิง) เหตุผลที่ใช้กับคนอื่นเรื่องเดียวกันเป็นตุเป็นตะ โยนทิ้งเกลี้ยง
เป็นกระจกสะท้อนให้กลับมามองตัวเองได้ดี ว่า เอ๊ะ เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า คือ (ir)rationalization (สีข้าง สามารถใช้แทนอาวุธ โดยการถู) ที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอีกอย่าง
ทั้งสาม อาสาศึก ตระเวนก่อสงครามไปทั่ว แต่พอหมดประโยชน์ เขาก็สอยทิ้ง
เป็นตัวอย่างของการฉลาดลึก ในเรื่องสงครามฆ่าฟัน
แต่โง่กว้าง ในเรื่องที่ใหญ่กว่าขึ้นไปอีกชั้น คือ อ่อนหัดทางการเมือง อ่านเกมส์ไม่ออกว่าตนเองถูกหลอกใช้ทั้งเรื่อง
ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก เป็นทอด ๆๆ
ไทเฮา หลอกใช้ขันที (แต่ขันทีฉลาด เลยอยู่แบบซิมไบโอสิสได้ เป็นแบบ ฉลาดลึก และไม่โง่)
ขันที หลอกใช้พี่ใหญ่
พี่ใหญ่ หลอกใช้พี่รอง-น้องเล็กอีกที โดยใช้ความสัมพันธ์พี่น้องร่วมสาบาน
แม้หนังจะหนัก โหด แต่ดูหนังแล้ว ผมเฉย ๆ เพราะรู้ว่า นี่คือหนัง ความรู้สึกคือ surreal เป็นเรื่องหลุดจากความจริง
ผมอาจจะนิสัยเสีย ดูหนังแบบไม่อิน ดูแบบศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคนต่อคน และดู effect ว่า น่าตะลึงขนาดไหน ศึกษามุมกล้อง ตระหนักว่า "เป็นหนัง" ตลอดเวลา
แต่ออกจากโรง ฟังข่าวหน่อยเดียว แน๊...มือเท้า...ไหงอ่อนระทวยซะได้เนาะแฮะ
แสดงว่าข่าวน่ากลัว สยดสยองกว่าเยอะ ของจริงเลยล่ะ
กลับมาอ่านสองบล็อกนี้ ทำให้นึกถึงหนังที่เพิ่งดู และเลยฉุกคิดถึงวลี "ฉลาดลึก แต่โง่กว้าง" ของท่าน "คนไร้กรอบ" ขึ้นมา
พอไหว พอไหว » ประเทศไทยรวย แต่ใช้เงินไม่เป็น (เรื่องวิจัย)
ของขวัญจากวันวาน » คนไทยจบแค่ชั้นประถม ฯ ? (เรื่องการศึกษา)
โชะเลย..
สองบล็อกนี้ ดูเผิน ๆ เป็นคนละเรื่องกัน
ด้านหนึ่ง วิจัย
ด้านหนึ่ง การศึกษา
แต่แกนเรื่องไม่ต่างกันเลยครับ
โดยภาพรวม เป็นเรื่องเล่าถึง "การฉลาดลึก แต่โง่กว้าง" ในระดับประเทศ เหมือนในหนัง The Warlords เปี๊ยบ
ไม่ได้เกิดในคน ที่ฉลาดเรื่องจิ๊บจ๊อย โง่เรื่องใหญ่ (ฟังดูแล้วนึกถึงคำแซวเกี่ยวกับ "สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ซะมี" เลยแฮะ)
แต่เกิดในสิ่งที่เราเรียกว่า "สังคม"
คือ เรากำลังมุ่งไปสู่การที่สร้างคนจำนวนน้อยให้กลายเป็นยอดมนุษย์ และคนจำนวนมาก ถูกทิ้งให้เป็นกากเดนอย่างไม่แยแส
..ด้วยการอัดฉีดให้กระจุกเล็ก ๆ แล้วปล่อยให้หย่อมใหญ่เฉาแห้งกรัง
ในเรื่องของการเรียน เรามีระบบประกันคุณภาพมากมาย แต่เด็กจำนวนมาก จบชั้นประถมปลาย อ่านหนังสือแทบไม่ออก ครู early retire เยอะจนต้องมีการติดเบรก
น่าคิดนะครับ ว่าทำไมคนที่ทำงาน ทำไมทำแล้วไม่มีความสุข ดิ้นรน early retire ?
คุณ เม้ง สมพร ช่วยอารีย์ ตั้งคำถามตบท้ายในบล็อกที่ท่าน อ.ธวัชชัยพูดถึงเรื่องงานวิจัยว่า
"ในขณะที่เราสอบได้รางวัลติดโอลิมปิกทุกๆ ปี แต่มีนักเรียนเป็นแสนคนไม่สามารถเรียนได้จบประถมเป็นแสนคนในแต่ละปี"
ส่วนประเด็นที่ ดร.ธวัชชัยยกขึ้นมากล่าวถึง ก็คือ "นโยบายของประเทศเรา จะสร้างยอดมนุษย์เพียงหยิบมือ แล้วที่เหลือ อ่อนปวกเปียก หรือควรจะสร้างคนเก่งพอสมควร ให้มีเต็มประเทศ ?"
ทั้งสองเรื่อง เป็นปรากฎการณ์ที่ ประเทศทั้งประเทศ ฉลาดลึก และโง่กว้าง
นี่แหละครับ สยองขวัญของจริง ที่จริงแท้แน่นอน ไม่ใช่ surreal
กราดเกรี้ยวสยองขวัญ ใครว่าต้องหลั่งเลือดเสมอไป ?
สวัสดีครับท่านอาจารย์
กราบสวัสดี อาจารย์อีกรอบครับ
คุณเม้ง สมพร ช่วยอารีย์ ครับ
สวัสดีค่ะอ.วิบุล
เห็นโผเมื่อคืนแล้วไม่ทราบว่าจะนัวร์มากขึ้นหรือกลายเป็นไนท์แมร์นะคะ ...
สวัสดีครับ คุณเบิร์ด
สะท้อนถึงอะไร ?