ข้อคิดเห็น ยิ่งใหญ่ ในบล็อกเล็ก ๆ


ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ได้ให้ความกรุณาเข้ามาอ่านบันทึก เรื่อง "พาเด็ก ๆ ไปร่วมงาน "ญี่ปุ่น" ที่จุฬาฯ" และแสดงข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ผมจึงขอถือเป็นโอกาสอันดียกขึ้นมาเป็นบันทึกฉบับใหม่...

ทำธุรกิจยอดเยี่ยมอย่างหมู่บ้านอุมะจิ 

หมู่บ้านญี่ปุ่นกำลังพังทลาย สหกรณ์การเกษตรกำลังถูกควบรวมมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หมู่บ้านอุมะจิกลับสามารถยืนหยัดสวนกระแสอยู่ได้ เรื่องนี้จึงน่าศึกษายิ่ง ผมได้รับทราบข่าวว่ามีการจัดสัมมนาเกี่ยวกับหมู่บ้านนี้จึงไปฟังเมื่อวันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2550 ผมยังได้ซื้อหนังสือชื่อ ประสบการณ์ยิ่งใหญ่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งเขียนถ่ายทอดประสบการณ์ของหมู่บ้านนี้โดยคุณมาซาฮิโกะ โอโตชิ และได้รับการแปลถ่ายทอดเป็นไทยโดยคุณมุทิตา พานิช <3> มาอ่านเพิ่มเติมด้วย

เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้

 

 

 เพื่อเป็นการอ้างอิง พึงทราบว่าหนังสือเล่มนี้เขียนในปี 2541 ข้อมูลส่วนใหญ่จึงเป็นในปีดังกล่าว และเพื่อความสะดวกในการอ้างอิง ในบทความนี้จะมีตัวเลขในวงเล็บปรากฏอยู่หลังข้อความเป็นระยะ ๆ ตัวเลขดังกล่าวก็คือเลขหน้าในหนังสือดังกล่าวนั่นเอง เช่น (65) คือ อ้างอิงหลักฐานในหน้า 65 เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีตัวเลข <1>ถึง <5> ซึ่งเป็นเชิงอรรถอ้างอิงในบทความนี้เอง

 

ในหนังสือเล่มนี้ อาจกล่าวถึงความดี ความน่ารัก น่าชัง อุดมคติและความรื่นรมย์ต่าง ๆ เช่น วัฒนธรรมที่น่ายกย่องของหมู่บ้านในการเรียกชื่อตัว แทนการเรียกชื่อสกุล (281) ปกติผู้ชายญี่ปุ่นชอบให้เรียกชื่อสกุลมากกว่า ส่วนผู้หญิงมักให้เรียกชื่อตัว แต่ที่หมู่บ้านนี้ทุกคนเรียกขานกันด้วยชื่อตัวเหมือนกันหมด การให้ความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์โดยเน้นการสร้างหมู่บ้านที่ต้องเริ่มต้นที่การสร้างคนก่อน (220) การดำเนินการต่าง ๆ ควรเน้นให้ชุมชนริเริ่มเอง หากเป็นการริเริ่มโดยบุคคลภายนอก ก็มักจะไม่สำเร็จ (197) ฯลฯ แต่ สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้กลับอยู่ที่การทำธุรกิจอย่างมืออาชีพ จนประสบความสำเร็จและถ่ายทอดมาเป็นหนังสือเล่มนี้

มารู้จักหมู่บ้านอุมะจิ

ก่อนที่จะไปถึงประเด็นหลักของหนังสือ สิ่งที่พึงทำความเข้าใจอันดับแรกก็คือตัวหมู่บ้านนี้ก่อน หมู่บ้านนี้อยู่กลางหุบเขา ในจังหวัดโคจิ เกาะชิโกกุ อยู่ในป่า จึงมีชื่อหมู่บ้านที่แปลว่าบ้านทางม้า คือมีแต่ใช้ม้าเท่านั้นจึงจะเข้าถึงหมู่บ้านนี้ได้ (2) มีเนื้อที่ 165 ตารางกิโลเมตร (65) แต่ 97% ของพื้นที่หมู่บ้านนี้เป็นภูเขา (2) ป่าในแถบนี้ถือเป็นเขตป่าที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น (233)

ตัวหมู่บ้านตั้งอยู่ห่างไกลตัวเมืองโดยใช้เวลาเดิน ทางโดยรถแท็กซี่ประมาณ 2 ชั่วโมง เสียค่าโดยสารถึง 18,000 เยน (68) หรือประมาณ 5,200 บาท และหากเทียบว่ารายได้ต่อหัวของญี่ปุ่นสูงกว่าไทย 3.64 เท่า <4> แล้ว ค่าแท็กซี่ดังกล่าวจะเทียบในสถานการณ์ของไทยก็คงเป็นเงินประมาณ 1,400 บาท หรือเท่ากับค่าแท็กซี่จากกรุงเทพมหานครไปพัทยานั่นเอง ซึ่งนับว่าไกลทีเดียว

ประชากรที่นี่มีเพียง 1,117 คน หมู่บ้านนี้เคยมีประชากรสูงสุดถึง 3,500 คนในสมัยอุตสาหกรรมป่าไม้รุ่งเรือง (2) ข้อมูล ณ ปี 2541 นี้แบ่งประชากรเป็นเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี 15% เป็นคนชรา อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป 27% นอกนั้นเป็นบุคคลในวัยทำงานอายุ 15-64 ปี 58% (65) แต่ปัจจุบัน ณ ปี 2550 จำนวนผู้สูงอายุมากขึ้นถึงประมาณหนึ่งในสามแล้ว แสดงว่าสังคมของหมู่บ้านนี้แก่ลง แม้จะมีความพยายามนำคนรุ่นใหม่ย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านหรือนำคนท้องถิ่น กลับหมู่บ้านก็ตาม

ประชากรข้างต้น แบ่งออกเป็น 524 ครอบครัว หรือครอบครัวละ 2.4 คน (62) แยกเป็นครอบครัวเกษตร 170 ครอบครัว (271) หรือ 32% ของครอบครัวทั้งหมด ครอบครัวเหล่านี้ปลูกส้มยูสุในพื้นที่ประมาณ 42 เฮคตาร์หรือ 262.5 ไร่ (271) ซึ่งก็น่าแปลกที่พื้นที่เพาะปลูกส้มมีจำกัดแต่กลับส่งออกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับส้มไปนอกหมู่บ้านได้มหาศาล

หมู่บ้านนี้แบ่งแรงงานออกเป็นแรงงาน จากภาคอุตสาหกรรมประมาณ 39% ภาคเกษตรกรรม 22% และภาคบริการ 39% (65) โดยผลผลิตของภาคอุตสาหกรรมเป็นเงิน 3,775 ล้านเยน ณ ปี 2538 และผลผลิตของภาคบริการเป็นเงิน 500 ล้านเยน ณ ปี 2541 (65) ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่ากิจกรรมหลักของหมู่บ้านนี้คืออุตสาหกรรม ไม่ใช่เกษตรกรรม

ในญี่ปุ่น หมู่บ้านเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือ อปท. ปี 2541 ญี่ปุ่นมี อปท. อยู่ 3,232 แห่ง ระดับต่ำสุดของ อปท. ก็คือหมู่บ้าน ซึ่งมี 570 แห่ง (1) แต่ละ อปท. มีการเลือกผู้ใหญ่บ้าน ส่วนตำแหน่งอื่น ๆ เป็นข้าราชการประจำ (219) ณ ปี 2550 มี อปท. ที่เป็นหมู่บ้านเหลือไม่ถึง 200 แห่งแล้ว แต่หมู่บ้านนี้ยังยืนหยัดอยู่ได้

ว่าด้วยผลิตภัณฑ์ส้มยูสุ

ผลิตภัณฑ์ส้มยูสุของโรงงานมีมูลค่าสูงถึง 1,830 ล้านเยน ส่งถึงลูกค้า 250,000 รายในปี 2540 (4) และเพิ่มเป็น 350,000 คนในปี 2550 พนักงานโรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากจำนวน 37 คนในปี 2540 (4) ก็เพิ่มเป็นเกือบ 90 คนในปี 2550 โดยเป็นพนักงานหญิงเกือบ 40 คน กระบวนการผลิตน้ำส้มก็ห่วงใยสิ่งแวดล้อม ส้มยูสุเมื่อนำมาคั้น 85% จะเป็นกาก (257) นำไปทำปุ๋ยได้ ดังนั้นจึงเกิดขยะน้อยมาก หมู่บ้านนี้มีโรงงานทำปุ๋ยจากกากส้มตั้งแต่ปี 2539 (259)

ในความเป็นจริง ผลผลิตส้มจากจังหวัดอื่นอาจมีชื่อเสียงกว่าที่หมู่บ้านนี้ (192) ผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นจากหมู่บ้านอื่นที่ขายได้ดีกว่าก็ยังมี เช่น หยาดน้ำจากป่า ซึ่งผลิตขายได้ถึง 400,000 ขวดต่อปี (190) แม้ผลิตภัณฑ์หมู่บ้านนี้จะไม่ใช่อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น เป็นเพียงอันดับต้น ๆ ของจังหวัด (24) แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ก็เพราะความเป็นมืออาชีพในการบริหารธุรกิจโดยแท้ สินค้าที่จะประสบความสำเร็จ จึงไม่จำเป็นต้องมีรสชาติอันดับหนึ่ง แต่อยู่ที่การบริหารที่ดีเยี่ยมต่างหาก

ด้วยความสำเร็จทางธุรกิจเช่นนี้ สหกรณ์การเกษตรของหมู่บ้านนี้จึงไม่ควบรวมทั้งที่สหกรณ์ 13 แห่งในอำเภอนี้ได้ควบรวมกันในปี 2541 (5) ในญี่ปุ่นสหกรณ์การเกษตรเกิดขึ้นในปี 2491 ซึ่งเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุครุ่งโรจน์เคยมีเจ้าหน้าที่รวมกันถึง 22,000 คน อย่างไรก็ตามในปี 2541 สหกรณ์เหล่านี้เหลือเพียง 1,800 แห่งและได้รับการตั้งเป้าให้ลดเหลือเพียง 500 แห่งในปี 2543

ส้มยูสุเพื่อการพึ่งตนเอง

ในช่วงที่เป็นหมู่บ้านอุตสาหกรรมทำไม้ (9) หมู่บ้านนี้พึ่งพิงรัฐเพียงอย่างเดียว จนมาตกต่ำสุดขีดเมื่อปี 2532 เมื่อบริษัททำไม้ล้มละลาย (219) ดังนั้นหมู่บ้านนี้จึงต้องหาทางออกใหม่ เช่น การแปรรูปไม้เป็นกระเป๋าหรือผลิตภัณฑ์อื่นส่งไปขายทั่วโลก และการส่งเสริมการปลูกส้มยูสุ ตลอดจนการก่อสร้างโรงแรมน้ำแร่ร้อนในหมู่บ้านเพื่อทดแทนอุตสาหกรรมป่าไม้ ที่ร่วงโรยไป (270)

สำหรับโรงแรมน้ำแร่ร้อนของหมู่บ้าน ปรากฏว่ามีรายได้ปีละ 150 ล้านเยน มีผู้ใช้บริการ 40,000 คน ณ 2541 และเป็น 50,000 คนในปี 2550 โดยพักค้างคืน 7,100 คนต่อปี ณ ปี 2541 (71) รวมแล้วมีผู้ใช้โรงแรมนี้นับล้านคนแล้ว

อย่างไรก็ตามการส่งเสริมการปลูกส้มชนิดนี้กันอย่าง ขนานใหญ่ในแถบตะวันตกของญี่ปุ่น ทำให้เกิดภาวะล้นตลาดในปี 2522 (10) หมู่บ้านก็ยิ่งหดตัวลงอีก การทำอะไรตาม ๆ กันจึงไม่ใช่หนทางแห่งความสำเร็จ ดังนั้นการเรียนรู้เพื่อการทำธุรกิจที่เป็นมืออาชีพของหมู่บ้านจึงได้เริ่ม ขึ้น

กลยุทธ์ธุรกิจที่พึงเรียนรู้

ดังที่ได้นำเสนอไว้แต่แรก สิ่งสำคัญที่พึงเรียนรู้จากหนังสือนี้ก็คือการทำธุรกิจแบบมืออาชีพของหมู่บ้าน ความสำเร็จของหมู่บ้านนี้ไม่ใช่มาจากความพยายามแบบมวยวัดแต่เป็นการหยั่ง รู้จริงของการบริหารและจัดการธุรกิจอย่างเป็นระบบที่ควรค่าแก่การศึกษายิ่ง

กลยุทธ์ธุรกิจในที่นี้ขอจัดเรียงเป็นข้อ ๆ เพื่อให้เห็นชัดเจนดังนี้ :

  1. กลยุทธ์สำคัญในการจำหน่ายสินค้า ส่วนหนึ่งมาจากการขายตรง (167) และการวางขายตามร้าน (22) เพื่อให้สามารถขายได้กำไรสูงสุดเพราะเน้นการติดต่อตรงระหว่างผู้ผลิตกับผู้ บริโภค ลูกค้าจำนวนถึง 350,000 รายคงพอเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จตามกลยุทธ์นี้ได้

  2. การวิจัย เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่เสมอ เช่น แต่เดิมแถบนี้ก็มีการผลิตน้ำส้ม แต่เป็นแบบเข้มข้นที่ต้องละลายน้ำ ผู้ซื้อเองก็อาจกะปริมาณน้ำที่จะผสมไม่ถูก รสชาติก็อาจเปลี่ยนไป หมู่บ้านนี้จึงคิดสูตรน้ำส้มแบบพร้อมดื่ม (26) ซึ่งเป็นผลจากการวิจัยอย่างหนัก แต่การวิจัยก็ต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง เช่น มีลูกค้าบ่นว่ายูสุดองเค็มรสชาติแย่ลงและแนะนำให้ถอดออกจากชุดของขวัญที่ เสนอขาย ผู้บริหารจะต้องใช้วิจารณญาณพิจารณาให้ดีว่าจริงหรือไม่ ไม่ใช่สักแต่เชื่อแต่ข้อมูลดิบเสมอไป (153) การส่งเสริมการขายที่ควรดำเนินการก็คือการลงทุนออกร้านซึ่งแต่ละครั้งก็มี ต้นทุนประมาณ 200,000 - 300,000 เยน (11) ไม่ใช่ไปขอทางห้างร้านหรือรัฐบาลอุปถัมภ์ ในการออกร้านยังมีหลักการสำคัญคือ นอกจากขายน้ำส้มแล้วยังมีซูชิขายด้วย (17) เพื่อจูงใจให้ลูกค้าเข้าร้าน อย่างไรก็ตามการออกร้านซึ่งมักต้องเกี่ยวข้องกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่นั้น ผู้ทำธุรกิจก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของห้างเหล่านี้ด้วย ตัองระวังเรื่องปริมาณการสั่งซื้อที่อาจมากเกินความสามารถในการผลิต เรื่องการดึงให้ผู้ผลิตเข้าร่วมสงครามราคา รวมทั้งกำหนดการส่งสินค้าที่แน่นอน ไม่ยืดหยุ่น เป็นต้น (23)

  3. การลงทุนว่าจ้างมืออาชีพมาดำเนินการ (ไม่ใช่ไปขอแรงฟรี) สินค้าดีต้องอยู่ในรูปโฉมที่ดีด้วย ดังนั้นการออกแบบฉลาก (28) และหีบห่อจึงมีความสำคัญและควรใช้มืออาชีพ (89) แม้ผู้ที่เป็นนาย-นางแบบโฆษณาจะเป็นคนท้องถิ่นโดยเฉพาะเด็กก็ตาม (49) การคิดคำขวัญก็มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คำขวัญของน้ำส้มยูสุของหมู่บ้านนี้ได้รับการโฆษณาจนผู้คนจำขึ้นใจ (103) นอกจากนี้การทำใบปลิว โปสเตอร์ (107) ก็ควรใช้บริการมืออาชีพที่มีหลักวิชาที่ถูกต้องเช่นกัน

  4. การลงทุนในสื่อ ก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ไม่ใช่แบมือขอฟรี สื่อหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามก็คือหนังสือพิมพ์ หมู่บ้านนี้ทำ หนังสือพิมพ์ยูสุ ซึ่งคงออกรายสะดวกแต่มีจำนวนพิมพ์ถึง 30,000 ฉบับต่อครั้ง (166) หมู่บ้านนี้ยังรู้จักลงทุนโฆษณาทางโทรทัศน์ (33) ในปี 2532 เคยโฆษณาแบบปูพรมใช้เงินถึง 2,500,000 เยน ยิงโฆษณาไปถึง 250 ครั้ง (102) จนมีอำนาจต่อรองกับสถานีโทรทัศน์ เช่น เมื่อมีการเปิดโทรทัศน์ช่องใหม่ ทางหมู่บ้านยังสามารถออกค่าติดตั้งเสาอากาศรับภาพถึง 40 ล้านเยนเพื่อให้เด็ก ๆ และนักท่องเที่ยวที่มาพักในโรงแรมของหมู่บ้านได้ดูรายการโทรทัศน์ (163)

  5. ความทันสมัย เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หมู่บ้านนี้ทันสมัยทันโลก ไม่ปฏิเสธเทคโนโลยี รู้จักใช้คอมพิวเตอร์ (36) นอกจากนี้ยังสร้างโฮมเพจเผยแพร่ข่าวสารไปได้ทั่วโลกอีกด้วย (243)

  6. การสานสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ก็เป็นกลยุทธ์สำคัญ เช่นกัน หมู่บ้านนี้แม้ไม่มีกอล์ฟ แต่ผู้บริหารก็เอาใจลูกค้าโดยพาไปตกปลาแทน (252) กลยุทธ์การสานสัมพันธ์อีกอย่างหนึ่งก็คือการดูงาน ณ ปี 2541 มีคนไปดูงานที่หมู่บ้านนี้ถึง 2,000 คนต่อปี (205) การที่มีหน่วยงานต่าง ๆ มาดูงาน ก็เป็นการประชาสัมพันธ์ที่ดีของหมู่บ้าน จึงควรต้อนรับอย่างเต็มใจ นอกจากนี้หมู่บ้านนี้ยังผูกใจลูกค้าด้วยการจัดส่งบัตรอวยพรไปให้ลูกค้าอยู่ เนือง ๆ (275) แม้จะเสียเวลาและค่าใช้จ่ายบ้าง แต่ก็คุ้มค่าในระยะยาว

  7. กลยุทธ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การหาเครื่องหมายรับรอง เช่น การยืมมือผู้มีชื่อเสียงมาสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น ครั้งหนึ่งมกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่นก็เคยเสวยน้ำส้มของหมู่บ้านนี้มาแล้ว (80) นอกจากนี้การแสวงหารางวัลเกียรติยศ ก็เป็นการสร้างหลักประกันของแบรนด์ทางหนึ่ง การได้รับรางวัลจะก็เป็นการช่วยกระตุ้นยอดขาย เช่น ส้มยูสุในหมู่บ้านนี้ได้รางวัลชั้นทองในการประกวดผลิตภัณฑ์จาก 101 หมู่บ้านในปี 2531 (15) หรือรางวัลการเกษตรอาซาฮี (38) ถือเป็นใบเบิกทางสำคัญในการสร้างความเชื่อถือแก่ลูกค้า พอแบรนด์ติด มีชื่อเสียง ก็จะมีโอกาสดี ๆ ตามเข้ามา เช่น มีห้างร้านต่าง ๆ อยากได้สินค้าไปวางขายเพิ่มขึ้น (22) หรือบริษัทผลิตขวดก็วิ่งเข้ามาหา (29) เป็นต้น

  8. สิ่งที่ถือว่าเป็นกลยุทธ์สุดยอดก็คือ เรื่องของพิธีกรรม เช่น ในเมืองหนึ่งที่ผลิตแตงกวาได้เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ จะมีเทศกาลจักรพรรดิแตงกวา มีการปลุกเสกแตงกวาเพื่อความเป็นสิริมงคล (191) นี่คือการโฆษณาด้วยการสร้างบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ การใช้บรรยากาศเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากไม่มีบรรยากาศมาประกอบด้วยแล้ว น้ำส้มของหมู่บ้านนี้ก็ เป็นแค่เครื่องดื่มธรรมดา (192)

  9. ความสำเร็จของหมู่บ้านนี้นอกจากอยู่ที่กลยุทธ์ข้างต้น ยังอยู่ที่การบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ต้องมีทรัพยากรบุคคลเพียงพอและมีระบบองค์กรที่ดี (157) หมู่บ้านนี้ยังสอนว่าผู้ทำธุรกิจที่ดีต้องพิจารณาการขยายตลาดอยู่เสมอ (25) ไม่ใช่อ้าง พอเพียง อย่างหลับหูหลับตา นอกจากนี้การที่หมู่บ้านนี้ได้รับการเขียนเป็นหนังสือเล่มหนึ่งออกมา หนังสือเล่มนี้ก็กลับกลายเป็นเครื่องเสริมบารมี ทำให้หมู่บ้านนี้ยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นนั่นเอง

สร้างจุดขายให้เหมาะสม

ในญี่ปุ่นอาจมีส้มอื่นที่อร่อยกว่าส้มยูสุ แต่ส้มยูสุมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอันถือเป็นจุดขายของส้ม กล่าวคือการปลูกส้มยูสุในหมู่บ้านนี้และหมู่บ้านอื่นบนเกาะนี้ก็มีความ เกี่ยวพันกับราชวงศ์ญี่ปุ่นในสมัยโบราณที่หลบหนีภัยการเมืองมาอยู่บนเกาะนี้ (3) อย่างไรก็ตามสินค้าเกษตรอื่น ๆ อาจไม่มีจุดขายข้อนี้ แต่ก็ต้องพยายามค้นหาจุดขายในแง่ของตนเองให้พบจึงจะประสบความสำเร็จ

จุดขายของตัวหมู่บ้านเองคือความเป็นบ้านนอก (90, 190) บ้านนอกยังมี บางสิ่งที่เมืองใหญ่ทำหายไป (194) อย่างถนนทางเข้าหมู่บ้านที่คับแคบ แรก ๆ ชาวบ้านก็อยากให้ทางการช่วยขยายถนนให้ แต่เมื่อพบว่านักท่องเที่ยวชอบใจที่มายากแบบมาชนบท จึงได้คิดและไม่ต้องการถนนขนาดใหญ่อีกต่อไป ยิ่งกว่านั้นในบางแห่งมีการทำสะพานเข้าไปถึงหมู่บ้านห่างไกล กลับยิ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้คนในหมู่บ้านย้ายหนีออกกันเสียอีก (172)

ความพยายามที่ไร้ผล

โดยที่ประชากรในหมู่บ้านนี้ลดลงเรื่อย ๆ แนวทางหนึ่งในการเพิ่มประชากรก็คือการจัดทัวร์หาคู่ให้ผู้ชายในหมู่บ้าน โดยในปี 2541 ได้ดำเนินการมาเป็นครั้งที่ 7 แล้ว โดยประสบความสำเร็จ 11 คู่ หมู่บ้านชนบทอื่น ๆ ก็ดำเนินการเช่นนี้ แต่ส่วนมากก็ไม่ได้ผล กลายเป็นโอกาสเที่ยวราคาถูกของสาว ๆ จากในเมืองมากกว่า (230)

นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมปลูกและดูแลรักษาป่า (261) รวมทั้งโครงการประชากรพิเศษในหมู่บ้านทำการรับสมัครทางอินเตอร์เน็ต รวมทั้งการฟื้นฟูการเดินรถไฟที่แต่เดิมใช้เพื่อการขนส่งไม้มาเป็นการบริการ ช่วงสั้น ๆ เพื่อการท่องเที่ยว (233)

อย่างไรก็ตามแนวทางข้างต้นก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จนัก ธรรมชาติได้กำหนดให้หมู่บ้านนี้มีขนาดเล็กให้สอดคล้องกับปริมาณงานอาชีพใน หมู่บ้าน นี่เป็นเรื่องของ economy of scale ประจักษ์หลักฐานก็คือการไหลออกของประชากรอย่างต่อเนื่องจากที่เคยมีอยู่ 3,500 คนในสมัยรุ่งเรืองสุดขีดจากการทำไม้ เหลือเพียง 1,269 คน ในปี 2541 (2) และ 1,117 คนในปี 2550 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอาจมีคนย้ายเข้ามาบ้าง แต่โดยที่ตัวเลขกลับลดลงก็แสดงว่าปริมาณการไหลออกมีมากกว่าการรับเข้า

ในสหรัฐอเมริกา มีเมืองหรือหมู่บ้านที่เรียกว่า ghost town หรือ เมืองผี หลายต่อหลายแห่งที่ร้างไป <5> เมืองเหล่านี้แต่เดิมเป็นแหล่งทำเหมืองแร่ต่าง ๆ ต่อเมื่อแร่หมด ประชากรก็ย้ายออกไป เมืองก็ร้าง แต่ในกรณีหมู่บ้านอุมะจิ ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ยอมย้าย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะวัฒนธรรมแบบตะวันออกที่ผูกพันกับถิ่นที่อยู่ หมู่บ้านนี้จึง (ยัง) ไม่ร้างไป

หมู่บ้านนี้เป็นข้อยกเว้น

หมู่บ้านนี้เป็นข้อยกเว้นที่เลียน แบบได้ยาก ลุงโตทานิซึ่งเป็นละครตัวเอกในท้องเรื่อง และเป็นผู้มีชีวิตจริง บอกว่าการพัฒนาแบบญี่ปุ่นที่รวมกันในเมืองใหญ่ไม่ดี แต่คุณลุงอาจมองแบบแยกส่วน เพราะหากไม่มีเมืองใหญ่ ผลิตภัณฑ์ของหมู่บ้านนี้จะขายได้อย่างไร หมู่บ้านนี้จะมีเสน่ห์ได้อย่างไร ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ของหมู่บ้านนี้มักส่งไปขายที่โตเกียวและโอซา ก้าซึ่งเป็นนครขนาดใหญ่

ในญี่ปุ่น ภาคเกษตรกรรมมีขนาดเล็กมาก ญี่ปุ่นสามารถผลิตอาหารได้เพียง 42% ของความต้องการ (269) และยิ่งมีการเปิดตลาดการค้าเสรี ภาคเกษตรกรรมของญี่ปุ่นก็จะยิ่งอ่อนแอลงเนื่องจากความสามารถในการแข่งขัน ที่จำกัด แต่จุดแข็งสำคัญของญี่ปุ่นก็คืออุตสาหกรรมอันยิ่งใหญ่ แม้แต่กิจการแปรรูปสินค้าเกษตรส้มยูสุก็ไม่อาจถือเป็นงานเกษตรกรรมโดยตรง แต่เป็นอุตสาหกรรมแปรรูปเกษตร หากไม่มีการแปรรูปหรือมีเพียงการปลูกข้าว หมู่บ้านนี้ก็คงไม่สามารถอยู่รอดได้

ความดีอย่างเดียวไม่พอ

หนังสือเล่มนี้อาจให้แง่มุมของความ ดี ความมุมานะ ความน่ารัก น่าชัง อุดมคติต่าง ๆ แต่นั่นไม่ใช่สาระหลัก ชุมชนที่เน้นเฉพาะความดีเป็นหลัก ไทยเราก็มี เช่น ชุมชนลัทธิศาสนาบางแห่ง สาระหลักอยู่ที่หมู่บ้านนี้สามารถยืดหยัดต้านกระแสการพังทลายด้วยการทำ ธุรกิจอย่างมืออาชีพ หนังสือเล่มนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากหมู่บ้านนี้มีแต่ความดีและอุดมคติลอย ๆ โดยไม่ประสบความสำเร็จในการบริหารธุรกิจ การบริหารธุรกิจระดับหมู่บ้านญี่ปุ่นแห่งนี้ ไม่ได้ยืนอยู่บนระบบอุปถัมภ์หวังผลประโยชน์ซ่อนเร้นต่างตอบแทน และก็ไม่ใช่ประเภทบริษัทเท่าทุน-ขาดทุน แต่หมู่บ้านนี้มุ่งเน้นผลกำไรอย่างชัดเจนและมุ่งหวังการขยายตัวทางธุรกิจ อยู่เสมอ

อย่าลืมว่าความดีไม่ได้อยู่โดด ๆ ความดีต้องอยู่คู่ความสามารถด้วย มรรคผลจากความสามารถล้วนเกิดจากความเพียร การใฝ่ศึกษา วิจัยหาความรู้และนำความรู้มาปฏิบัติอย่างไม่ย่อท้อ ไม่สะดุดกับคำว่า พอเพียง หรือไม่แสวงหากำไร การอ้างเช่นนี้อาจมีวาระชั่วร้ายซ่อนเร้นเพื่อปกปิดความไร้สามารถของผู้บริหารองค์กรว่าไม่สามารถทำกำไรได้ดี

อ้างอิง:

<1> ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ ขณะนี้ยังเป็นกรรมการหอการค้าไทย สาขาอสังหาริมทรัพย์ ผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ (IAAO) ประจำประเทศไทย และกรรมการบริหาร ASEAN Association for Planning and Housing Email: [email protected]

<2> มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มุ่งให้ความรู้แก่สาธารณชนด้านการประเมินค่า ทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมือง ปัจจุบันเป็นองค์กรสมาชิกหลักของ FIABCI ประจำประเทศไทย ถือเป็นองค์กรเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่มีกิจกรรมคึกคักที่สุดแห่งหนึ่ง ในประเทศไทยจนได้รับความเชื่อถือจากนานาชาติ โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.thaiappraisal.org

<3> หนังสือประสบการณ์ ยิ่งใหญ่ในหมู่บ้านเล็ก ๆซึ่งเขียนโดยคุณมาซาฮิโกะ โอโตชิ และได้รับการแปลถ่ายทอดเป็นไทยโดยคุณมุทิตา พานิช สำนักพิมพ์สวนเงินมีมา มีนาคม 2549. 283 หน้า

<4> รายได้ประชาชาติต่อหัวของไทยคือปีละ 9,100 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ญี่ปุ่นสูงถึง 33,100 เหรียญสหรัฐ โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมจาก https://www.cia.gov/cia/publications/factbook

<5> โปรดอ่านข่าว New Mexico former mining town for sale ข่าว CNN 6 มกราคม 2546 เคย link ได้ที่ http://www.cnn.com/2003/US/Southwest/01/06/town.sale.ap (ขณะนี้เข้าไม่ได้แล้ว)

คำสำคัญ (Tags): #ดร.โสภณ พรโชคชัย
หมายเลขบันทึก: 83518เขียนเมื่อ 12 มีนาคม 2007 17:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:52 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ตามมาอ่านครับ ขอบคุณที่เอาเรื่องดีๆมาฝาก ต้องไปหาหนังสือนี้มาอ่านซะแล้ว

คุณประยงค์ รณรงค์ เคยเล่าให้ฟังว่า สหกกรณ์ในเยอรมันก็โดนปัญหาโลกาภิวัฒน์ เล่นงานจนต้องควบรวม และจ้างมืออาชีพมาจัดการจนเกษตรกรหมดความเป็นเจ้าของไป ไม่รู้สถานการณ์ที่ญี่ปุ่นเป็นยังไง 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท