นอกจากเมตตาและกรุณาที่ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างไปแล้วในครั้งก่อน สิ่งที่เป็นพื้นฐานทางจิตใจหรืออุปนิสัยที่พึงปรารถนาซึ่งเรียกว่า คุณธรรม นี้มีมากมาย เช่น ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความตรงต่อเวลา ความเป็นผู้รู้อุปการคุณของผู้อื่น (กตัญญู) ความสุภาพอ่อนหวาน ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ความกล้าหาญ ความรู้จักพอประมาณไม่สุรุ่ยสุร่าย (มัธยัสถ์) ... ฯลฯ
จากบุคลสมมติในครั้งก่อน... สมมติต่อว่าใครคนนั้นเป็นนักศึกษา... เพราะมีน้ำใจพาคนแก่ข้ามถนนและช่วยแนะนำหนทางให้ฝรั่งนักท่องเที่ยว... ทำให้วันนั้น เขาจึงเข้าห้องเรียนสาย และเขาก็ไปสายหรือขาดเรียนเป็นประจำ....
เมื่ออาจารย์ตำหนิเรื่องการเข้าห้องเรียนสายของเขาวันนี้ เขาก็อ้างเหตุผลเบื้องต้นไปตามความจริง... อาจารย์จึงบอกว่า เธอก็มักอ้างแต่ความมีน้ำใจหรือความมีคุณธรรมทำนองนี้อยู่เสมอ แต่เธอขาดความรับผิดชอบในความเป็นนักศึกษา ความเป็นผู้ตรงต่อเวลาของเธอก็บกพร่อง นั่นคือ เธอไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี ไม่คำนึงถึงความเหมาะสม.... ทำนองนี้
ตามตัวอย่างที่ยกมาสั้นๆ จะเห็นได้ว่า คุณธรรมหลายๆ อย่างในโลกของความเป็นจริงแล้ว บ้างก็มีความขัดแย้งกันเอง บ้างก็กำหนดขอบเขตได้ยากว่าแต่ละอย่างควรจะมีมากน้อยเพียงไร....
...............
อุปนิสัยที่พึงปรารถนาซึ่งเรียกว่าคุณธรรมนี้ เมื่อพัฒนาไปสู่ขนบจารีตประเพณีแล้วก็ยิ่งเห็นความขัดแย้งได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น การครองชีวิตคู่ของชายหญิงซึ่งจะเรียกว่าระบบผัวเมียก็มีหลายแบบในโลกนี้
สังคมไทยทั่วไป ยอมรับระบบผัวเดียวเมียเดียว แม้ว่าระบบผัวเดียวหลายเมียจะมีอยู่ในสังคมแต่ก็พอจะยอมรับกันได้ ซึ่งต่างจากระบบเมียเดียวหลายผัวมักจะไม่เป็นที่ยอมรับกันในสังคมไทย.....
ตามที่พอฟังมาบ้าง สังคมตะวันออกกลางหรืออาหรับยอมรับระบบผัวเดียวหลายเมีย หรือในวัฒนธรรมอิสลามก็ยินยอมให้ผู้ชายมีเมียได้หลายคน....ส่วนธิเบตดินแดนหลังคาโลก มีระบบเมียเดียวหลายผัว...
อนึ่ง ระบบหลายผัวหลายเมียนั้น ผู้เขียนยังไม่เคยเจอว่าในสังคมหรือวัฒนธรรมใดบ้างที่ยอมรับเรื่องนี้ แต่จากการติดตามข่าวปัจจุบัน นักเรียนนักศึกษายุคนี้เช่าห้องมั่วกันอยู่ไม่รู้ว่าใครคู่กับใคร ก็น่าจะพอสงเคราะห์ว่าเป็นระบบหลายผัวหลายเมียได้เช่นกัน...
เมื่อนำแนวคิดเรื่องคุณธรรมเข้ามาจับเรื่องระบบผัวเมีย จะเห็นได้ว่าเป็นการยากที่จะยึดถือว่าระบบไหนพึงปรารถนากันแน่ ซึ่งนี้ก็เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งในเรื่องคุณธรรม...
.....
บางกลุ่มมีความคิดว่า คุณธรรมนี้เป็นเพียงค่านิยมที่ยอมรับกันในสังคมนั้นๆ เท่านั้น นั่นคือ การกำหนดว่าอุปนิสัยทำนองใดจะเป็นคุณธรรมได้ จะต้องพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น สังคม ศาสนา หรือยุคสมัย เป็นต้น.... แนวคิดนี้เรียกว่า สัมพัทธนิยมเชิงจริยะ (Ethical Relativism)
แม้ว่าคุณธรรมจะมีหลากหลาย ซึ่งอาจขัดแย้งกันบ้าง ดังคำพังเพยไทยๆว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก ขัดแย้งกับ ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม .... และแม้กรณีเหมือนกัน แต่เมื่อต่างสภาพแวดล้อมออกไป การกำหนดว่าสิ่งใดบ้างเป็นคุณธรรมก็อาจแตกต่างกันไป ดังเช่นระบบผัวเมีย เป็นต้น
แต่นักจริยศาสตร์บางท่านซึ่งได้ศึกษาเรื่องนี้ และมีความเห็นว่า แม้คุณธรรมอาจแตกต่างกันก็จริง แต่มีคุณธรรมบางอย่างที่ทุกสังคมล้วนมีความต้องการเหมือนกันหมด... ซึ่งประเด็นนี้ผู้เขียนจะนำมาเล่าในตอนต่อไป....
ไม่ได้โกรธอย่างเดียว...ฆ่ากันตายก็เพราะอ้างคุณธรรมที่ขัดแย้งกันอย่างนี้แหละครับ...พระอาจารย์...55555
เลยพาลให้ผมคิดว่า...คุณธรรม...เป็นได้แค่เพียงคำกล่าวอ้างของปุถุชนบนโลกใบนี้เท่านั้น...
ที่จริง คุณธรรม น่าจะเป็นสะพานเชื่อม ระหว่าง โลก กับ ธรรมะ ... นะครับพระอาจารย์...อิอิ
55555...พระอาจารย์อย่าจัด(การ)กระผมนะครับ...เดี๋ยวผมจัดเอง...อิอิ
โลก...ผมหมายถึง...ความเป็นไปของวงจรกิเลสอาสวะทั้งหลาย...หรืออาการที่คนตกอยู่ในวังวนกิเลสอาสวะ...ประมาณนี้(ยืมคำพระอาจารย์มาใช้...555)
ธรรมะ...ผมหมายถึง...ความรู้เท่าทันความเป็นไปแห่งความจริงอย่างยิ่ง... เช่นรู้เห็นและถอดถอนตนเองออกจากวงจรปฏิจจสมุทปบาท...ประมาณนี้...
ส่วนคุณธรรมนั้น...ตามที่พระอาจารย์อรรถาธิบายครับ...