วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๗ ในการประชุมคณะอนุกรรมการโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง ของสำนักครู ของ กสศ. มีการเสนอรายงานกิจกรรม “การจัดอบรมพัฒนาศึกษานิเทศก์แกนนำ และศึกษานิเทศก์ในระดับพื้นที่ในโครงการพัฒนาผู้นำการจัดการเรียนรู้และระบบนิเวศทางการศึกษา” ที่จัดโดยมูลนิธิเพื่อทักษะอนาคต เริ่มจากการอบรม ศน. ที่จะทำหน้าที่วิทยากรแกนนำ ๑๖ คน ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๗ หลังจากนั้นจะมีการจัดอบรม ศน. แต่ละพื้นที่ รวม ๔ ครั้ง โดยครั้งแรกจัดไปแล้วเมื่อวันที่ ๑ - ๔ เมษายน ๒๕๖๗ ที่จังหวัดเชียงใหม่ มี ศน. สังกัด สพฐ. จากเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง เข้าร่วม รวม ๑๙ คน
อ่านและฟังรายงานจากการประชุมแล้ว ผมคิดว่า เป็นโครงการที่มีเป้าหมายน่าชื่นชมมาก และการเน้นที่ประเด็นการเรียนรู้เชิงรุก และการจัดระบบนิเวศทางการศึกษา น่าจะเหมาะสมแล้ว และที่น่าชื่นชมยิ่งคือ โครงการนี้ออกแบบโดยทีมกลางที่ทำหน้าที่บริหาร ศน. ของ สพฐ. แต่ที่ไม่น่าชื่นชมคือ กสศ. เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่ผมมองว่าไม่น่าชื่นชมก็เพราะจะทำให้ กสศ. เป็นเจ้าของงาน แทนที่ สพฐ. จะเป็นเจ้าของงาน และส่งผลให้ไม่เกิดความต่อเนื่อง
แต่ผมยังคิดถึงความเสี่ยงที่ ศน. ในสังกัด สพฐ. ที่ได้รับการอบรม จะกลับไปประยุกต์ใช้ความรู้และเทคนิคที่ฝึกฝนมาได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากระบบการบริหารงานของ สพฐ. ก็ยังเป็นแบบเดิมๆ คือเน้นควบคุมและสั่งการ (ใช้อำนาจ) ดังนั้น ผมจึงมีข้อเสนอ (ไม่ทราบว่าจะเป็นข้อเสนอที่เร่อร่า หรือเหมาะสม) ว่า
ประเด็นที่ ๒ คือแนวทางทำหน้าที่ ศน. ที่เน้นเข้าไปร่วมเรียนรู้กับครู เชื่อมโยงการเรียนรู้ของครูต่างโรงเรียนในพื้นที่ของตน ตามในหนังสือ โรงเรียนเป็นชุมชนเรียนรู้ ไม่ใช่เข้าไป “นิเทศ” (supervise) ในฐานะผู้รู้ดีหรือรู้มากกว่าครู ประเด็นนี้ ในการประชุมมีการชี้แจงว่า จะเน้นให้ ศน. เข้าไปทำ reflective coaching จากการเข้าร่วมสังเกตชั้นเรียน ซึ่งสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของผม
กล่าวแบบขวานผ่าทราก (กราบขออภัยที่ใช้คำไม่สุภาพ) ได้ว่า ผู้นำการเรียนรู้ในที่นี้คือครู ไม่ใช่ ศน. หากหลงผิดว่า ศน. เป็นผู้นำการเรียนรู้ เราจะหลงทาง กลับไปเน้นการเรียนแบบถ่ายทอดความรู้ (passive learning) ไม่ใช่เรียนรู้เชิงรุก (active learning) ที่ต้องใช้หลักการและวิธีการ การเรียนรู้ ‘ขั้นสูง’ จากประสบการณ์ ที่เน้น experiential learning - เรียนรู้จากประสบการณ์ ศน. ต้องเน้นลงพื้นที่เข้าไปร่วมเรียนรู้จากประสบการณ์กับครู โดยไปทำหน้าที่ โค้ช หรือ คุณอำนวย การเรียนรู้จากประสบการณ์แก่ครู ในลักษณะ “คุณอำนวย” (facilitator) ระมัดระวังไม่เผลอหลุดท่าที่ “คุณอำนาจ” ตามวัฒนธรรมกระทรวงศึกษาธิการออกมา
ข้อกังวลนี้จางลงจากการชี้แจงในที่ประชุม ตามที่กล่าวแล้วในข้อ ๑
สิ่งที่ต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาคือ เราต้องช่วยกันพิสูจน์ว่า คนในระบบการศึกษาไทยระดับปฏิบัติการ สามารถร่วมกันยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ ที่พิสูจน์ว่านักเรียนได้เรียนรู้อย่างบูรณาการ (holistic learning) พัฒนาครบทุกด้านของ VASK ได้อย่างมีหลักฐานพิสูจน์
วิจารณ์ พานิช
๑๐ เม.ย. ๖๗
ไม่มีความเห็น