๓. สุวัณณสามชาดก


ว่าด้วยสุวรรณสามบำเพ็ญเมตตาบารมี

๓. สุวัณณสามชาดก (เมตตาบารมี)

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒

๓. สุวัณณสามชาดก (๕๔๐)

ว่าด้วยสุวรรณสามบำเพ็ญเมตตาบารมี

 

             (สุวรรณสามโพธิสัตว์ไม่ทันเห็นพระราชา จึงตรัสว่า)

             [๒๙๖] ใครกันหนอใช้ลูกศรยิงเราผู้ประมาท (ประมาท หมายถึงยังมิได้คุมสติด้วยเมตตาภาวนา) กำลังนำน้ำไปอยู่ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์คนไหนแอบซุ่มยิงเรา

             (สุวรรณสามโพธิสัตว์เมื่อจะแสดงว่า เนื้อที่ร่างกายของตนไม่เป็นอาหาร จึงตรัสว่า)

             [๒๙๗] เนื้อของเราก็ไม่ควรจะกิน หนังของเราก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรหนอ เขาจึงเข้าใจว่า เราเป็นผู้ควรยิง

             (สุวรรณสามโพธิสัตว์ตรัสถามชื่อพระราชานั้นว่า)

             [๒๙๘] ท่านเป็นใคร เป็นบุตรของใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร สหาย เราถามแล้ว ขอท่านจงบอกเถิด ทำไมท่านจึงซุ่มยิงเรา

             (พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสตอบว่า)

             [๒๙๙] เราเป็นพระราชาของชาวกาสี คนทั้งหลายรู้จักเราว่า พระเจ้าปิลยักษ์ เพราะความโลภ เราจึงละทิ้งแคว้นมาเที่ยวแสวงหาเนื้อ

             [๓๐๐] เราเป็นคนเชี่ยวชาญในศิลปะธนู เลื่องลือว่า เป็นผู้มีความสามารถยิงธนูที่ต้องใช้กำลังคนถึง ๑,๐๐๐ คนได้ แม้ช้างที่มาถึงระยะที่ลูกศรยิงก็ไม่พึงพ้นเราไปได้

             (พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสถามชื่อและโคตรของสุวรรณสามโพธิสัตว์ว่า)

             [๓๐๑] ท่านเป็นใคร เป็นบุตรของใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร ท่านจงประกาศชื่อและโคตรของบิดาและตัวของท่านเองให้ทราบด้วย

             (สุวรรณสามโพธิสัตว์กราบทูลว่า)

             [๓๐๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นบุตรของนายพราน (บุตรของนายพราน หมายถึงเป็นบุตรฤๅษี) พวกญาติต่างเรียกข้าพระองค์เมื่อยังมีชีวิตอยู่ว่า สาม วันนี้ ข้าพระองค์นั้นเข้าไปในปากแห่งความตาย จึงนอนอยู่อย่างนี้

             [๓๐๓] ข้าพระองค์ถูกพระองค์ยิงด้วยศรลูกใหญ่ อาบยาพิษเหมือนยิงเนื้อ ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทอดพระเนตรข้าพระองค์ ผู้นอนเปื้อนเลือดของตน

             [๓๐๔] ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตรลูกศรที่ทะลุออกข้างซ้าย ข้าพระองค์บ้วนโลหิต เป็นผู้กระสับกระส่าย ขอทูลถามพระองค์ว่า ทำไมจึงซุ่มยิงข้าพระองค์

             [๓๐๕] เสือเหลืองถูกฆ่าเพราะหนัง ช้างถูกฆ่าเพราะงา เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรหนอ พระองค์จึงเข้าพระทัยว่า ข้าพระองค์เป็นผู้ที่ควรยิง

             (พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสแก้ตัวว่า)

             [๓๐๖] เนื้อปรากฏมาถึงระยะลูกศรแล้ว ท่านสาม มันเห็นท่านแล้วจึงแตกหนีไป เพราะฉะนั้น เราจึงโกรธ

             (สุวรรณสามโพธิสัตว์กราบทูลว่า)

             [๓๐๗] ตั้งแต่ข้าพระองค์จำความได้ ตั้งแต่ข้าพระองค์รู้จักรับผิดชอบ ฝูงเนื้อในป่าแม้จะเป็นเนื้อร้าย ก็ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์

             [๓๐๘] ตั้งแต่ข้าพระองค์นุ่งเปลือกไม้อยู่ในปฐมวัย ฝูงเนื้อในป่าแม้จะเป็นเนื้อร้าย แต่ก็ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์

             [๓๐๙] ข้าแต่พระราชา ฝูงกินนรผู้ขลาดกลัวที่ภูเขาคันธมาทน์ เราทั้งหลายต่างเพลิดเพลินพากันไปสู่ภูเขาและป่า

             [๓๑๐] ฝูงเนื้อแม้จะเป็นเนื้อร้ายในป่า ก็ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์ เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ฝูงเนื้อจึงจะสะดุ้งกลัวข้าพระองค์เล่า

             (พระเจ้าปิลยักษ์ได้สดับดังนั้น จึงตรัสว่า)

             [๓๑๑] ท่านสาม เนื้อหาได้สะดุ้งกลัวท่านไม่ เรากล่าวเท็จแก่ท่านต่างหาก เราถูกความโกรธและความโลภครอบงำ จึงได้ปล่อยลูกศรนั้นไปถึงท่าน

             [๓๑๒] สาม ท่านมาจากไหน ใครใช้ท่านมาว่า ท่านจงไปยังแม่น้ำมิคสัมมตาแล้วตักน้ำมา

             (สุวรรณสามโพธิสัตว์ได้อดกลั้นทุกขเวทนาแสนสาหัส กราบทูลว่า)

             [๓๑๓] มารดาบิดาของข้าพระองค์เป็นคนตาบอด ข้าพระองค์เลี้ยงดูท่านทั้ง ๒ นั้นอยู่ในป่าใหญ่ ข้าพระองค์จะไปตักน้ำมาให้ท่านทั้ง ๒ นั้น จึงมายังแม่น้ำมิคสัมมตา

             (สุวรรณสามโพธิสัตว์กล่าวบ่นเพ้อรำพันถึงมารดาบิดาว่า)

             [๓๑๔] ท่านทั้ง ๒ นั้นมีเพียงอาหารเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น จะพึงมีชีวิตอยู่ได้เพียง ๖ วันเพราะไม่ได้น้ำ ท่านผู้ตาบอดทั้ง ๒ เห็นจักตายแน่

             [๓๑๕] ข้าพระองค์ไม่เป็นทุกข์ เพราะความทุกข์เช่นนี้ คนพึงได้รับเหมือนกัน แต่ความทุกข์ที่ข้าพระองค์ไม่ได้พบมารดา เป็นความทุกข์อย่างยิ่งของหม่อมฉัน

             [๓๑๖] ข้าพระองค์ไม่เป็นทุกข์ เพราะความทุกข์เช่นนี้ คนพึงได้รับเหมือนกัน แต่ความทุกข์ที่ข้าพระองค์ไม่ได้พบบิดา เป็นความทุกข์อย่างยิ่งของหม่อมฉัน

             [๓๑๗] มารดานั้น จะร้องไห้อย่างน่าสงสารเป็นเวลานาน จนเที่ยงคืน หรือตลอดคืน จะซูบซีดลง เหมือนแม่น้ำน้อยในฤดูร้อนเหือดแห้งไป

             [๓๑๘] บิดานั้นจักเป็นทุกข์ลำบากแน่เป็นเวลานาน จนเที่ยงคืน หรือตลอดคืน จะซูบซีดลง เหมือนแม่น้ำน้อยในฤดูร้อนเหือดแห้งไป

             [๓๑๙] มารดาและบิดาทั้ง ๒ จักเที่ยวบ่นเรียกหาข้าพระองค์ว่า พ่อสามๆ ในป่าใหญ่ เพื่อต้องการปรนนิบัติเท้า และเพื่อต้องการบีบนวดมือและเท้าด้วยความพยายาม

             [๓๒๐] ถึงความโศกนี้เป็นลูกศรที่ ๒ ทำหัวใจของข้าพระองค์ให้สะท้านหวั่นไหว ความโศกใดที่ข้าพระองค์ไม่ได้พบมารดาและบิดาทั้ง ๒ ผู้ตาบอด เพราะความโศกนั้น ข้าพระองค์เห็นจะต้องเสียชีวิตไป

             (พระเจ้าปิลยักษ์ทรงฟังคำเพ้อรำพันของสุวรรณสามโพธิสัตว์ ทรงสันนิษฐานแล้ว ตรัสว่า)

             [๓๒๑] ท่านสามผู้เห็นกัลยาณธรรม ท่านอย่าคร่ำครวญไปนักเลย เราจะทำการงานเลี้ยงดูมารดาและบิดาของท่านในป่าใหญ่

             [๓๒๒] เราเป็นคนเชี่ยวชาญในศิลปะธนู เลื่องลือว่าเป็นผู้มีความสามารถยิงธนูที่ต้องใช้กำลังคนถึง ๑,๐๐๐ คนได้ เราจะทำการงานเลี้ยงดูท่านทั้ง ๒ ในป่าใหญ่

             [๓๒๓] เราจักแสวงหาของที่เป็นเดนของฝูงเนื้อและมูลผลาผลในป่า จะทำงานเลี้ยงดูท่านทั้ง ๒ ในป่าใหญ่

             [๓๒๔] ท่านสาม มารดาและบิดาของท่านอยู่ป่าไหน เราจะเลี้ยงดูมารดาและบิดาของท่าน ให้เหมือนอย่างที่ท่านได้เลี้ยงดูมา

             (สุวรรณสามโพธิสัตว์กราบทูลบอกหนทางว่า)

             [๓๒๕] ขอเดชะ หนทางที่เดินไปได้คนเดียว ที่มีอยู่ทางศีรษะของข้าพระองค์นี้ พระองค์เสด็จไปจากที่นี้สิ้นระยะทางประมาณกึ่งโกสะ (โกสะ เป็นชื่อมาตราวัดระยะ ๑ โกสะ เท่ากับ ๕๐๐ ชั่วธนู อัฑฒโกสะ = ๒๕๐ ชั่วธนู (๒๕๐ วา)) ก็จะเสด็จถึงเรือนหลังเล็กๆ ซึ่งเป็นที่อยู่ของมารดาและบิดาทั้ง ๒ ของข้าพระองค์ ขอพระองค์เสด็จไปจากที่นี้แล้ว จงเลี้ยงดูมารดาและบิดาของข้าพระองค์เถิด

             [๓๒๖] ข้าแต่พระเจ้ากาสี ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ผดุงรัฐกาสีให้เจริญ ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระองค์ ขอพระองค์โปรดทรงพระกรุณาเลี้ยงดูมารดาและบิดาผู้ตาบอดของข้าพระองค์ในป่าใหญ่ด้วยเถิด

             [๓๒๗] ข้าแต่พระเจ้ากาสี ข้าพระองค์ขอประคองอัญชลี ถวายบังคมพระองค์ ข้าพระองค์กราบทูลพระองค์แล้ว ขอได้โปรดทรงพระกรุณาตรัสบอกการกราบลากับมารดาและบิดาของข้าพระองค์ด้วยเถิด

             (พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า)

             [๓๒๘] สุวรรณสามผู้หนุ่มแน่นเห็นแก่กัลยาณธรรม ครั้นได้กราบทูลคำนี้แล้ว ถึงกับสลบแน่นิ่งไปเพราะกำลังยาพิษ

             [๓๒๙] พระราชานั้นทรงคร่ำครวญเป็นที่น่าสงสารอย่างมากว่า เราเข้าใจว่าจะเป็นผู้ไม่แก่และไม่ตาย เราได้เห็นสามบัณฑิตตาย วันนี้ จึงได้รู้ความแก่และความตาย แต่ก่อนหาได้รู้ไม่ ความตายจะไม่มาถึงเป็นไม่มี

             [๓๓๐] สามบัณฑิตถูกลูกศรอาบยาพิษเสียบแทงแล้ว ตอบโต้กับเราอยู่แท้ๆ ครั้นกาลล่วงเลยไปวันนี้เอง เขาพูดอะไรๆ ไม่ได้เลย

             [๓๓๑] เราจะต้องตกนรกเป็นแน่ ในข้อนี้เราไม่มีความสงสัย เพราะในเวลานั้น เราได้ทำบาปอันหยาบช้าไว้ตลอดราตรีนาน

             [๓๓๒] เมื่อเรานั้นอยู่ในบ้านเมืองกระทำกรรมชั่ว ก็จะมีคนกล่าวติเตียน แต่ในป่าหาผู้คนมิได้ ใครเล่าควรจะกล่าวติเตียนเรา

             [๓๓๓] คนทั้งหลายประชุมกันในบ้าน ต่างก็เตือนกันและกันให้ระลึกถึงกรรม ส่วนในป่าที่หาคนมิได้ ใครหนอจะเตือนเราให้ระลึกถึงกรรม

             [๓๓๔] นางเทพธิดาที่ภูเขาคันธมาทน์นั้นได้อันตรธานไป เพื่ออนุเคราะห์พระราชา จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

             [๓๓๕] ข้าแต่มหาราช พระองค์ได้ทรงทำกรรมชั่วอย่างใหญ่หลวงแล้ว มารดาและบิดา และบุตรรวม ๓ คนผู้หาความผิดมิได้ พระองค์ทรงฆ่าแล้วด้วยลูกศรลูกเดียว

             [๓๓๖] เชิญเสด็จมาเถิด หม่อมฉันจะแนะนำถวายพระองค์ โดยประการที่พระองค์จะพึงมีสุคติ คือพระองค์จงทรงเลี้ยงดูท่านทั้ง ๒ ผู้ตาบอดในป่าโดยธรรมเถิด ดิฉันเข้าใจว่า พระองค์จักพึงไปสุคติ

             [๓๓๗] พระราชานั้นทรงคร่ำครวญอย่างน่าสงสารเป็นอันมาก จึงทรงถือเอาหม้อน้ำ บ่ายพระพักตร์เสด็จหลีกไปทางทิศทักษิณ

             (ทุกูลบัณฑิตไดัยินเสียงฝีพระบาทแห่งพระเจ้าปิลยักษ์ จึงถามว่า)

             [๓๓๘] นั่นเสียงใครเดินมา นั่นไม่ใช่เสียงฝีเท้าของพ่อสาม ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นใครกันหนอ

             [๓๓๙] เพราะพ่อสามเดินเงียบกริบ วางเท้าเรียบ นั่นไม่ใช่เสียงฝีเท้าของพ่อสาม ท่านนิรทุกข์ ท่านเป็นใครกันหนอ

             (พระเจ้าปิลยักษ์ประทับยืนอยู่ที่ประตูบรรณศาลา ตรัสว่า)

             [๓๔๐] ข้าพเจ้าเป็นพระราชาของชาวกาสี คนทั้งหลายรู้จักข้าพเจ้าว่า พระเจ้าปิลยักษ์ เพราะความโลภ ข้าพเจ้าจึงละทิ้งแคว้นมาเที่ยวแสวงหาเนื้อ

             [๓๔๑] ทั้งข้าพเจ้าเป็นคนเชี่ยวชาญในศิลปะธนู เลื่องลือว่าเป็นผู้มีความสามารถยิงธนูที่ต้องใช้กำลังคนถึง ๑,๐๐๐ คนได้ แม้ช้างที่มาถึงระยะลูกศรยิงก็ไม่พึงรอดพ้นไปได้

             (ฝ่ายทุกูลบัณฑิตเมื่อจะทำปฏิสันถารกับพระเจ้าปิลยักษ์ จึงทูลว่า)

             [๓๔๒] ข้าแต่มหาราช พระองค์เสด็จมาดีแล้ว มิได้เสด็จมาร้าย พระองค์ผู้เป็นใหญ่ได้เสด็จมาถึงแล้ว ขอพระองค์จงตรัสบอกสิ่งที่ต้องประสงค์ซึ่งมีอยู่ในที่นี้เถิด

             [๓๔๓] ข้าแต่มหาราช ผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเม่าซึ่งเป็นผลไม้เล็กน้อย ขอพระองค์ทรงเลือกเสวยแต่ที่ดีๆ เถิด

             [๓๔๔] ข้าแต่มหาราช ขอเชิญพระองค์ทรงดื่มน้ำเย็นนี้ ที่ข้าพระองค์ตักมาจากซอกเขาเถิด ถ้าพระองค์ทรงพระประสงค์

             (พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสว่า)

             [๓๔๕] ท่านทั้ง ๒ ตาบอดไม่สามารถจะเห็นอะไรๆ ในป่าได้ ใครเล่าหนอนำผลไม้มาให้ท่านทั้ง ๒ การเก็บสะสมผลาผลที่ทำไว้อย่างเรียบร้อยนี้ ย่อมปรากฏแก่เราเหมือนการเก็บสะสมของคนตาไม่บอด

             (ทุกูลบัณฑิตได้ฟังพระดำรัสนั้น เมื่อจะแสดงธรรม จึงกราบทูลว่า)

             [๓๔๖] สามหนุ่มน้อยร่างสันทัด ผู้เห็นแก่กัลยาณธรรม มีผมยาวดำสนิท มีปลายงอนช้อนขึ้นข้างบน

             [๓๔๗] เธอนั่นแหละนำผลไม้มา บัดนี้ ถือหม้อน้ำจากที่นี้ไปตักน้ำยังแม่น้ำ เข้าใจว่าใกล้จะกลับแล้ว

             (พระเจ้าปิลยักษ์ครั้นสดับดังนั้น จึงตรัสว่า)

             [๓๔๘] ข้าพเจ้าได้ฆ่าสามกุมารผู้บำรุงบำเรอท่าน ผู้เห็นแก่กัลยาณธรรมที่ท่านกล่าวถึงแล้ว

             [๓๔๙] เขามีผมยาวดำสนิท มีปลายงอนช้อนขึ้นข้างบน ถูกข้าพเจ้าฆ่าแล้ว นอนอยู่ที่หาดทรายที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด

             (นางปาริกาได้ฟังพระดำรัสของพระราชาแล้ว ประสงค์จะทราบเหตุ จึงถามว่า)

             [๓๕๐] ท่านทุกูลบัณฑิต ท่านปรึกษากับใครที่บอกว่า พ่อสามถูกข้าพเจ้าฆ่าแล้ว ใจของดิฉันย่อมหวั่นไหวเพราะได้ยินว่า พ่อสามถูกฆ่าแล้ว

             [๓๕๑] เพราะได้ยินว่า พ่อสามถูกฆ่า ใจของดิฉันย่อมหวั่นไหว เหมือนใบอ่อนของต้นสสัตถพฤกษ์ถูกลมพัดไหวไปมา

             (ทุกูลบัณฑิตให้โอวาทนางปาริกาว่า)

             [๓๕๒] ปาริกา ท่านผู้นี้คือพระเจ้ากรุงกาสี พระองค์ทรงยิงพ่อสามด้วยลูกศรเพราะความโกรธ ที่ฝั่งแม่น้ำมิคสัมมตา เราทั้ง ๒ อย่าได้มุ่งร้ายต่อพระองค์เลย

             (นางปาริกากล่าวว่า)

             [๓๕๓] บุตรที่น่ารักผู้ซึ่งได้เลี้ยงดูเราทั้ง ๒ คนผู้ตาบอดในป่า เราได้มาโดยยาก ไฉนจะไม่พึงทำจิตให้โกรธในคนผู้ฆ่าบุตรคนเดียวนั้นเล่า

             (ทุกูลบัณฑิตกล่าวว่า)

             [๓๕๔] บุตรที่น่ารักผู้เลี้ยงดูเราทั้ง ๒ คนผู้ตาบอดในป่า เราได้มาโดยยาก บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ไม่ควรโกรธในคนผู้มีบุตรคนเดียวนั้น

             (ลำดับนั้น พระเจ้าปิลยักษ์ตรัสปลอบโยนท่านทั้ง ๒ นั้นว่า)

             [๓๕๕] พระคุณท่านทั้ง ๒ อย่าคร่ำครวญให้มากนัก เพราะข้าพเจ้ากล่าวว่า สามกุมารถูกข้าพเจ้าฆ่าแล้ว ข้าพเจ้าจะทำการงานเลี้ยงดูพระคุณท่านทั้ง ๒ ในป่าใหญ่

             [๓๕๖] ข้าพเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในศิลปะธนู เลื่องลือว่าเป็นผู้มีความสามารถยิงธนูที่ต้องใช้กำลังคนถึง ๑,๐๐๐ คนได้ จะทำการงานเลี้ยงดูพระคุณท่านทั้ง ๒ ในป่าใหญ่

             [๓๕๗] ข้าพเจ้าจักแสวงหาของที่เป็นเดนของฝูงเนื้อและมูลผลาผลในป่า จะทำการงานเลี้ยงดูพระคุณท่านทั้ง ๒ ในป่าใหญ่

             (ดาบสทั้ง ๒ กราบทูลว่า)

             [๓๕๘] ข้าแต่มหาราช นั่นมิใช่ธรรม ไม่สมควรในอาตมภาพทั้ง ๒ พระองค์เป็นพระราชาของอาตมภาพทั้ง ๒ อาตมภาพทั้งหลายขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์

             (พระเจ้าปิลยักษ์ได้สดับดังนั้น ทรงดีพระทัยอย่างยิ่ง จึงตรัสว่า)

             [๓๕๙] ท่านผู้มีเชื้อชาติเป็นพราน ท่านกล่าวเป็นธรรม ท่านได้ประพฤติอ่อนน้อม ขอพระคุณท่านจงเป็นบิดาของข้าพเจ้า ข้าแต่นางปาริกา ขอพระคุณท่านจงเป็นมารดาของข้าพเจ้า

             (ดาบสทั้ง ๒ นั้นประคองอัญชลี กราบทูลว่า)

             [๓๖๐] ข้าแต่พระเจ้ากาสี อาตมภาพทั้ง ๒ ขอถวายบังคมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ผดุงรัฐให้เจริญแก่ชาวกาสี อาตมภาพทั้งหลายขอถวายบังคมแด่พระองค์ อาตมภาพทั้งหลายขอประคองอัญชลีแด่พระองค์จนกว่าพระองค์ทรงพาอาตมภาพทั้งหลายไปให้ถึงสถานที่ซึ่งสามกุมารอยู่

             [๓๖๑] อาตมภาพทั้ง ๒ เมื่อได้ลูบคลำเท้าทั้ง ๒ และใบหน้าอันงดงามของเขา จักทุบตีตนให้ถึงความตาย

             (พระเจ้าปิลยักษ์ได้ตรัสว่า)

             [๓๖๒] สามกุมารถูกฆ่านอนตายอยู่เหมือนดวงจันทร์ตกดิน ในป่าที่เกลื่อนกล่นด้วยเนื้อร้าย เป็นป่าสูง ปรากฏเหมือนอยู่ในอากาศ

             [๓๖๓] สามกุมารถูกฆ่านอนตายอยู่เหมือนดวงอาทิตย์ตกดิน ในป่าที่เกลื่อนกล่นไปด้วยเนื้อร้าย เป็นป่าสูง ปรากฏเหมือนอยู่ในอากาศ

             [๓๖๔] สามกุมารถูกฆ่านอนตายอยู่ เปื้อนเปรอะด้วยฝุ่น ในป่าที่เกลื่อนกล่นด้วยเนื้อร้าย เป็นป่าสูง ปรากฏเหมือนอยู่ในอากาศ

             [๓๖๕] สามกุมารถูกฆ่านอนตายอยู่ ในป่าที่กลื่อนกล่นด้วยเนื้อร้าย เป็นป่าสูงปรากฏเหมือนอยู่ในอากาศ ขอพระคุณท่านทั้ง ๒ จงอยู่ในอาศรมที่พักนี้เท่านั้นเถิด

             (ลำดับนั้น ดาบสทั้ง ๒ นั้นเมื่อแสดงว่าตนไม่กลัวต่อสัตว์ร้าย จึงกราบทูลว่า)

             [๓๖๖] ถ้าในป่านั้น จะมีเนื้อร้ายตั้งร้อย ตั้งพัน และตั้งหมื่น อาตมภาพทั้ง ๒ ไม่มีความกลัวในสัตว์ร้ายทั้งหลายในป่าไหนๆ เลย

             (พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า)

             [๓๖๗] ลำดับนั้น พระเจ้ากาสีทรงพาฤๅษีทั้ง ๒ ผู้ตาบอดไปในป่าใหญ่ จูงมือฤๅษีทั้ง ๒ ไปในที่ที่สามกุมารถูกฆ่าแล้ว

             [๓๖๘] ดาบสทั้ง ๒ เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนคลุกฝุ่น ถูกทิ้งไว้ในป่าใหญ่เหมือนดวงจันทร์ตกดิน

             [๓๖๙] ดาบสทั้ง ๒ เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนคลุกฝุ่น ถูกทิ้งไว้ในป่าใหญ่เหมือนดวงอาทิตย์ตกดิน

             [๓๗๐] ดาบสทั้ง ๒ เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนคลุกฝุ่น ถูกทิ้งไว้ในป่าใหญ่ ก็คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร

             [๓๗๑] ดาบสทั้ง ๒ เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรนอนคลุกฝุ่น จึงประคองแขนทั้ง ๒ ข้าง คร่ำครวญว่า ชาวเราเอ๋ย ได้ทราบว่า วันนี้ ความไม่เป็นธรรมกำลังเป็นไปในโลกนี้

             [๓๗๒] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าประมาทนักแล้ว ในวันนี้เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้ามิได้พูดอะไรเลย

             [๓๗๓] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าโง่ไปมากนักแล้ว ในวันนี้เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้ามิได้พูดอะไรเลย

             [๓๗๔] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าโกรธเคืองไปมากนักแล้ว ในวันนี้เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้ามิได้พูดอะไรเลย

             [๓๗๕] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าเป็นผู้มักหลับไปมากนักแล้ว ในวันนี้เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้ามิได้พูดอะไรเลย

             [๓๗๖] ลูกสามผู้มีรูปสง่างาม เจ้าช่างเป็นคนปราศจากน้ำใจจริง ในวันนี้เมื่อกาลเวลาล่วงไป เจ้ามิได้พูดอะไรเลย

             [๓๗๗] ลูกสามผู้บำรุงเลี้ยงดูเราทั้ง ๒ ผู้ตาบอดนี้มาตายเสียแล้ว บัดนี้ ใครเล่าจักชำระชฎาที่หม่นหมองเปื้อนฝุ่น

             [๓๗๘] ลูกสามผู้บำรุงเลี้ยงดูเราทั้ง ๒ ผู้ตาบอดนี้มาตายแล้ว บัดนี้ ใครเล่าจักจับไม้กวาดแล้วกวาดอาศรมของเราทั้ง ๒

             [๓๗๙] ลูกสามผู้บำรุงเลี้ยงดูเราทั้ง ๒ ผู้ตาบอดนี้มาตายแล้ว บัดนี้ ใครเล่าจักนำน้ำเย็นน้ำร้อนมาให้เราทั้ง ๒ อาบ

             [๓๘๐] ลูกสามผู้บำรุงเลี้ยงดูเราทั้ง ๒ ผู้ตาบอดนี้มาตายแล้ว บัดนี้ ใครเล่าจักให้เราทั้ง ๒ บริโภคมูลผลาผลไม้ในป่า

             [๓๘๑] มารดาได้เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรล้มคลุกฝุ่นอยู่ เป็นผู้อึดอัดเพราะความโศกถึงบุตร จึงได้กล่าวสัจวาจาว่า

             [๓๘๒] ลูกสามนี้ได้เคยมีปกติประพฤติธรรมมาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป

             [๓๘๓] ลูกสามนี้มีปกติประพฤติพรหมจรรย์มาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป

             [๓๘๔] ลูกสามนี้ได้เคยมีปกติกล่าวคำสัตย์มาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป

             [๓๘๕] ลูกสามนี้ได้เป็นผู้เลี้ยงมารดาและบิดา ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป

             [๓๘๖] ลูกสามนี้ได้เป็นผู้นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป

             [๓๘๗] ลูกสามนี้เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป

             [๓๘๘] บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามทำแล้วแก่เราและบิดาของเขา ด้วยกุศลนั้นทั้งหมด ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป

             [๓๘๙] บิดาได้เห็นสามกุมารผู้เป็นบุตรล้มคลุกฝุ่นอยู่ เป็นผู้อึดอัดเพราะความโศกถึงบุตร จึงได้กล่าวสัจวาจาว่า

             [๓๙๐] ลูกสามนี้ได้เคยเป็นผู้มีปกติประพฤติธรรมมาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป

             [๓๙๑] ลูกสามนี้มีปกติประพฤติพรหมจรรย์มาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป

             [๓๙๒] ลูกสามนี้มีปกติกล่าวคำสัตย์มาก่อน ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป

             [๓๙๓] ลูกสามนี้ได้เป็นผู้เลี้ยงมารดาและบิดา ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป

             [๓๙๔] ลูกสามนี้ได้เป็นผู้นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป

             [๓๙๕] ลูกสามนี้เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป

             [๓๙๖] บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามทำแล้วแก่เราและมารดาของเขา ด้วยกุศลนั้นทั้งหมด ขอพิษของลูกสามจงเสื่อมหายไป

             [๓๙๗] นางเทพธิดาที่ภูเขาคันธมาทน์นั้นได้อันตรธานไป ด้วยความอนุเคราะห์สามกุมาร จึงได้กล่าวสัจวาจานี้ว่า

             [๓๙๘] เราอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์มานาน ไม่มีคนอื่น จะเป็นใครก็ตาม เป็นที่รักของเรายิ่งกว่าสามกุมาร ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของสามกุมารจงเสื่อมหายไป

             [๓๙๙] ต้นไม้ทั้งหมดที่ภูเขาคันธมาทน์ล้วนแต่เป็นไม้หอม ด้วยสัจวาจานี้ ขอพิษของสามกุมารจงเสื่อมหายไป

             [๔๐๐] เมื่อดาบสทั้ง ๒ กำลังบ่นพร่ำรำพันอย่างน่าสงสารเป็นอันมาก สามกุมารผู้ยังเป็นหนุ่มแน่นมีรูปสง่างาม ก็ได้ลุกขึ้นทันที

             (ลำดับนั้น สุวรรณสามโพธิสัตว์ได้กล่าวกับท่านเหล่านั้นว่า)

             [๔๐๑] ข้าพเจ้าเป็นผู้ชื่อว่าสาม ขอความสุขความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าลุกขึ้นได้แล้วโดยความสวัสดี ขอท่านทั้งหลายจงอย่าคร่ำครวญไปนักเลย จงพูดกับข้าพเจ้าด้วยเสียงอันไพเราะเถิด

             (ลำดับนั้น สุวรรณสามโพธิสัตว์เห็นพระราชา จึงกราบทูลว่า)

             [๔๐๒] ข้าแต่มหาราช พระองค์ได้เสด็จมาดีแล้ว มิได้เสด็จมาร้าย พระองค์ผู้เป็นใหญ่เสด็จมาถึงแล้ว ขอจงทรงทราบสิ่งที่มีอยู่ในที่นี้เถิด

             [๔๐๓] ข้าแต่พระราชา ขอเชิญเลือกเสวยผลมะพลับ ผลมะซาง และผลหมากเม่า ซึ่งเป็นผลไม้เล็กน้อยแต่ผลที่ดีๆ เถิด

             [๔๐๔] น้ำใสเย็นข้าพระองค์ตักมาจากซอกเขาก็มีอยู่ จงโปรดเสวยจากนั้นเถิด พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงพระประสงค์

             (พระเจ้าปิลยักษ์ทรงเห็นความอัศจรรย์นั้นแล้ว จึงตรัสว่า)

             [๔๐๕] เรางุนงงไปหมด หลงไปทั่วทุกทิศ เราได้เห็นสามตายไปแล้ว ท่านสาม ทำไมหนอ ท่านจึงกลับฟื้นชีวิตคืนมาได้

             (สุวรรณสามโพธิสัตว์ทูลว่า)

             [๔๐๖] ข้าแต่มหาราช บุรุษผู้มีชีวิตอยู่ แต่มีเวทนามาก ปราศจากความรู้สึก (ปราศจากความรู้สึก หมายถึงวาระจิตที่หยั่งลงสู่ภวังค์ (ความอยู่โดยไม่รู้สึกตัว, สลบ)) แม้ยังมีชีวิตอยู่ ชาวโลกก็เข้าใจว่า ตายแล้ว

             [๔๐๗] ข้าแต่มหาราช บุรุษผู้มีชีวิตอยู่ แต่มีเวทนามาก ถึงความดับสนิท แม้ยังมีชีวิตอยู่ ชาวโลกก็เข้าใจว่า ตายแล้ว

             (สุวรรณสามโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่พระเจ้าปิลยักษ์ว่า)

             [๔๐๘] บุคคลใดเลี้ยงดูมารดาและบิดาโดยธรรม แม้เทวดาก็เยียวยารักษาบุคคลผู้เลี้ยงดูมารดาและบิดานั้น

             [๔๐๙] บุคคลใดเลี้ยงดูมารดาและบิดาโดยธรรม แม้นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกนี้ บุคคลนั้นละโลกนี้ไปแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์

             (พระเจ้าปิลยักษ์ได้สดับดังนั้น ทรงประคองอัญชลี ขอร้องอยู่ว่า)

             [๔๑๐] เรายิ่งงุนงงหนักขึ้น หลงไปทั่วทุกทิศ ท่านสาม เราขอถึงท่านว่าเป็นที่พึ่ง และท่านก็จงเป็นที่พึ่งของเรา

             (สุวรรณสามโพธิสัตว์กล่าวทศพิธราชธรรมถวายว่า)

             [๔๑๑] ข้าแต่มหาราชผู้เป็นกษัตริย์ ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในพระมารดาและพระบิดาเถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า

             [๔๑๒] ข้าแต่มหาราชผู้เป็นกษัตริย์ ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในพระโอรสและพระมเหสีเถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า

             [๔๑๓] ข้าแต่มหาราชผู้เป็นกษัตริย์ ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในมิตรและอำมาตย์เถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า

             [๔๑๔] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในพาหนะและพลนิกายเถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า

             [๔๑๕] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในชาวบ้านและชาวนิคมเถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า

             [๔๑๖] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในชาวแคว้นและชาวชนบทเถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า

             [๔๑๗] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในสมณะและพราหมณ์เถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า

             [๔๑๘] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในฝูงเนื้อและฝูงนกเถิด ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า

             [๔๑๙] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมเถิด ธรรมที่พระองค์ทรงประพฤติแล้วย่อมนำสุขมาให้ ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเจ้าข้า

             [๔๒๐] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมเถิด พระอินทร์ เทวดา พร้อมทั้งพรหมเข้าถึงทิพยสถานได้ เพราะธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ขอพระองค์อย่าทรงประมาทธรรมเลย

สุวัณณสามชาดกที่ ๓ จบ

---------------------------------------

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

สุวรรณสามชาดก

ว่าด้วย สุวรรณสามบำเพ็ญเมตตาบารมี

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภพระภิกษุรูปหนึ่งผู้เลี้ยงมารดา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               ดังได้สดับมา ในกรุงสาวัตถี มีกุลบุตรผู้หนึ่งเป็นบุตรคนเดียวของสกุลเศรษฐีผู้หนึ่ง ซึ่งมีทรัพย์สมบัติสิบแปดโกฏิ. กุลบุตรนั้นเป็นที่รักเป็นที่เจริญใจของบิดามารดา. วันหนึ่ง เขาอยู่บนปราสาทเปิดสีหบัญชรแลดูในถนนใหญ่ เห็นมหาชนถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร เพื่อต้องการสดับพระธรรมเทศนา จึงคิดว่า แม้ตัวเราก็จักไปกับพวกนั้นบ้าง จึงให้คนถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่พระวิหาร ถวายผ้าเภสัชและน้ำดื่มเป็นต้นแด่พระสงฆ์ และบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น. ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาแล้วเห็นโทษในกามทั้งหลาย กำหนดอานิสงส์แห่งบรรพชา. ครั้นบริษัทลุกไปแล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลขอบรรพชา.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะกุลบุตรนั้นอย่างนี้ว่า พระตถาคตทั้งหลายไม่ยังบุตรที่บิดามารดายังมิได้อนุญาตให้บรรพชา. กุลบุตรได้ฟังรับสั่งดังนั้น จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กลับไปเคหสถาน ไหว้บิดามารดาด้วยความเคารพเป็นอันดี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ข้าพเจ้าจักบวชในสำนักพระตถาคต.
               ลำดับนั้น บิดามารดาของกุลบุตรนั้นได้ฟังคำของเขาแล้ว ก็เป็นราวกะมีหัวใจแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง เพราะมีบุตรคนเดียว หวั่นไหวอยู่ด้วยความสิเนหาในบุตร ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนพ่อผู้เป็นบุตรที่รัก ผู้เป็นหน่อแห่งสกุล ผู้เป็นดั่งดวงตา ผู้เช่นกับชีวิตของเราทั้งสอง. เราทั้งสองเว้นจากเจ้าเสีย จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร. ชีวิตของเราทั้งสองเนื่องในเจ้า เราทั้งสองก็แก่เฒ่าแล้ว จักตายในวันนี้พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ เจ้ายังจะละเราทั้งสองไปเสียอีก. ธรรมดาว่าบรรพชาอันบุคคลทำได้ยากยิ่ง เมื่อต้องการเย็น ย่อมได้ร้อน เมื่อต้องการร้อน ย่อมได้เย็น. เพราะเหตุนั้น เจ้าอย่าบวชเลย. กุลบุตรได้สดับคำของบิดามารดาดังนั้น ก็มีความทุกข์โทมนัส นั่งก้มศีรษะซบเซา ไม่บริโภคอาหารเจ็ดวัน.
               ลำดับนั้น บิดามารดาของกุลบุตรนั้น คิดกันอย่างนี้ว่า ถ้าบุตรของเราไม่ได้รับอนุญาตให้บวชก็จักตาย. เราจักไม่ได้เห็นเขาอีกเลย บุตรเราเป็นอยู่ด้วยเพศบรรพชิต เราจักได้เห็นอีกต่อไป. ครั้นคิดเห็นกันอย่างนี้แล้วจึงอนุญาตว่า ดูก่อนพ่อผู้เป็นลูกรัก เราอนุญาตให้เจ้าบวช เจ้าจงบวชเถิด. กุลบุตรได้ฟังดังนั้นก็มีได้ยินดี น้อมสรีระทั้งสิ้นลงกราบแทบเท้าบิดามารดา ลาออกจากกรุงสาวัตถีไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร. ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลขอบรรพชา.
               พระศาสดาตรัสสั่งภิกษุรูปหนึ่งให้บวชกุลบุตรนั้นเป็นสามเณร.
               จำเดิมแต่สามเณรนั้นบวชแล้ว ลาภสักการะเกิดขึ้นเป็นอันมาก. สามเณรนั้นยังอาจารย์และอุปัชฌาย์ให้ยินดี. อุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว เล่าเรียนธรรมอยู่ห้าพรรษา ดำริว่า เราอยู่ในที่นี้เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่ญาติเป็นต้น หาสมควรแก่เราไม่ เป็นผู้ใคร่จะบำเพ็ญวิปัสสนาธุระ จึงเรียนกรรมฐานในสำนักอุปัชฌาย์ ออกจากวิหารเชตวันไปสู่ปัจจันตคามแห่งหนึ่ง อยู่ในป่าอาศัยปัจจันตคามนั้น. ภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนาในที่นั้น แม้เพียรพยายามอยู่ถึงสิบสองปี ก็ไม่สามารถยังธรรมวิเศษให้เกิด.
               ฝ่ายบิดามารดาของภิกษุนั้น ครั้นเมื่อกาลล่วงไปได้ขัดสนลง. คิดเห็นว่า ก็เหล่าชนที่ประกอบการนาหรือพาณิชย์ บุตรหรือพี่น้องที่จะเตือนนึกถึงพาพวกเราไป ไม่มีในสกุลนี้ พวกเขาถือเอาทรัพย์ตามกำลังของตนๆ หนีไปตามชอบใจ แม้ทาสกรรมกรในเรือนเป็นต้น ก็ถือเอาเงินทองเป็นต้นหนีไป. ครั้นต่อมา ชนทั้งสองจึงตกทุกข์ได้ยากเหลือเกิน ไม่ได้แม้การรดน้ำในมือ ต้องขายเรือน ไม่มีเรือนอยู่. ถึงความเป็นผู้น่าสงสารอย่างยิ่ง นุ่งห่มผ้าท่อนเก่า ถือกระเบื้องเที่ยวขอทานที่นี่ที่นั่น.
               ในกาลนั้น ภิกษุรูปหนึ่งออกจากพระเชตวันมหาวิหาร ไปถึงที่อยู่ของภิกษุบุตรเศรษฐีอนาถานั้น. ภิกษุเศรษฐีบุตรนั้นทำอาคันตุกวัตรแก่ภิกษุนั้นแล้ว นั่งเป็นสุขแล้วจึงถามว่า ท่านมาแต่ไหน. ภิกษุอาคันตุกะแจ้งว่ามาแต่พระเชตวัน จึงถามถึงความผาสุกแห่งพระศาสดา และของพระมหาสาวกเป็นต้น แล้วถามถึงข่าวคราวแห่งบิดามารดาว่า ท่านขอรับ สกุลเศรษฐีชื่อโน้นในกรุงสาวัตถีสบายดีหรือ. ภิกษุอาคันตุกะตอบว่า อาวุโส ท่านอย่าถามถึงข่าวคราวแห่งสกุลนั้นเลย. ถามว่า เป็นอย่างไรหรือท่าน. ตอบว่า ได้ยินว่า สกุลนั้นมีบุตรคนเดียว เขาบวชในพระศาสนา. จำเดิมแต่เขาบวชแล้ว สกุลนั้นก็เสื่อมสิ้นไป. บัดนี้เศรษฐีทั้งสองเป็นกำพร้าน่าสงสารอย่างยิ่ง ถือกระเบื้องเที่ยวขอทาน.
               ภิกษุเศรษฐีบุตรได้ฟังคำของภิกษุอาคันตุกะแล้ว ก็ไม่อาจจะทรงตัวอยู่ได้ มีน้ำตานองหน้าเริ่มร้องไห้. พระเถระเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า เธอร้องไห้ทำไม. ภิกษุเศรษฐีบุตรตอบว่า ท่านขอรับ ชนสองคนนั้นเป็นบิดามารดาของกระผม กระผมเป็นบุตรของท่านทั้งสองนั้น. พระเถระจึงกล่าวว่า บิดามารดาของเธอถึงความพินาศเพราะอาศัยเธอ เธอจงไปปฏิบัติบิดามารดานั้น. ภิกษุเศรษฐีบุตรคิดว่า เราแม้เพียรพยายามอยู่ถึงสิบสองปี ก็ไม่สามารถที่จะยังมรรคหรือผลให้บังเกิด เราจักเป็นคนอาภัพ. ประโยชน์อะไรด้วยบรรพชาเล่า เราจักเป็นคฤหัสถ์เลี้ยงบิดามารดา ให้ทาน จักเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. คิดฉะนี้แล้วมอบสถานที่อยู่ในป่าแก่พระเถระนั้น นมัสการพระเถระแล้ว.
               รุ่งขึ้นจึงออกจากป่าไปโดยลำดับ ลุถึงวิหารหลังพระเชตวัน ไม่ไกลกรุงสาวัตถี ณ ที่ตรงนั้นเป็นทางสองแพร่ง ทางหนึ่งไปพระเชตวัน ทางหนึ่งไปในกรุงสาวัตถี. ภิกษุนั้นหยุดอยู่ตรงนั้น คิดว่า เราจักไปหาบิดามารดาก่อน หรือจักไปเฝ้าพระทศพลก่อน แล้วคิดต่อไปว่า เราไม่ได้พบบิดามารดานานแล้วก็จริง. แต่จำเดิมแต่นี้ เราจักได้เฝ้าพระพุทธเจ้าได้ยาก วันนี้เราจักเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วฟังธรรม. รุ่งขึ้นจึงไปหาบิดามารดาแต่เช้าเทียว คิดฉะนี้แล้ว ละมรรคาไปกรุงสาวัตถี ไปสู่มรรคาที่ไปพระเชตวัน ถึงพระเชตวันเวลาเย็น.
               ก็วันนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งภิกษุผู้เป็นบุตรแห่งสกุลรูปนี้. พระองค์จึงทรงพรรณนาคุณแห่งบิดามารดาด้วยมาตุโปสกสูตร. ในเวลาที่ภิกษุนั้นมาถึง ก็ภิกษุนั้นยืนอยู่ในที่สุดบริษัท สดับธรรมกถาอันไพเราะ. จึงรำพึงว่า เราคิดไว้ว่าจักเป็นคฤหัสถ์อาจบำรุงปฏิบัติบิดามารดา. แต่พระศาสดาตรัสว่า แม้เป็นบรรพชิตก็ทำอุปการะแก่บิดามารดาได้. ถ้าเราไม่ได้มาเฝ้าพระศาสดาก่อนแล้วไป พึงเสื่อมจากบรรพชาเห็นปานนี้. ก็บัดนี้ เราไม่ต้องสึกเป็นคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิตอยู่นี่แหละจักบำรุงบิดามารดา.
               ภิกษุนั้นถวายบังคมพระศาสดาแล้วออกจากพระเชตวันไปสู่โรงสลาก รับภัตตาหารและยาคูที่ได้ด้วยสลาก เป็นภิกษุอยู่ป่าสิบสองปี ได้เป็นเหมือนถึงความเป็นผู้พ่ายแพ้แล้ว. ภิกษุนั้นเข้าไปในกรุงสาวัตถีแต่เช้าทีเดียว คิดว่าเราจักรับข้าวยาคูก่อน หรือไปหาบิดามารดาก่อน แล้วคิดว่า การมีมือเปล่าไปสู่สำนักคนกำพร้าไม่สมควร จึงถือเอายาคูไปสู่ประตูเรือนเก่าของบิดามารดาเหล่านั้น ได้เห็นบิดามารดาเที่ยวขอยาคูแล้วเข้าอาศัยริมฝาเรือน คนอื่นนั่งอยู่. ถึงความเป็นคนกำพร้าเข็ญใจ ก็มีความโศกเกิดขึ้น มีน้ำตานองหน้ายืนอยู่ในที่ใกล้ๆ บิดามารดาทั้งสองนั้น. บิดามารดาแม้เห็นท่านแล้วก็จำไม่ได้. มารดาของภิกษุนั้นสำคัญว่า ภิกษุนั้นจักยืนเพื่อภิกขาจาร จึงกล่าวว่า ของเคี้ยวของฉันอันควรถวายพระผู้เป็นเจ้าไม่มี นิมนต์โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด. ภิกษุนั้นได้ฟังคำแห่งมารดา ก็เกิดความโศกเป็นกำลัง มีน้ำตานองหน้ายืนอยู่ตรงนั้นเอง เพราะได้รับความเศร้าใจ. แม้มารดากล่าวเช่นนั้นสองครั้งสามครั้ง ก็ยังยืนอยู่นั่นเอง. ลำดับนั้น บิดาของภิกษุนั้นพูดกะมารดาว่า จงไปดู นั่นบุตรของเราทั้งสองหรือหนอ. นางลุกขึ้นแล้วไปใกล้ภิกษุนั้นแลดูก็จำได้ จึงหมอบปริเทวนาการแทบเท้าแห่งภิกษุผู้เป็นบุตร. ฝ่ายบิดาไปบ้างก็ร้องไห้ตรงที่นั้นเหมือนกัน น่าสงสารเหลือเกิน. ฝ่ายภิกษุนั้นเห็นบิดามารดา ก็ไม่อาจจะทรงกายอยู่ได้จึงร้องไห้. ภิกษุนั้นกลั้นความโศกแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งสองอย่าคิดเลย อาตมาจักเลี้ยงดูท่านให้ผาสุก ยังบิดามารดาให้อุ่นใจแล้วให้ดื่มยาคู ให้นั่งพักในที่ควรส่วนหนึ่งแล้ว นำภิกษาหารมาอีกให้บิดามารดาบริโภค แล้วแสวงหาภิกษาเพื่อตน ไปสู่สำนักบิดามารดา ถามเรื่องภัตตาหารอีก ได้รับตอบว่า ไม่บริโภค จึงบริโภคเอง แล้วให้บิดามารดาอยู่ในที่ควรแห่งหนึ่ง.
               ภิกษุนั้นได้ปฏิบัติบิดามารดาทั้งสองโดยทำนองนี้ตั้งแต่นั้นมา แม้ภัตที่เกิดในปักษ์เป็นต้นที่ตนได้มา ก็ให้แก่บิดามารดา. ตนเองเที่ยวภิกษาจาร ได้มาก็บริโภค. เมื่อไม่ได้ก็ไม่บริโภค ได้ผ้าจำพรรษาก็ตาม ผ้าอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเป็นอดิเรกลาภก็ตาม ก็ให้แก่บิดามารดา ซักย้อมผ้าเก่าๆ ที่บิดามารดานุ่งห่มแล้ว เย็บปะนุ่งห่มเอง. ก็วันที่ภิกษุนั้นได้อาหารมีน้อยวัน วันที่ไม่ได้มีมากกว่า. ผ้านุ่งผ้าห่มของภิกษุนั้นเศร้าหมองเต็มที. เมื่อภิกษุนั้นปฏิบัติบิดามารดาต่อมา ก็เป็นผู้ซูบผอม เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส กายเหลืองขึ้นๆ มีตัวดาษไปด้วยเส้นเอ็น.
               ครั้งนั้น เหล่าภิกษุที่เป็นเพื่อนเห็นเพื่อนคบกันมา เห็นภิกษุนั้นจึงถามว่า อาวุโส แต่ก่อนสรีรวรรณะของเธองามสดใส แต่บัดนี้เธอซูบผอม เศร้าหมองไม่ผ่องใส กายเหลืองขึ้นๆ มีตัวดาษไปด้วยเส้นเอ็น พยาธิเกิดขึ้นแก่เธอหรือ. ภิกษุนั้นตอบว่า อาวุโส ข้าพเจ้าไม่มีพยาธิ แต่มีความกังวล แล้วบอกประพฤติเหตุนั้น. ภิกษุเหล่านั้นจึงกล่าวว่า อาวุโส พระศาสดาไม่ประทานอนุญาตเพื่อยังของที่เขาให้ด้วยศรัทธาให้ตกไป. ก็ท่านถือเอาของที่เขาให้ด้วยศรัทธามาให้แก่เหล่าคฤหัสถ์ ทำกิจไม่สมควร. ภิกษุนั้นได้ฟังถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นก็ละอาย ทอดทิ้งมาตาปิตุปัฏฐานกิจเสีย.
               ภิกษุเหล่านั้นยังไม่พอใจ แม้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ จึงพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุชื่อโน้นยังของที่เขาให้ด้วยศรัทธาให้ตกไปเลี้ยงดูคฤหัสถ์. พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุนั้นมาตรัสถามว่า แน่ะภิกษุ ได้ยินว่า เธอถือเอาศรัทธาไทยไปเลี้ยงคฤหัสถ์ จริงหรือ. เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลรับว่า จริง พระเจ้าข้า. เมื่อทรงใคร่จะสรรเสริญการกระทำของภิกษุนั้น และทรงใคร่จะประกาศบุพจริยาของพระองค์ จึงตรัสถามว่า แน่ะภิกษุ เมื่อเธอเลี้ยงดูเหล่าคฤหัสถ์ เลี้ยงดูคฤหัสถ์เหล่าไหน. ภิกษุนั้นกราบทูลว่า บิดามารดาของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า. เพื่อจะยังความอุตสาหะให้เกิดแก่ภิกษุนั้น. พระศาสดาได้ทรงประทานสาธุการสามครั้งว่า สาธุ สาธุ สาธุ แล้วตรัสว่า เธอดำรงอยู่ในทางที่เราดำเนินแล้ว. แม้เราเมื่อประพฤติบุพจริยาก็ได้บำรุงเลี้ยงบิดามารดา. ภิกษุนั้นกลับได้ความเบิกบานใจ.
               ลำดับนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลวิงวอนให้ทรงประกาศบุพจริยา.
               พระศาสดาจึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล ณ ที่ไม่ไกลแต่กรุงพาราณสี มีบ้านนายพรานบ้านหนึ่งริมฝั่งนี้แห่งแม่น้ำ และมีบ้านนายพรานอีกบ้านหนึ่งริมฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำ ในบ้านแห่งหนึ่งๆ มีตระกูลประมาณห้าร้อยตระกูล นายเนสาทผู้เป็นใหญ่สองคนในบ้านทั้งสองเป็นสหายกัน. ในเวลาที่ยังหนุ่มอยู่ เขาได้ทำกติกาสัญญากันอย่างนี้ว่า ถ้าข้างหนึ่งมีธิดา ข้างหนึ่งมีบุตร เราจักทำอาวาหวิวาทมงคลแก่บุตรธิดาเหล่านั้น. ลำดับนั้น ในเรือนของนายเนสาทผู้เป็นใหญ่ในบ้านริมฝั่งนี้คลอดบุตร บิดามารดาให้ชื่อว่า ทุกูลกุมาร เพราะกุมารนั้นอันญาติทั้งหลายรองรับด้วยทุกูลพัสตร์ในขณะเกิด. ในเรือนของนายเนสาทผู้เป็นใหญ่อีกคนหนึ่งคลอดธิดา บิดามารดาให้ชื่อว่า ปาริกากุมารี เพราะนางเกิดฝั่งโน้น. กุมารกุมารีทั้งสองมีรูปงามน่าเลื่อมใส มีผิวพรรณดังทองคำ. แม้เกิดในสกุลนายพรานก็ไม่ทำปาณาติบาต.
               กาลต่อมา เมื่อทุกูลกุมารมีอายุได้สิบหกปี บิดามารดาพูดว่า จะนำกุมาริกามาเพื่อเจ้า. แต่ทุกูลกุมารมาแต่พรหมโลก เป็นสัตว์บริสุทธิ์ จึงปิดหูทั้งสองกล่าวว่า ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ฉันไม่ต้องการอยู่ครองเรือน โปรดอย่าได้พูดอย่างนี้. แม้บิดามารดาพูดอยู่ถึงสองครั้งสามครั้ง ก็ไม่ปรารถนา. ฝ่ายปาริกากุมารีแม้บิดามารดาพูดว่า แน่ะแม่ บุตรของสหายเรามีอยู่ เขามีรูปงามน่าเลื่อมใส มีผิวพรรณดั่งทองคำ เราจักให้ลูกแก่เขา. นางปาริกาก็กล่าวห้ามอย่างเดียวกัน แล้วปิดหูทั้งสองเสีย เพราะนางมาแต่พรหมโลกเป็นสัตว์บริสุทธิ์.
               ในคราวนั้น ทุกูลกุมารส่งข่าวลับไปถึงนางปาริกาว่า ถ้าปาริกามีความต้องการด้วยเมถุนธรรม ก็จงไปสู่เรือนของบุคคลอื่น. ฉันไม่มีความพอใจในเมถุน. แม้นางปาริกาก็ส่งข่าวลับไปถึงทุกูลกุมารเหมือนกัน. แต่บิดามารดาได้กระทำอาวาหวิวาหมงคล แก่กุมารกุมารีทั้งสอง ผู้ไม่ปรารถนาเรื่องประเวณีเลย. เขาทั้งสองมิได้หยั่งลงสู่สมุทร คือกิเลส อยู่ด้วยกันเหมือนมหาพรหมสององค์ ฉะนั้น. ฝ่ายทุกูลกุมารไม่ฆ่าปลาหรือเนื้อ โดยที่สุดแม้เนื้อที่บุคคลนำมา ก็ไม่ขาย. ลำดับนั้น บิดามารดาพูดกะเขาว่า แน่ะพ่อ เจ้าเกิดในสกุลนายพราน ไม่ปรารถนาอยู่ครองเรือน ไม่ทำการฆ่าสัตว์ เจ้าจักทำอะไร. ทุกูลกุมาร กล่าวตอบอย่างนี้ว่า ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ เมื่อท่านทั้งสองอนุญาต เราทั้งสองก็จักบวช. บิดามารดาได้ฟังดังนั้น จึงอนุญาตว่า ถ้าเช่นนั้น เจ้าทั้งสองจงบวชเถิด. ทุกูลกุมารและปาริกากุมารีก็ยินดีร่าเริง ไหว้บิดามารดา แล้วออกจากบ้าน เข้าสู่หิมวันตประเทศทางฝั่งแม่น้ำคงคาโดยลำดับ ละแม่น้ำคงคามุ่งตรงไปแม่น้ำมิคสัมมตา ซึ่งไหลลงมาแต่หิมวันตประเทศถึงแม่น้ำคงคา.
               ขณะนั้น พิภพแห่งท้าวสักกเทวราชสำแดงอาการเร่าร้อน ท้าวสักกเทวราชทรงอาวัชนาการก็ทรงทราบการณ์นั้น จึงตรัสเรียกพระวิสสุกรรมเทพบุตรมา ตรัสว่า แน่ะพ่อวิสสุกรรม ท่านมหาบุรุษทั้งสองออกจากบ้านใคร่จะบวชเป็นฤาษี เข้าสู่หิมวันตประเทศ ควรที่ท่านทั้งสองนั้นจะได้ที่อยู่. ท่านจงเนรมิตบรรณศาลา และบรรพชิตบริขารเพื่อท่านทั้งสองนั้น ณ ภายในกึ่งเสียงกู่ ตั้งแต่มิคสัมมตานที เสร็จแล้วกลับมา. พระวิสสุกรรมเทพบุตรรับเทวบัญชาแล้ว ไปจัดกิจทั้งปวงโดยนัยที่กล่าวแล้วในมูคปักขชาดก ไล่เนื้อและนกที่มีสำเนียง ไม่เป็นที่ชอบใจให้หนีไป. แล้วเนรมิตมรรคาเดินผู้เดียว แล้วกลับไปที่อยู่ของตน. กุมารกุมารีทั้งสองเห็นทางนั้น แล้วก็เดินไปตามทางนั้นถึงอาศรมบท. ทุกูลบัณฑิตเข้าสู่บรรณศาลา เห็นบรรพชิตบริขารก็ทราบสักกทัตติยภาพว่า ท้าวสักกะประทานแก่เรา จึงเปลื้องผ้าสาฎกออก นุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดงผืนหนึ่งห่มผืนหนึ่ง พาดหนังเสือบนบ่า ผูกมณฑลชฎาทรงเพศฤาษี แล้วให้นางปาริกาบวชเป็นฤาษิณี. ฤาษีฤาษิณีทั้งสององค์นั้น เจริญเมตตาภูมิกามาพจรอาศัยอยู่ในที่นั้น. แม้ฝูงเนื้อและนกทั้งปวง ก็กลับได้เมตตาจิตต่อกันและกัน ด้วยอานุภาพเมตตาแห่งดาบสดาบสินีทั้งสองนั้น. บรรดาสัตว์เหล่านั้นไม่มีสัตว์ไรๆ เบียดเบียนสัตว์ไรๆ เลย. ฝ่ายปาริกาดาบสินีลุกขึ้นแต่เช้า ตั้งน้ำดื่มและของฉันแล้วกวาดอาศรมบททำกิจทั้งปวง ดาบสและดาบสินีทั้งสองนั้น นำผลไม้เล็กใหญ่มาฉัน แล้วเข้าสู่บรรณศาลาของตนๆ เจริญสมณธรรม สำเร็จการอยู่ในที่นั้นนั่นแล.
               ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาสู่ที่บำรุงแห่งพระมุนีทั้งสองนั้น. วันหนึ่งพระองค์ทรงพิจารณาเห็น อันตรายแห่งพระมุนีทั้งสองนั้นว่า จักษุทั้งสองข้างของท่านทั้งสองนี้จักมืด จึงลงมาจากเทวโลกเข้าไปหาทุกูลบัณฑิต นมัสการแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง. ตรัสอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อันตรายจะปรากฏแก่ท่านทั้งสอง ควรที่ท่านทั้งสองจะได้บุตรไว้สำหรับปฏิบัติท่าน ขอท่านทั้งสองจงเสพโลกธรรม. ทุกูลบัณฑิตได้สดับคำของท้าวสักกเทวราชจึงกล่าวว่า ดูก่อนท้าวสักกะ พระองค์ตรัสอะไร เราทั้งสองแม้อยู่ท่ามกลางเรือนก็หาได้เสพโลกธรรมไม่ เราทั้งสองละโลกธรรมนี้ เกลียดดุจกองคูถอันเต็มไปด้วยหนอน. ก็บัดนี้เราทั้งสองเข้าป่าบวชเป็นฤาษี จักกระทำกรรมเช่นนี้อย่างไรได้. ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องทำอย่างนั้น เป็นแต่เอามือลูบท้องปาริกาดาบสินีเวลานางมีระดู. ทุกูลบัณฑิตรับว่า อย่างนี้อาจทำได้. ท้าวสักกเทวราช นมัสการทุกูลดาบสแล้วกลับไปที่อยู่ของตน. ฝ่ายทุกูลบัณฑิตก็บอกนางปรริกาให้รู้ตัว แล้วเอามือลูบท้องนาง ในเวลาที่นางมีระดู.
               ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในท้องนางปาริกาฤาษีณี กาลล่วงไปได้สิบเดือน. นางคลอดบุตรมีผิวพรรณดั่งทองคำ. ด้วยเหตุนั้นเอง บิดามารดาจึงตั้งชื่อบุตรว่า สุวรรณสามกุมาร เวลาที่ปาริกาดาบสินี ไปป่าเพื่อหามูลผลาผล. นางกินรีทั้งหลายที่อยู่ภายในบรรพต ได้ทำหน้าที่นางนม. ดาบสดาบสินีทั้งสองสรงน้ำพระโพธิสัตว์แล้วให้บรรทมในบรรณศาลา แล้วพากันไปหาผลไม้เล็กใหญ่. ในขณะนั้น นางกินรีทั้งหลาย อุ้มกุมารไปสรงน้ำที่ซอกเขาเป็นต้น แล้วขึ้นสู่ยอดบรรพต ประดับด้วยบุปผชาติต่างๆ แล้วฝนหรดาลและมโนศิลาเป็นต้นที่แผ่นศิลา ประให้เป็นเม็ดที่นลาตแล้วนำมาให้ไสยาสน์ในบรรณศาลา. ฝ่ายนางปาริกากลับมาก็ให้บุตรดื่มนม. กาลต่อมา บิดามารดาปกปักรักษาบุตรนั้น จนมีอายุได้สิบหกปี ให้นั่งอยู่ในบรรณศาลา ตนเองพากันไปป่าเพื่อหามูลผลาผลในป่า. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงคิดว่า อันตรายอะไรๆ จะพึงมีแก่บิดามารดาของเรา ในกาลบางคราว จึงทรงสังเกตทางที่บิดามารดาไป.
               อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อดาบสดาบสินีทั้งสองนำมูลผลาผลในป่า กลับมาในเวลาเย็น ถึงที่ใกล้อาศรมบท. มหาเมฆตั้งขึ้นฝนตก ท่านทั้งสองจึงเข้าไปสู่โคนไม้แห่งหนึ่ง ยืนอยู่บนยอดจอมปลวก อสรพิษมีอยู่ภายในจอมปลวกนั้น น้ำฝนเจือกลิ่นเหงื่อจากสรีระของสองท่านนั้น ไหลลงเข้ารูจมูกแห่งอสรพิษนั้น มันโกรธพ่นลมในจมูกออกมา ลมในจมูกนั้นถูกจักษุทั้งสองข้างแห่งดาบสและดาบสินีนั้น ทั้งสองท่านก็เป็นคนจักษุมืดไม่เห็นกันและกัน เพราะลมนั้น. ทุกูลบัณฑิตเรียกนางปาริกามาบอกว่า ปาริกา จักษุทั้งสองของฉันมืด ฉันมองไม่เห็นเธอ. แม้นางปาริกา ก็กล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน. ทั้งสองมองไม่เห็นทางก็ยืนคร่ำครวญอยู่ด้วยเข้าใจว่า บัดนี้ชีวิตของเราทั้งสองไม่มีละ.
               ก็ดาบสและดาบสินีทั้งสองนั้น มีบุรพกรรมเป็นอย่างไร ได้ยินว่า ท่านทั้งสองนั้นในปางก่อนเกิดในสกุลแพทย์. ครั้งนั้น แพทย์นั้นรักษาโรคในจักษุของบุรุษมีทรัพย์มากคนหนึ่ง บุรุษนั้นจักษุหายดีแล้ว ไม่ให้ทรัพย์ค่ารักษาอะไรๆ แก่แพทย์นั้น. แพทย์โกรธเขา ไปสู่เรือนแจ้งแก่ภริยาของตนว่า ที่รัก ฉันรักษาโรคในจักษุของบุรุษนั้นหาย บัดนี้เขาไม่ให้ทรัพย์ค่ารักษาแก่ฉัน เราจะทำอย่างไรดี. ฝ่ายภริยาได้สดับสามีกล่าวก็โกรธ จึงกล่าวว่า เราไม่ต้องการทรัพย์ที่มีอยู่ของมัน ท่านจงประกอบยาขนานหนึ่งให้มันหยอด ทำจักษุทั้งสองของมันให้บอดเสียเลย. สามีเห็นชอบด้วย จึงออกจากเรือนไปหาบุรุษนั้น ได้กระทำตามนั้น. บุรุษผู้มีทรัพย์มากคนนั้น ไม่นานนักก็กลับจักษุมืดไปอีก. ดาบสและดาบสินีทั้งสอง มีจักษุมืดด้วยบาปกรรมอันนี้.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์คิดว่า บิดามารดาของเรา ในวันอื่นๆ เคยกลับเวลานี้. บัดนี้เราไม่รู้เรื่องราวของท่านทั้งสองนั้น จึงเดินสวนทางร้องเรียกหาไป. ท่านทั้งสองนั้นจำเสียงบุตรได้ก็ขานรับ แล้วกล่าวห้ามด้วยความรักในบุตรว่า มีอันตรายในที่นี้ อย่ามาเลยลูก. พระมหาสัตว์ตอบท่านทั้งสองว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งสองจงจับปลายไม้เท้านี้มาเถิด แล้วยื่นไม้เท้ายาวให้ท่านทั้งสองจับ. ท่านทั้งสองจับปลายไม้เท้าแล้วมาหาบุตร. พระมหาสัตว์ถามว่า จักษุของท่านทั้งสองมืดไปด้วยเหตุอะไร. บิดามารดาทั้งสอง ก็เล่าให้พระมหาสัตว์ผู้บุตรฟังว่า ลูกรัก เมื่อฝนตก เราทั้งสองยืนอยู่บนยอดจอมปลวกที่โคนไม้ในที่นี้ จักษุทั้งสองมืดไปด้วยเหตุนั้น. พระมหาสัตว์ได้สดับคำของบิดามารดา ก็รู้ว่าอสรพิษมีในจอมปลวกนั้น อสรพิษนั้นขัดเคืองปล่อยลมในจมูกออกมา. พระมหาสัตว์เห็นบิดามารดาแล้วร้องไห้และหัวเราะ บิดามารดาจึงถามว่า ทำไมถึงร้องไห้ และหัวเราะ. พระมหาสัตว์ตอบว่า ข้าพเจ้าร้องไห้ ด้วยเสียใจว่าจักษุของท่านทั้งสองพินาศไป ในเวลาที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กอยู่. แต่ข้าพเจ้าหัวเราะด้วยดีใจว่า ข้าพเจ้าจักได้ปฏิบัติบำรุงท่านทั้งสองในบัดนี้. ขอท่านทั้งสองอย่าได้คิดอะไรเลย ข้าพเจ้าจักปฏิบัติบำรุงท่านทั้งสองให้ผาสุก.
               พระมหาสัตว์ปลอบโยนให้บิดามารดาทั้งสองเบาใจ แล้วนำมาอาศรมบท ผูกเชือกเป็นราวในที่ทั้งปวงสำหรับบิดามารดาทั้งสองนั้น คือที่พักกลางคืน ที่พักกลางวัน ที่จงกรม บรรณศาลา ที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ. จำเดิมแต่นั้นมา ให้บิดามารดาอยู่ในอาศรมบท ไปนำมูลผลาผลในป่ามาเอง ตั้งไว้ในบรรณศาลา กวาดที่อยู่ของบิดามารดาแต่เช้าทีเดียว ไหว้บิดามารดาแล้วถือหม้อน้ำ ไปสู่มิคสัมมตานที นำน้ำดื่มมา แต่งตั้งของฉันไว้ ให้ไม้สีฟัน และน้ำบ้วนปากเป็นต้น ให้ผลาผลที่มีรสอร่อย. เมื่อบิดามารดาบริโภค แลบ้วนปากแล้ว ตนเองจึงบริโภคผลาผลที่เหลือ เสร็จกิจบริโภคแล้ว ไหว้ลาบิดามารดา. มีฝูงมฤคแวดล้อมเข้าป่า เพื่อต้องการหาผลาผล. เหล่ากินนรที่เชิงบรรพต แวดล้อมพระโพธิสัตว์ช่วยเก็บผลาผลให้พระโพธิสัตว์. เวลาเย็นพระโพธิสัตว์กลับมาอาศรม เอาหม้อตักน้ำมาตั้งไว้ ต้มน้ำให้ร้อนแล้วอาบและล้างเท้าบิดามารดาตามอัธยาศัย นำกระเบื้องถ่านเพลิงมาให้ผิง เช็ดมือเท้าของบิดามารดา. เมื่อบิดามารดานั่งแล้ว ก็ให้บริโภคผลาผล. ส่วนตนเองบริโภคเมื่อบิดามารดาบริโภคเสร็จแล้ว จัดวางผลาผล ที่เหลือไว้ในอาศรมบท. พระโพธิสัตว์ปฏิบัติบำรุงบิดามารดาโดยทำนองนี้ทีเดียว.
               สมัยนั้น พระราชาพระนามว่า ปิลยักขราช เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี. พระองค์ทรงโลภเนื้อมฤค จึงมอบราชสมบัติให้พระชนนีปกครอง ผูกสอดราชาวุธห้าอย่างเข้าสู่หิมวันตประเทศ ทรงฆ่ามฤคทั้งหลายเสวยเนื้อ. เสด็จถึงมิคสัมมตานที แล้วถึงท่าที่สุวรรณสามพระโพธิสัตว์ตักน้ำ โดยลำดับ. ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้ามฤค ก็ทรงทำซุ้มด้วยกิ่งไม้มีสีเขียว โก่งคันศรสอดลูกศรอาบยาพิษ ประทับนั่งเตรียมอยู่ในซุ้มนั้น. ฝ่ายพระมหาสัตว์นำผลาผลมาในเวลาเย็น วางไว้ในอาศรมบท ไหว้บิดามารดาลาไปตักน้ำ ถือหม้อน้ำมีฝูงมฤคแวดล้อม ให้มฤคสองตัวเดินเคียงกัน วางหม้อน้ำดื่มบนหลังมฤค ทั้งสองมือประคองไปสู่ท่าน้ำ. ฝ่ายพระราชาประทับอยู่ในซุ้ม ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ดำเนินมา ทรงคิดว่า เราเที่ยวมาในหิมวันตประเทศ ตลอดกาลถึงเพียงนี้ ยังไม่เคยเห็นมนุษย์ ผู้นี้จะเป็นเทวดาหรือนาคหนอ. ถ้าเราจักเข้าไปไต่ถามผู้นี้ ถ้าเป็นเทวดาก็จักเหาะขึ้นสู่อากาศ ถ้าเป็นนาคก็จักดำดินไป แต่เราจะเที่ยวอยู่ในหิมวันตประเทศ ตลอดกาลทั้งปวงก็หาไม่. ถ้าเราจักกลับพาราณสี อมาตย์ทั้งหลายจักถามเรา ในการที่เราเที่ยวในหิมวันตประเทศนั้นว่า เมื่อพระองค์อยู่ในหิมวันตประเทศ ได้เคยทอดพระเนตรเห็นอะไรอัศจรรย์บ้าง. เราจักกล่าวว่าได้เคยเห็นสัตว์เช่นนี้ เขาก็จักถามว่า สัตว์นั้นชื่ออะไร. ถ้าเราจักตอบว่า ไม่รู้จัก. เขาก็จักติเตียนเรา เพราะเหตุนั้น เราจักยิงผู้นี้ทำให้ทุรพลแล้วจึงถามเรื่อง.
               ลำดับนั้น ในเมื่อฝูงมฤคนั้นลงดื่มน้ำแล้วขึ้นก่อน พระโพธิสัตว์จึงค่อยๆ ลงราวกะพระเถระผู้มีวัตรอันเรียนแล้ว อาบน้ำระงับความกระวนกระวาย แล้วขึ้นจากน้ำ นุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดงผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง เอาหนังเสือพาดเฉวียงบ่า ยกหม้อน้ำขึ้นเช็ดน้ำแล้ววางบนบ่าซ้าย. ก็ในกาลนั้น พระราชาทรงคิดว่า บัดนี้เป็นสมัยที่จะยิง จึงยกลูกศรอาบยาพิษนั้น ขึ้นยิงพระโพธิสัตว์ถูกข้างขวาทะลุออกข้างซ้าย. ฝูงมฤครู้ว่าพระมหาสัตว์ถูกยิง ตกใจกลัวหนีไป. ฝ่ายสุวรรณสามบัณฑิตแม้ถูกยิง ก็ประคองหม้อน้ำไว้โดยปกติ ตั้งสติค่อยๆ วางหม้อน้ำลง คุ้ยเกลี่ยทรายตั้งหม้อน้ำ กำหนดทิศหันศีรษะไปทางทิศาภาค เป็นที่อยู่ของบิดามารดา เป็นดุจสุวรรณปฏิมานอนบนทรายมีพรรณดั่งแผ่นเงิน. ตั้งสติกล่าวว่า ชื่อว่า บุคคลผู้มีเวรของเราในหิมวันตประเทศนี้ย่อมไม่มี บุคคลผู้มีเวรของบิดามารดาของเราก็ไม่มี กล่าวดังนี้แล้วถ่มโลหิตในปาก ไม่เห็นพระราชาเลย
               เมื่อจะถามจึงกล่าวคาถาที่หนึ่งว่า
               ใครหนอใช้ลูกศรยิ่งเราผู้ประมาทกำลังแบกหม้อน้ำ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ คนไหนยิงเราซ่อนกายอยู่.
               ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เพื่อจะแสดงความที่มังสะในสรีระของตน เห็นว่าไม่เป็นภักษา
               จึงกล่าวคาถาที่สองว่า
               เนื้อของเราก็กินไม่ได้ หนังก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาเข้าใจว่าเราเป็นผู้ควรยิง ด้วยเหตุอะไรหนอ.
               ครั้นกล่าวคาถาที่สองแล้ว เมื่อจะถามถึงชื่อเป็นต้น พระโพธิสัตว์จึงกล่าวคาถาว่า
               ท่านคือใคร หรือเป็นบุตรของใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร. ดูก่อนสหาย เราถามท่านแล้ว ขอท่านจงบอกเถิด ทำไมท่านยิงเราแล้วจึงซ่อนตัวเสีย.
               ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ได้นิ่งอยู่.
               พระราชาทรงสดับดังนั้น ทรงดำริว่า บุรุษนี้แม้ถูกเรายิงด้วยลูกศรอาบยาพิษล้มแล้ว ก็ไม่ด่าไม่ตัดพ้อเรา เรียกหาเราด้วยถ้อยคำที่น่ารัก ดุจบุคคลจับฟั้นหัวใจ เราจักไปหาเขา แล้วเสด็จไปประทับยืนในที่ใกล้พระโพธิสัตว์ แล้วตรัสว่า
               เราเป็นพระราชาของชาวกาสี คนเรียกเราว่า พระเจ้าปิลยักษ์ เราละแว่นแคว้นเที่ยวแสวงหามฤค เพราะความโลภ. อนึ่ง เราเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ปรากฏว่าเป็นผู้แม่นยำนัก แม้ช้างมาสู่ระยะลูกศรของเรา ก็ไม่พึงพ้นไปได้.
               พระราชาทรงสรรเสริญกำลังของพระองค์ ดังนี้แล้ว เมื่อจะตรัสถามชื่อและโคตรของพระโพธิสัตว์ จึงตรัสว่า
               ท่านคือใคร หรือเป็นบุตรของใคร พวกเราจะรู้จักท่านได้อย่างไร ท่านจงแจ้งชื่อและโคตรของบิดาท่านและของตัวท่าน.
               พระมหาสัตว์ได้สดับดังนั้นแล้ว ดำริว่า ถ้าเราบอกว่า เราเป็นเทวดา นาค ยักษ์ กินนร หรือเป็นกษัตริย์เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง. พระราชานี้ย่อมเชื่อคำของเรา เราควรกล่าวความจริงเท่านั้น ดำริฉะนี้แล้ว จึงทูลว่า

              ขอจงทรงพระเจริญ ข้าพระองค์เป็นบุตรฤาษี ผู้เป็นบุตรของนายพราน ญาติทั้งหลายเรียกข้าพระองค์เมื่อยังมีชีวิตอยู่ว่า สามะ. วันนี้ข้าพระองค์ถึงปากมรณะนอนอยู่อย่างนี้. ข้าพระองค์ถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรใหญ่อาบยาพิษ เหมือนมฤคที่ถูกพรานป่ายิงแล้ว ฉะนั้น.
               ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์จงทอดพระเนตร ซึ่งข้าพระองค์ผู้นอนจมอยู่ในโลหิตของตน. เชิญทอดพระเนตรลูกศรอันแล่นเข้าข้างขวาทะลุออกข้างซ้าย. ข้าพระองค์บ้วนโลหิตอยู่ เป็นผู้กระสับกระส่าย. ขอทูลถามพระองค์ว่า พระองค์ยิงข้าพระองค์แล้ว จะซ่อนพระองค์อยู่ทำไม.
               เสือเหลืองถูกฆ่าเพราะหนัง ช้างถูกฆ่าเพราะงา. เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์เข้าพระทัยว่า ข้าพระองค์เป็นผู้ควรยิง ด้วยเหตุอะไรหนอ.
               พระราชาทรงสดับคำของพระมหาสัตว์แล้ว ไม่ตรัสบอกตามจริง เมื่อจะตรัสคำเท็จจึงตรัสว่า
               ดูก่อนสามะ มฤคปรากฏแล้ว มาสู่ระยะลูกศรเห็นท่านเข้าก็หนีไป เพราะเหตุนั้น เราจึงเกิดความโกรธ.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระราชาผู้ใหญ่ พระองค์ตรัสอะไร ขึ้นชื่อว่า มฤคที่เห็นข้าพระองค์แล้วหนีไป ไม่มีในหิมวันตประเทศนี้ แล้วทูลว่า
               จำเดิมแต่ข้าพระองค์จำความได้ รู้จักถูกและผิด. ฝูงมฤคในป่าแม้ดุร้าย ก็ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์. จำเดิมแต่ข้าพระองค์นุ่งผ้าเปลือกไม้ ตั้งอยู่ในปฐมวัย ฝูงมฤคในป่าแม้ดุร้าย ก็ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์. ข้าแต่พระราชา ฝูงกินนรผู้ขลาดอยู่ภูเขาคันธมาทน์ เห็นข้าพระองค์ย่อมไม่สะดุ้งกลัว. เราทั้งหลายต่างชื่นชมต่อกันไปสู่ภูเขาและป่า. เมื่อเป็นเช่นนี้ มฤคทั้งหลายจะสะดุ้งกลัวข้าพระองค์ด้วยเหตุไร.
               พระราชาได้สดับดังนั้นแล้ว ทรงดำริว่า เรายิงสุวรรณสาม ผู้ไร้ความผิดนี้แล้ว ยังกล่าวมุสาวาทอีก เราจักกล่าวคำจริงเท่านั้น ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า
               ดูก่อนสามะ เนื้อเห็นท่านแล้ว หาได้ตกใจไม่. เรากล่าวเท็จแก่ท่านดอก เราถูกความโกรธและความโลภครอบงำแล้ว จึงยิงท่านด้วยลูกศรนั้น.
               ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว พระราชาทรงดำริว่า สุวรรณสามนี้จะมิได้อยู่อาศัยในป่านี้แต่ผู้เดียวเท่านั้น ญาติทั้งหลายของเขาพึงมีแน่ จักถามเขาดู จึงตรัสคาถาอีกว่า
               ดูก่อนสามะ ท่านมาแต่ไหน หรือใครใช้ท่านมา. ท่านผู้จะตักน้ำจึงไปสู่แม่น้ำมิคสัมมตา แล้วกลับมา.
               พระโพธิสัตว์ได้สดับพระดำรัสของพระราชาแล้ว กลั้นทุกขเวทนาเป็นอันมาก บ้วนโลหิตแล้วกล่าวคาถาว่า
               บิดามารดาของข้าพระองค์ตาบอด ข้าพระองค์เลี้ยงท่านเหล่านั้นอยู่ในป่าใหญ่. ข้าพระองค์นำน้ำมาเพื่อท่านทั้งสองนั้น จึงมาแม่น้ำมิคสัมมตา.
               ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็บ่นรำพันปรารภบิดามารดา กล่าวว่า
               อาหารของบิดามารดานั้นยังพอมีอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตของท่านทั้งสองนั้นจักดำรงอยู่ราวหกวัน. ท่านทั้งสองนั้นตามืด เกรงจักตายเสียเพราะไม่ได้ดื่มน้ำ.
               ความทุกข์เพราะถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรนี้ หาเป็นความทุกข์ของข้าพระองค์นักไม่ เพราะความทุกข์นี้อันบุรุษจะต้องได้ประสบ.
               ความทุกข์ที่ข้าพระองค์ไม่ได้เห็นบิดามารดา เป็นความทุกข์ของข้าพระองค์ ยิ่งกว่าความทุกข์ เพราะถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรนี้เสียอีก.
               ความทุกข์เพราะถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรนี้ หาเป็นความทุกข์ของข้าพระองค์นักไม่เพราะความทุกข์นี้อันบุรุษจะต้องได้ประสบ.
               บิดามารดาทั้งสองนั้นเป็นกำพร้าเข็ญใจ จะร้องไห้อยู่ตลอดราตรีนาน จักเหือดแห้งไปในกึ่งราตรีหรือในที่สุดราตรี ดุจแม่น้ำน้อยในคิมหฤดูจักเหือดแห้งไป.
               ข้าพระองค์เคยหมั่นบำรุงบำเรอนวดมือเท้าของท่านทั้งสองนั้น. บัดนี้ไม่เห็นข้าพระองค์ ท่านทั้งสองจักบ่นเรียกหาว่า พ่อสามๆ เที่ยวอยู่ในป่าใหญ่.
               ลูกศร คือความโศก ที่สองนี้แหละ ยังหัวใจของข้าพระองค์ให้หวั่นไหว เพราะข้าพระองค์ไม่ได้เห็นท่านทั้งสอง ผู้จักษุบอด ข้าพระองค์เห็นจักละเสียซึ่งชีวิต.
               พระราชาทรงฟังความคร่ำครวญของพระโพธิสัตว์ ทรงคิดว่า บุรุษนี้เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ตั้งอยู่ในธรรม ปฏิบัติบิดามารดาเยี่ยมยอด. บัดนี้ ได้ความทุกข์ถึงเพียงนี้ ยังคร่ำครวญถึงบิดามารดา เราได้ทำความผิดในบุรุษ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมอย่างนี้. เราควรเล้าโลมเอาใจบุรุษนี้อย่างไรดีหนอ. แล้วทรงสันนิษฐานว่า ในเวลาที่เราตกนรก ราชสมบัติจักทำอะไรได้ เราจักปฏิบัติบิดามารดาของบุรุษนี้ โดยทำนองที่บุรุษนี้ปฏิบัติแล้ว. การตายของบุรุษนี้จักเป็นเหมือนไม่ตาย ด้วยประการฉะนี้ จึงตรัสว่า
               ดูก่อนสามะผู้งดงามน่าดู ท่านอย่าปริเทวะมากเลย เราเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ปรากฏในชมพูทวีปทั้งสิ้นว่าเป็นผู้แม่นยำนัก จักฆ่ามฤคและแสวงหามูลผลาหารป่ามา ทำการงานเลี้ยงบิดามารดาของท่านในป่าใหญ่. ดูก่อนสามะ ป่าที่บิดามารดาของท่านอยู่ อยู่ที่ไหน. เราจักเลี้ยงบิดามารดาของท่าน ให้เหมือนท่านเลี้ยง.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ได้สดับพระวาจาของพระราชานั้นแล้วจึงทูลว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า. ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์โปรดเลี้ยงดูบิดามารดาของข้าพระองค์เถิด เมื่อจะชี้ทางให้ทรงทราบ จึงทูลว่า
               ข้าแต่พระราชา หนทางที่เดินเฉพาะคนเดียว ซึ่งอยู่ทางหัวนอนของข้าพระองค์นี้ เสด็จดำเนินไปแต่ที่นี้ระหว่างกึ่งเสียงกู่ จะถึงสถานที่อยู่แห่งบิดามารดาของข้าพระองค์ ขอเสด็จดำเนินแต่ที่นี้ไป เลี้ยงดูท่านทั้งสองในสถานที่นั้นเถิด.
               พระมหาสัตว์ทูลชี้ทางแด่พระราชาอย่างนี้แล้ว กลั้นเวทนาเห็นปานนั้นไว้ ด้วยความสิเนหาในบิดามารดาเป็นกำลัง ประคองอัญชลีทูลวิงวอนเพื่อต้องการให้เลี้ยงดูบิดามารดา ได้ทูลอย่างนี้อีกว่า
               ข้าแต่พระเจ้ากาสิราช ข้าพระบาทขอน้อมกราบพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ยังชาวกาสีให้เจริญ. ข้าพระบาทขอน้อมกราบพระองค์ ขอพระองค์ทรงบำรุงเลี้ยงบิดามารดาตามืดของข้าพระองค์ในป่าใหญ่. ข้าพระองค์ขอประคองอัญชลีถวายบังคมพระองค์. ขอพระองค์มีพระดำรัสกะบิดามารดาของข้าพระองค์ให้ทราบว่า ข้าพระองค์ไหว้นบท่านด้วย.
               พระราชาทรงรับคำพระมหาสัตว์ส่งการไหว้บิดามารดาแล้ว ก็ถึงวิสัญญีสลบนิ่งไป.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสว่า
               หนุ่มสามะผู้งดงามน่าดูนั้น ครั้นกล่าวคำนี้แล้ว ถูกกำลังแห่งพิษซาบซ่าน เป็นผู้วิสัญญีสลบไป.
               พระมหาสัตว์นั้น เมื่อกล่าวมาได้เพียงเท่านี้ก็ดับอัสสาสะ ไม่ได้กล่าวต่อไปอีกเลย. ก็ในกาลนั้น ถ้อยคำที่เป็นไปอาศัยหทัยรูป ซึ่งติดต่อจิตแห่งพระโพธิสัตว์นั้นขาดแล้ว เพราะกำลังแห่งพิษซาบซ่าน โอฐของพระโพธิสัตว์ก็ปิด จักษุก็หลับ มือเท้าแข็งกระด้าง ร่างกายทั้งสิ้นเปื้อนโลหิต.
               ลำดับนั้น พระราชาทรงคิดว่า สุวรรณสามนี้ พูดกับเราอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นอะไรไปหนอ จึงทรงพิจารณาตรวจดูลมอัสสาสะปัสสาสะของพระโพธิสัตว์. ก็ลมอัสสาสะปัสสาสะดับแล้ว สรีระก็แข็งแล้ว. พระราชาทอดพระเนตรเห็นเหตุนั้น ก็ทรงทราบว่า บัดนี้สุวรรณสามตายแล้วดับแล้ว ไม่ทรงสามารถที่จะกลั้นความโศกไว้ได้ ก็วางพระหัตถ์ไว้บนพระเศียรครวญคร่ำรำพันด้วยเสียงอันดัง.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสว่า
               พระราชานั้นทรงคร่ำครวญน่าสงสาร เป็นอันมากว่า เราสำคัญว่าจะไม่แก่ไม่ตาย เรารู้เรื่องนี้วันนี้ แต่ก่อนหารู้ไม่. เพราะได้เห็นสามบัณฑิตทำกาลกิริยา ความไม่มาแห่งมฤตยูย่อมไม่มี.
               สามบัณฑิตถูกลูกศรอาบยาพิษ ซึมซาบแล้วพูดอยู่กะเรา. ครั้นกาลล่วงไปอย่างนี้ในวันนี้ ไม่พูดอะไรๆ เลย เราจะต้องไปสู่นรกแน่นอน เราไม่มีความสงสัยในข้อนี้เลย เพราะว่าบาปหยาบช้า อันเราทำแล้วตลอดราตรีนานในกาลนั้น.
               เราทำกรรมหยาบช้าในบ้านเมือง คนทั้งหลายจะติเตียนเรา. ใครเล่าจะควรมากล่าวติเตียนเราในราวป่า อันหามนุษย์มิได้. คนทั้งหลายจะประชุมกันในบ้านเมือง โจทนาว่ากล่าวเอาโทษเรา. ใครเล่าหนอจะโจทนาว่ากล่าวเอาโทษเรา ในป่าอันหามนุษย์มิได้.
               พระราชาทรงคร่ำครวญว่า ก็ในป่าอันหามนุษย์มิได้นี้ ใครเล่าควรจะกล่าวติเตียนเรา ถ้าจะมี ก็พึงว่ากล่าวเรา. 
               กาลนั้น เทพธิดามีนามว่า พสุนธรี อยู่ภูเขาคันธมาทน์ เคยเป็นมารดาของพระมหาสัตว์ ในอัตภาพที่เจ็ด พิจารณาดูพระโพธิสัตว์อยู่เป็นนิจ ด้วยความสิเนหาในบุตร. ก็วันนั้นนางเสวยทิพยสมบัติ มิได้พิจารณาดูพระมหาสัตว์. บางอาจารย์ว่า นางไปสู่เทวสมาคมเสีย ดังนี้ก็มี.
               ในเวลาที่พระมหาสัตว์สลบ นางพิจารณาดูว่า ความเป็นไปของบุตรเราเป็นอย่างไรบ้างหนอ. ได้เห็นว่า พระเจ้าปิลยักษ์นี้ ยิงบุตรของเราด้วยลูกศรอาบยาพิษ ให้ล้มอยู่ที่หาดทรายฝั่งแม่น้ำมิคสัมมตา พร่ำรำพันด้วยเสียงอันดัง. ถ้าเราจักไม่ไปในที่นั้น สุวรรณสามบุตรของเราจักพินาศอยู่ในที่นี้ แม้พระหทัยของพระราชาก็จักแตก. บิดามารดาของสามะจักอดอาหาร จะไม่ได้น้ำดื่ม จักเหือดแห้งตาย. แต่เมื่อเราไป พระราชาจักถือเอาหม้อน้ำดื่มไป สู่สำนักบิดามารดาของสุวรรณสามนั้น. ก็แลครั้นเสด็จไปแล้วจักรับสั่งว่า บุตรของท่านทั้งสอง เราฆ่าเสียแล้ว และทรงสดับคำของท่านทั้งสองนั้นแล้ว จักนำท่านทั้งสองนั้นไปสู่สำนักของสุวรรณสามผู้บุตร.
               เมื่อเป็นเช่นนี้ ดาบสดาบสินีทั้งสอง และเราจักทำสัจจกิริยา. พิษของสุวรรณสามก็จักหาย บุตรของเราจักได้ชีวิตคืนมา จักษุทั้งสองข้างของบิดามารดาสุวรรณสามจักแลเห็นเป็นปกติ และพระราชาจักได้ทรงสดับธรรมเทศนาของสุวรรณสาม เสด็จกลับพระนคร ทรงบริจาคมหาทาน ครองราชสมบัติโดยยุติธรรม มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า เพราะเหตุนั้น เราจะไปในที่นั้น เทพธิดานั้นจึงไปสถิตอยู่ในอากาศโดยไม่ปรากฏกาย ที่ฝั่งมิคสัมมตานที กล่าวกับพระเจ้าปิลยักขราช.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
               เทพธิดานั้นอันตรธานไปในภูเขาคันธมาทน์ มาภาษิตคาถาเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์พระราชาว่า พระองค์ทำความผิดมาก ได้ทำกรรมอันชั่วช้า. บิดามารดาและบุตรทั้งสาม ผู้หาความประทุษร้ายมิได้ ถูกพระองค์ฆ่าเสียด้วยลูกศรลูกเดียวกัน.
               เชิญเสด็จมาเถิด ข้าพเจ้าจะพร่ำสอนพระองค์ ด้วยวิธีที่พระองค์จะได้สุคติ. พระองค์จงเลี้ยงดูบิดามารดาทั้งสอง ผู้มีจักษุมืดโดยธรรมในป่า ข้าพเจ้าเข้าใจว่า สุคติจะพึงมีแก่พระองค์.
               พระราชาทรงสดับคำของเทพธิดาแล้วทรงเชื่อว่า เราเลี้ยงบิดามารดาของสุวรรณสามแล้ว จักไปสู่สวรรค์. ทรงดำริว่า เราจะต้องการราชสมบัติทำไม. เราจักเลี้ยงดูท่านทั้งสองนั้น ทรงตั้งพระหฤทัยมั่น ทรงร่ำไรรำพันเป็นกำลัง ทรงทำความโศกให้เบาบาง เข้าพระหฤทัยว่า สุวรรณสามโพธิสัตว์สิ้นชีพแล้ว จึงทรงบูชาสรีระของพระโพธิสัตว์นั้น ด้วยบุปผชาติต่างๆ ประพรมด้วยน้ำ. ทำประทักษิณสามรอบ ทรงกราบในฐานะทั้งสี่ แล้วถือหม้อน้ำที่พระโพธิสัตว์ใส่ไว้เต็มแล้ว ถึงความโทมนัส บ่ายพระพักตร์ทางทิศทักษิณเสด็จไป.
               พระศาสดา เมื่อทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
               พระราชานั้นทรงคร่ำครวญอย่างน่าสงสารเป็นอันมาก ทรงถือหม้อน้ำ บ่ายพระพักตร์ทางทิศทักษิณเสด็จหลีกไปแล้ว.
               แม้โดยปกติพระราชาเป็นผู้มีพระกำลังมาก ทรงถือหม้อน้ำ เข้าไปสู่อาศรมบท ถึงประตูบรรณศาลาของทุกูลบัณฑิต ดุจบุคคลกระแทกอาศรมให้กระเทือน. ทุกูลบัณฑิตนั่งอยู่ภายใน ได้ฟังเสียงฝีพระบาทแห่งพระเจ้าปิลยักขราช ก็นึกในใจว่า นี้ไม่ใช่เสียงแห่งฝีเท้าสุวรรณสามบุตรเรา เสียงฝีเท้าใครหนอ.
               เมื่อจะถาม จึงกล่าวคาถาสองคาถาว่า
               นั่นเสียงฝีเท้าใครหนอ เสียงฝีเท้ามนุษย์เดินเป็นแน่ เสียงฝีเท้าสามบุตรเราไม่ดัง. ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นใครหนอ สามบุตรเราเดินเบาวางเท้าเบา เสียงฝีเท้าสามบุตรเราไม่ดัง ท่านเป็นใครหนอ.
               พระราชาได้สดับคำถามนั้น ทรงดำริว่า ถ้าเราไม่บอกความที่เราเป็นพระราชา บอกว่าเราฆ่าบุตรของท่านเสียแล้ว. ท่านทั้งสองนี้จักโกรธเรา กล่าวคำหยาบกะเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ ความโกรธในท่านทั้งสองนี้ ก็จักเกิดขึ้นแก่เรา. ครั้นความโกรธเกิดขึ้น เราก็จักเบียดเบียนท่านทั้งสองนั้น กรรมนั้นจักเป็นอกุศลของเรา. แต่เมื่อเราบอกว่าเราเป็นพระราชา ชื่อว่าผู้ที่ไม่เกรงกลัว ย่อมไม่มี. เพราะฉะนั้น เราจะบอกความที่เราเป็นพระราชาก่อน ทรงดำริฉะนี้แล้ว ทรงวางหม้อน้ำ ไว้ที่โรงน้ำดื่ม แล้วประทับยืนที่ประตูบรรณศาลา.
               เมื่อจะแสดงพระองค์ให้ฤาษีรู้จัก จึงตรัสว่า
               เราเป็นพระราชาของชาวกาสี คนเรียกเราว่า พระเจ้าปิลยักษ์. เราละแว่นแคว้นเที่ยว แสวงหามฤคเพราะความโลภ. อนึ่ง เราเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ปรากฏว่าเป็นผู้แม่นยำนัก. แม้ช้างมาสู่ระยะลูกศรของเราก็ไม่พึงพ้นไปได้.
               ฝ่ายทุกูลบัณฑิตเมื่อจะทำปฏิสันถารกับพระราชา จึงทูลว่า
               ข้าแต่มหาบพิตร พระองค์เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง พระองค์เสด็จมาแต่ไกลก็เหมือนใกล้. พระองค์ผู้มีอิสระเสด็จมาถึงแล้ว ขอจงทรงทราบสิ่งที่มีอยู่ในที่นี้. ข้าแต่มหาบพิตร เชิญเสวยผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเม่า อันเป็นผลไม้เล็กน้อย. ขอได้โปรดเลือกเสวยผลที่ดีๆ เถิด. ข้าแต่มหาบพิตร ขอจงทรงดื่มน้ำซึ่งเป็นน้ำเย็น นำมาแต่มิคสัมมตานที ซึ่งไหลจากซอกเขา ถ้าทรงพระประสงค์.
               เมื่อดาบสทำปฏิสันถารอย่างนี้แล้ว พระราชาทรงคิดว่า เราไม่ควรจะบอกว่า เราฆ่าบุตรของท่านเสียแล้ว. ดังนี้ก่อน ทำเหมือนไม่รู้ พูดเรื่องอะไรๆ ไปก่อนแล้วจึงบอก ทรงดำริดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า
               ท่านทั้งสองจักษุมืด ไม่สามารถจะเห็นอะไรๆในป่า ใครเล่าหนอนำผลไม้มาเพื่อท่านทั้งสอง. ความสะสมผลไม้น้อยใหญ่ไว้ โดยเรียบร้อยนี้ ปรากฏแก่ข้าพเจ้าว่า ดูเหมือนคนตาดีสะสมไว้.
               ทุกูลบัณฑิตได้ฟังดังนั้น เพื่อจะแสดงว่ามูลผลาผลตนมิได้นำมา แต่บุตรของตนนำมา จึงได้กล่าวสองคาถาว่า
               สามะหนุ่มน้อยรูปร่างสันทัดงดงามน่าดู เกศาของเธอยาวดำ เฟื้อยลงไปปลายงอนช้อนขึ้นข้างบน. เธอนั่นแหละนำผลไม้มา ถือหม้อน้ำจากที่นี่ ไปสู่แม่น้ำนำน้ำมา เห็นจะกลับมาใกล้แล้ว.
               พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสว่า

              ข้าพเจ้าได้ฆ่าสามกุมารผู้ปฏิบัติบำรุงท่านเสียแล้ว ผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงสามกุมารผู้งดงามน่าดูใด เกศาของสามกุมารนั้นยาวดำ เฟื้อยลงไปปลายงอนช้อนขึ้นเบื้องบน สามกุมารนั้นข้าพเจ้าฆ่าเสียแล้ว นอนอยู่ที่หาดทรายเปรอะเปื้อนด้วยโลหิต.
               ก็บรรณศาลาของปาริกาดาบสินีอยู่ใกล้ของทุกูลบัณฑิต. นางนั่งอยู่ในบรรณศาลานั้น ได้ฟังพระดำรัสของพระราชา ก็ใคร่จะรู้ประพฤติการณ์นั้น จึงออกจากบรรณศาลาของตน ไปสำนักทุกูลบัณฑิตด้วยสำคัญเชือก ที่สำหรับสาวเดินไปได้กล่าวว่า
               ข้าแต่ทุกูลบัณฑิต ท่านพูดกับใครซึ่งบอกว่า ข้าพเจ้าฆ่าสามกุมารเสียแล้ว ใจของดิฉันย่อมหวั่นไหว เพราะได้ยินว่า สามกุมารถูกฆ่าเสียแล้ว. กิ่งอ่อนแห่งต้นโพธิ์ใบ อันลมพัดให้หวั่นไหว ฉันใด ใจของดิฉันย่อมหวั่นไหวเพราะได้ยินว่า สามกุมารถูกฆ่าเสียแล้ว ฉันนั้น.
               ลำดับนั้น ทุกูลบัณฑิต เมื่อจะโอวาทนางปาริกาดาบสินีนั้น จึงกล่าวว่า
               ดูก่อนนางปาริกา ท่านผู้นี้คือพระเจ้ากาสี พระองค์ทรงยิงสามกุมารด้วยลูกศร ที่มิคสัมมตานที ด้วยความโกรธ. เราทั้งสองอย่าปรารถนาบาปต่อพระองค์เลย.
               ปาริกาดาบสินีกล่าวอีกว่า
               บุตรที่รักอันหาได้ด้วยยาก ผู้ได้เลี้ยงเราทั้งสอง ผู้ตามืดในป่า จะไม่ยังจิตให้โกรธ ในบุคคลผู้ฆ่าบุตรคนเดียวนั้นได้อย่างไร.
               ทุกูลบัณฑิตกล่าวว่า
               บุตรที่รักอันหาได้ด้วยยาก ผู้ได้เลี้ยงเราทั้งสอง ผู้ตามืดในป่า บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญบุคคลผู้ไม่โกรธในบุคคลผู้ฆ่าบุตรคนเดียวนั้น.
               ก็แล ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ดาบสดาบสินีทั้งสองก็ข้อนทรวง ด้วยมือทั้งสอง พรรณนาคุณของพระมหาสัตว์ คร่ำครวญเป็นอันมาก.
               ลำดับนั้น พระเจ้าปิลยักขราช เมื่อจะทรงเล้าโลมเอาใจดาบสทั้งสองนั้น จึงตรัสว่า
               ขอผู้เป็นเจ้าทั้งสองอย่าคร่ำครวญ เพราะข้าพเจ้ากล่าวว่า ข้าพเจ้าฆ่าสามกุมารเสียแล้ว ไปมากเลย. ข้าพเจ้าจักรับการงานเลี้ยงดูผู้เป็นเจ้าทั้งสอง ในป่าใหญ่. ข้าพเจ้าเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ปรากฏว่า เป็นผู้แม่นยำนัก. ข้าพเจ้าจักรับการงานเลี้ยงดูผู้เป็นเจ้าทั้งสอง ในป่าใหญ่. ข้าพเจ้าจักฆ่ามฤคและแสวงหามูลผลในป่า รับการงานเลี้ยงดูผู้เป็นเจ้าทั้งสองในป่าใหญ่.
               ลำดับนั้น ฝ่ายดาบสดาบสินีทั้งสองนั้นสนทนากับพระราชาทูลว่า
               ขอถวายพระพรมหาบพิตร สภาพนั้นไม่สมควร การทรงทำอย่างนั้นไม่ควรในอาตมาทั้งสอง. พระองค์เป็นพระราชาของอาตมาทั้งสอง อาตมาทั้งสองขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์.
               พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น ทรงยินดีเหลือเกิน ทรงดำริว่า โอ น่าอัศจรรย์ แม้เพียงคำหยาบของฤาษีทั้งสองนี้ ก็ไม่มี ในเราผู้ทำความประทุษร้าย ถึงเพียงนี้ กลับยกย่องเราเสียอีก จึงตรัสอย่างนี้ว่า
               ข้าแต่ท่านผู้เชื้อชาติเนสาท ท่านกล่าวเป็นธรรม ท่านบำเพ็ญความถ่อมตนแล้ว ขอท่านจงเป็นบิดาของข้าพเจ้า. ข้าแต่นางปาริกา ขอท่านจงเป็นมารดาของข้าพเจ้า.
               ดาบสทั้งสองประคองอัญชลีไหว้ เมื่อจะทูลวิงวอนว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระองค์ไม่มีหน้าที่ที่จะทำการงานแก่อาตมาทั้งสอง. แต่ขอพระองค์จงทรงถือปลายไม้เท้าของอาตมาทั้งสอง นำไปแสดงตัวสุวรรณสามเถิด จึงกล่าวสองคาถาว่า
               ข้าแต่พระเจ้ากาสี อาตมาทั้งสองขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ยังชาวกาสีให้เจริญ อาตมาทั้งสองนอบน้อมแด่พระองค์ อาตมาทั้งสองประคองอัญชลีแด่พระองค์. ขอพระองค์โปรดพาอาตมาทั้งสอง ไปให้ถึงสามกุมาร. อาตมาทั้งสองจะสัมผัสเท้าทั้งสองและดวงหน้าอันงดงามน่าดูของเธอ แล้วทรมานตนให้ถึงกาลกิริยา.
               เมื่อท่านเหล่านั้นสนทนากันอยู่อย่างนี้ พระอาทิตย์อัสดงคต. ลำดับนั้น พระราชาทรงดำริว่า ถ้าเรานำฤาษีทั้งสองผู้ตามืดไปในสำนักของสุวรรณสาม ในบัดนี้ทีเดียว หทัยของฤาษีทั้งสองจักแตกเพราะเห็นสุวรรณสามนั้น เราก็ชื่อว่านอนอยู่ในนรก. ในกาลที่ท่านทั้งสามทำกาลกิริยา ด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น เราจักไม่ให้ฤาษีทั้งสองนั้นไป ทรงดำริฉะนี้แล้ว จึงตรัสคาถาสี่คาถาว่า
               สามกุมารถูกฆ่านอนอยู่ที่ป่าใด ดุจดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ตกลงเหนือแผ่นดินแล้ว เกลือกเปื้อนด้วยฝุ่นทราย. ป่านั้นเป็นป่าใหญ่ เกลื่อนกล่นด้วยพาลมฤค ปรากฏเหมือนที่สุดอากาศ ผู้เป็นเจ้าทั้งสองจงอยู่ในอาศรมนี้แหละ.
               ลำดับนั้น ฤาษีทั้งสองได้กล่าวคาถาเพื่อจะแสดงว่า ตนไม่กลัวพาลมฤคทั้งหลายว่า
               ถ้าในป่านั้นมีพาลมฤค ตั้งร้อยตั้งพันและตั้งหมื่น อาตมาทั้งสองก็ไม่มีความกลัว ในพาลมฤคทั้งหลายในป่าไหนๆ เลย.
               ลำดับนั้น พระราชาเมื่อไม่อาจห้ามฤาษีทั้งสองนั้น ก็ทรงจูงมือนำไปในสำนักสุวรรณสามนั้น.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสว่า
               ในกาลนั้น พระเจ้ากาสีทรงพาฤาษีทั้งสอง ผู้ตามืดไปในป่าใหญ่ สุวรรณสามถูกฆ่าอยู่ในที่ใด ก็ทรงจูงมือฤาษีทั้งสองไปในที่นั้น.
               ก็แลครั้นทรงนำไปแล้ว ประทับยืนในที่ใกล้สุวรรณสามแล้วตรัสว่า นี้บุตรของผู้เป็นเจ้าทั้งสอง. ลำดับนั้น ฤาษีผู้เป็นบิดาของพระโพธิสัตว์ ช้อนเศียรขึ้นวางไว้บนตัก. ฤาษิณีผู้เป็นมารดาก็ยกเท้าขึ้นวางไว้บนตักของตนนั่งบ่นรำพันอยู่.
               พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น ตรัสว่า
               ดาบสดาบสินีทั้งสองเห็นสามกุมาร ผู้เป็นบุตรนอนเกลือกเปื้อนฝุ่นทราย ถูกทิ้งไว้ในป่าใหญ่ ดุจดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ตกเหนือแผ่นดิน ก็ปริเทวนาการน่าสงสาร ประคองแขนทั้งสอง ร้องไห้ว่า สภาพไม่ยุติธรรมมาเป็นไปในโลกนี้.
               พ่อสามผู้งามน่าดู พ่อมาหลับเอาจริงๆ เคลิบเคลิ้มเอามากมายดั่งคนดื่มสุราเข้ม ขัดเคืองใครเอาใหญ่ ถือตัวมิใช่น้อย มีใจพิเศษ. ในเมื่อกาลล่วงไปอย่างนี้ในวันนี้ พ่อไม่พูดอะไรๆ บ้างเลย
               พ่อสามนี้เป็นผู้ปฏิบัติบำรุงเราทั้งสองผู้ตามืด มาทำกาลกิริยาเสียแล้ว บัดนี้ใครเล่าจักชำระชฎาอันหม่นหมองเปื้อนฝุ่นละออง. ใครเล่าจักจับกราดกวาดอาศรมของเราทั้งสอง ใครเล่าจักจัดน้ำเย็นและน้ำร้อนให้อาบ. ใครเล่าจักให้เราทั้งสองได้บริโภคมูลผลาหารในป่า. ลูกสามะนี้เป็นผู้ปฏิบัติบำรุงเราทั้งสองผู้ตามืด มาทำกาลกิริยาเสียแล้ว.
               ลำดับนั้น ฤาษิณีผู้มารดาแห่งพระโพธิสัตว์ เมื่อบ่นเพ้อ เป็นหนักหนา ก็เอามืออังที่อกพระโพธิสัตว์ พิจารณาความอบอุ่นคิดว่า ความอบอุ่นของบุตร เรายังเป็นไปอยู่ บุตรเราจักสลบด้วยกำลังยาพิษ เราจักกระทำสัจจกิริยาแก่บุตรเรา เพื่อถอนพิษออกเสีย คิดฉะนี้แล้วได้กระทำสัจจกิริยา.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสว่า
               มารดาผู้ระทมจิตด้วยความโศกถึงบุตร ได้เห็นสามะ ผู้เป็นบุตรนอนเกลือกเปื้อนด้วยฝุ่นทราย ได้กล่าวคำสัจว่า ลูกสามะนี้ได้เป็นผู้ประพฤติธรรมเป็นปกติ ได้เป็นผู้ประพฤติดังพรหมเป็นปกติ ได้เป็นผู้กล่าวคำจริงมาแต่ก่อน ได้เป็นผู้เลี้ยงบิดามารดา ได้เป็นผู้ประพฤติยำเกรงต่อท่านผู้เจริญในสกุล เป็นผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา. โดยความจริงใดๆ ด้วยการกล่าวความจริงนั้นๆ ขอพิษของลูกสามะจงหายไป. บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามะกระทำแล้วแก่เราและแก่บิดาของเธอ มีอยู่. ด้วยอานุภาพกุศลบุญนั้นทั้งหมด ขอพิษของลูกสามะจงหายไป.
               เมื่อมารดาทำสัจจกิริยาด้วยเจ็ดคาถาอย่างนี้ สามกุมารก็พลิกตัวกลับนอนต่อไป.
               ลำดับนั้น บิดาคิดว่า ลูกของเรายังมีชีวิตอยู่ เราจักทำสัจจกิริยาบ้าง จึงได้ทำสัจจกิริยาอย่างนั้น.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสว่า
               บิดาผู้ระทมจิตด้วยความโศกถึงบุตร ได้เห็นสามะ ผู้เป็นบุตรนอนเกลือกเปื้อนด้วยฝุ่นทราย ได้กล่าวคำสัจว่า ลูกสามะนี้ได้เป็นผู้ประพฤติธรรมเป็นปกติ ได้เป็นผู้ประพฤติดังพรหมเป็นปกติ ได้เป็นผู้กล่าวคำจริงมาแต่ก่อน ได้เป็นผู้เลี้ยงบิดามารดา ได้เป็นผู้ประพฤติยำเกรงต่อท่านผู้เจริญในสกุล เป็นผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา. โดยความจริงใดๆ ด้วยการกล่าวความจริงนั้นๆ ขอพิษของลูกสามะจงหายไป. บุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสามะกระทำแล้วแก่เราและแก่มารดาของเธอ มีอยู่. ด้วยอานุภาพกุศลบุญนั้นทั้งหมด ขอพิษของลูกสามะจงหายไป.
               เมื่อบิดาทำสัจจกิริยาอยู่อย่างนี้ พระมหาสัตว์พลิกตัวอีกข้างหนึ่งนอนต่อไป. ลำดับนั้น เทพธิดาผู้มีนามว่า พสุนธรี ได้ทำสัจจกิริยาลำดับที่สามแก่พระมหาสัตว์นั้น.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสว่า
               นางพสุนธรีเทพธิดาอันตรธานไปจากภูเขาคันธมาทน์ มากล่าวสัจจวาจา ด้วยความเอ็นดูสามกุมารว่า เราอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ตลอดราตรีนาน. ใครๆ อื่นซึ่งเป็นที่รักของเรากว่าสามกุมาร ไม่มี. ของหอมล้วนแล้วด้วยไม้หอมทั้งหมด ณ คันธมาทน์บรรพตมีอยู่. ด้วยสัจจวาจานี้ ขอพิษของสามกุมารจงหายไป. เมื่อฤาษีทั้งสองบ่นเพ้อรำพันเป็นอันมากน่าสงสาร สามกุมารผู้หนุ่มงดงามน่าทัศนา ก็ลุกขึ้นเร็วพลัน.
               อัศจรรย์ทั้งปวงคือ พระมหาสัตว์หายโรค ฤาษีผู้เป็นบิดามารดาได้ดวงตากลับเห็นเป็นปกติ แสงอรุณขึ้น และท่านทั้งสี่เหล่านั้นปรากฏที่อาศรม ได้มีขึ้นในขณะเดียวกันทีเดียว. บิดามารดาทั้งสองได้ดวงตาดีเป็นปกติแล้ว ยินดีอย่างเหลือเกินว่า ลูกสามะหายโรค.
               ลำดับนั้น สามบัณฑิตได้กล่าวกะท่านเหล่านั้นด้วยคาถานี้ว่า
               ข้าพเจ้ามีนามว่าสามะ ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าลุกขึ้นได้แล้วโดยสวัสดี ขอท่านทั้งหลายอย่าคร่ำครวญนักเลย. จงพูดกะข้าพเจ้าด้วยเสียงอันไพเราะเถิด.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์แลเห็นพระราชา เมื่อจะทูลปฏิสันถาร จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
               ข้าแต่มหาบพิตร พระองค์เสด็จมาดีแล้ว. อนึ่ง พระองค์เสด็จมาแต่ไกลก็เหมือนใกล้. พระองค์ผู้มีอิสระเสด็จมาถึงแล้ว ขอจงทรงทราบสิ่งที่มีอยู่ในที่นี้. ข้าแต่มหาบพิตร เชิญเสวยผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเม่า อันเป็นผลไม้เล็กน้อย ขอได้โปรดเลือกเสวยผลที่ดีๆ เถิด. ข้าแต่มหาบพิตร ขอจงทรงดื่มน้ำซึ่งเป็นน้ำเย็น นำมาแต่มิคสัมมตานที ซึ่งไหลจากซอกเขา ถ้าทรงพระประสงค์.
               ฝ่ายพระราชาทอดพระเนตรเห็นอัศจรรย์นั้น จึงตรัสว่า
               ข้าพเจ้าหลงเอามาก หลงเอาจริงๆ มืดไปทั่วทิศ ข้าพเจ้าได้เห็นสามบัณฑิตนั้นทำกาลกิริยาแล้ว ทำไมท่านเป็นได้อีกเล่าหนอ.
               ฝ่ายสามบัณฑิตดำริว่า พระราชาทรงกำหนดเราว่าตายแล้ว เราจักประกาศความที่เรายังไม่ตายแก่พระองค์ จึงทูลว่า
               ข้าแต่มหาราชเจ้า โลกย่อมสำคัญซึ่งบุคคลผู้ยังมีชีวิตอยู่ เสวยเวทนาอย่างหนัก มีความดำริในใจ เข้าไปใกล้แล้ว ยังเป็นอยู่แท้ๆ ว่าตายแล้ว. ข้าแต่มหาราชเจ้า โลกย่อมสำคัญซึ่งบุคคลผู้ยังมีชีวิตอยู่ เสวยเวทนาอย่างหนัก ถึงความดับสนิทระงับแล้วนั้น ยังเป็นอยู่แท้ๆ ว่าตายแล้ว.
               ก็แล ครั้นทูลอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ประสงค์จะประกอบ พระราชาไว้ในประโยชน์ เมื่อแสดงธรรม จึงได้กล่าวคาถาอีกสองคาถาว่า
               บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยธรรม เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมแก้ไขคุ้มครองบุคคลผู้เลี้ยงดูบิดามารดานั้น. บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยธรรม นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลผู้นั้นในโลกนี้. บุคคลนั้นละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงอยู่ในสวรรค์.
               พระราชาได้สดับคำนั้นแล้ว ทรงดำริว่า น่าอัศจรรย์หนอ แม้เทวดาทั้งหลาย ก็เยียวยาโรคที่เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้เลี้ยงดูบิดามารดา. สามบัณฑิตนี้งดงามเหลือเกิน ทรงดำริฉะนี้แล้ว ประคองอัญชลีตรัสว่า
               ข้าพเจ้านี้หลงเอามากจริงๆ มืดไปทั่วทิศ. ท่านสามบัณฑิต ข้าพเจ้าขอถึงท่านเป็นสรณะ และขอท่านจงเป็นสรณะของข้าพเจ้า.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ถ้าพระองค์มีพระประสงค์เสด็จสู่เทวโลก มีพระประสงค์บริโภคทิพยสมบัติใหญ่ จงทรงประพฤติในทศพิธราชธรรมจรรยาเหล่านี้เถิด เมื่อจะถวายโอวาทแด่พระราชา จึงได้กล่าวคาถาอัน ว่าด้วยการประพฤติทศพิธราชธรรมว่า
               ข้าแต่ขัตติยมหาราช ขอพระองค์ทรงประพฤติธรรมในพระชนกพระชนนี ในพระโอรสและพระมเหสี ในมิตรและอมาตย์ ในพาหนะและพลนิกาย ในชาวบ้านและชาวนิคม ในชาวแว่นแคว้นและชาวชนบท ในสมณะและพราหมณ์ ในฝูงมฤคและฝูงปักษีเถิด. ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมนั้นๆ ในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์.
               ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์ทรงประพฤติธรรมเถิด ธรรมที่พระองค์ทรงประพฤติแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้. ครั้นพระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์. ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์ทรงประพฤติธรรมเถิด.
               พระอินทร์ เทพเจ้า พร้อมทั้งพระพรหม ถึงแล้วซึ่งทิพยสถาน ด้วยธรรมที่ประพฤติดีแล้ว. ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์อย่าทรงประมาทธรรม.
               ก็เนื้อความของคาถาเหล่านี้ มีกล่าวไว้โดยพิสดารแล้วในสกุณชาดก นั้นแล.
               พระมหาสัตว์แสดงธรรมถวายพระราชาอย่างนี้แล้ว เมื่อจะถวายโอวาทยิ่งขึ้น ได้ถวายเบญจศีล. พระราชาทรงรับโอวาทของพระมหาสัตว์นั้นด้วยพระเศียร ทรงไหว้พระโพธิสัตว์ ขอขมาโทษพระโพธิสัตว์แล้วเสด็จกลับกรุงพาราณสี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลมีทานเป็นต้น ทรงรักษาเบญจศีลครองราชสมบัติโดยธรรมโดยเสมอ. ในที่สุดแห่งพระชนม์ ได้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ปฏิบัติบำรุงบิดามารดา ยังอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดพร้อมด้วยบิดามารดา มิได้เสื่อมจากฌาน. ในที่สุดแห่งอายุได้เข้าถึงพรหมโลกพร้อมด้วยบิดามารดานั้นแล.
               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าการเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นวงศ์ของบัณฑิตทั้งหลาย ตรัสฉะนี้แล้ว ทรงประกาศอริยสัจสี่ ประชุมชาดก.
               ในเวลาเทศนาอริยสัจสี่จบลง ภิกษุนั้นบรรลุโสดาปัตติผล.
               พระราชาปิลยักขราช ในกาลนั้น เป็น ภิกษุชื่ออานนท์ ในกาลนี้.
               พสุนธรีเทพธิดา เป็น ภิกษุณีชื่ออุบลวรรณา.
               ท้าวสักกเทวราช เป็น ภิกษุชื่ออนุรุทธะ.
               ทุกูลบัณฑิตผู้บิดา เป็น ภิกษุชื่อมหากัสสปะ.
               นางปาริกาผู้มารดาเป็น ภิกษุณีชื่อภัททกาปิลานี.
               ก็สุวรรณสามบัณฑิต คือ เราผู้สัมมาสัมพุทธะ นี้เองแล.

               ------------------------------------------

หมายเลขบันทึก: 717817เขียนเมื่อ 4 เมษายน 2024 16:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 เมษายน 2024 16:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท