๒. มหาชนกชาดก


ว่าด้วยพระมหาชนกทรงบำเพ็ญวิริยะบารมี

๒. มหาชนกชาดก (วิริยะบารมี)

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒

๒. มหาชนกชาดก (๕๓๙)

ว่าด้วยพระมหาชนกทรงบำเพ็ญวิริยะบารมี

 

             (เทพธิดากล่าวว่า)

             [๑๒๓] ใครกันนี่ ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นฝั่ง ก็ยังเพียรพยายาม(ว่าย)อยู่ในท่ามกลางสมุทร ท่านรู้อำนาจประโยชน์อะไร จึงพยายามเต็มที่อยู่อย่างนี้

             (พระโพธิสัตว์ตอบว่า)

             [๑๒๔] เทพธิดา เราพิเคราะห์เห็นธรรมเนียมของโลก และอานิสงส์ของความพยายาม เพราะฉะนั้น ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นฝั่ง เราจึงเพียรพยายาม(ว่าย)อยู่ในท่ามกลางสมุทร

             (เทพธิดากล่าวว่า)

             [๑๒๕] ฝั่งสมุทรอันลึกประมาณไม่ได้ยังไม่ปรากฏ ความพยายามอย่างลูกผู้ชายของท่านย่อมเปล่าประโยชน์ ยังไม่ทันจะถึงฝั่งเลย ท่านก็จักตายแน่

             (พระโพธิสัตว์ตอบว่า)

             [๑๒๖] บุคคลผู้ทำหน้าที่ของลูกผู้ชายอยู่ จะไม่ถูกหมู่ญาติ เทวดา และพรหมทั้งหลายนินทา ทั้งจะไม่เดือดร้อนในภายหลัง

             (เทพธิดากล่าวว่า)

             [๑๒๗] การงานที่ให้ถึงฝั่งไม่ได้ ปราศจากผล ก่อให้เกิดความลำบาก และความตาย ย่อมมีได้เพราะทำการงานใด ประโยชน์อะไรด้วยความพยายาม ในการงานนั้น

             (พระโพธิสัตว์ตอบว่า)

             [๑๒๘] เทพธิดา บุคคลใดรู้ว่า งานสุดวิสัยเกินตัวแล้ว ไม่รักษาชีวิตของตน ถ้าผู้นั้นคลายความเพียรเสีย ก็จะพึงรู้ผลของงานนั้น

             [๑๒๙] เทพธิดา คนบางพวกในโลกนี้ พิจารณาเห็นผลแห่งความมุ่งประสงค์ของตน จึงประกอบการงานทั้งหลาย การงานเหล่านั้นจะสำเร็จหรือไม่ก็ตามที

             [๑๓๐] เทพธิดา ท่านกำลังเห็นผลงานที่ประจักษ์แก่ตนเองแล้วมิใช่หรือ คนอื่นๆ พากันจมน้ำแล้ว เราคนเดียวเท่านั้นพยายามข้ามอยู่ และยังเห็นท่านอยู่ใกล้เรา

             [๑๓๑] เรานั้นจักพยายามตามกำลังความสามารถ จักไปให้ถึงฝั่งสมุทร จักทำความเพียรอย่างลูกผู้ชาย

             (ต่อมา พระโพธิสัตว์ได้ครองราชสมบัติในเมืองมิถิลาแล้ว ทรงระลึกถึงผลแห่งความเพียรชอบของพระองค์ ทรงเปล่งอุทานด้วยกำลังปีติว่า)

             [๑๓๒] ท่านใดถึงพร้อมด้วยความพยายามโดยธรรม ไม่จมลงในห้วงมหรรณพที่หาประมาณมิได้เห็นปานนี้ด้วยการกระทำ ท่านนั้นจงไปในสถานที่ที่ท่านชอบใจเถิด ขุมทรัพย์ใหญ่ ๑๖ ขุมนี้ (ขุมทรัพย์ใหญ่ ๑๖ ขุมที่พระเจ้าโปลชนกทรงฝังไว้ อธิบายโดยย่อ ดังนี้ ๑. ขุมทรัพย์ที่อยู่ทางดวงอาทิตย์ขึ้น หมายถึงที่ต้อนรับพระปัจเจกพุทธเจ้า ๒. ขุมทรัพย์ที่อยู่ทางดวงอาทิตย์ตก หมายถึงที่ส่งพระปัจเจกพุทธเจ้ากลับ ๓. ขุมทรัพย์ที่อยู่ภายใน หมายถึงขุมทรัพย์ที่อยู่ภายในประตูใหญ่พระราชวัง ๔. ขุมทรัพย์ที่อยู่ภายนอก หมายถึงขุมทรัพย์ที่อยู่ภายนอกประตูใหญ่พระราชวัง ๕. ขุมทรัพย์ที่ไม่ใช่อยู่ภายในภายนอก หมายถึงขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ภายใต้ธรณีประตู ๖. ขุมทรัพย์ที่ทางขึ้น หมายถึงขุมทรัพย์ตรงที่ลาดบันได เวลาเสด็จขึ้นช้างมงคล ๗. ขุมทรัพย์ที่ทางลง หมายถึงขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ตรงที่เสด็จลงจากคอช้าง ๘.-๑๑. ขุมทรัพย์ที่ไม้สาละทั้ง ๔ หมายถึงขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ที่เท้าพระแท่นบรรทมทั้ง ๔ ๑๒. ขุมทรัพย์ที่โยชน์หนึ่งโดยรอบ หมายถึงขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ชั่วแอก (หนึ่งวา) รอบที่บรรทม ๑๓. ขุมทรัพย์ที่ปลายงาทั้ง ๒ หมายถึงขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ตรงปลายงาทั้ง ๒ ของช้างมงคลในโรงช้างมงคล ๑๔. ขุมทรัพย์ที่ปลายหาง หมายถึงขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ตรงปลายหางของช้างมงคลในโรงช้างมงคล ๑๕. ขุมทรัพย์ที่สระน้ำ หมายถึงขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ในสระโบกขรณีมงคล ๑๖. ขุมทรัพย์ที่ยอดไม้ หมายถึงขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ใต้ต้นรังใหญ่ในพระราชอุทยาน เวลาเที่ยงวันเงาจะอยู่ที่โคนต้น จึงให้ขุดทรัพย์ที่นั้น ธนูหนักหนึ่งพันแรงคน หมายถึงธนูที่ใช้แรงคนโก่งหนึ่งพันคน แต่พระมหาชนกโก่งได้โดยง่ายเหมือนธนูดีดฝ้ายของสตรี บัลลังก์สี่เหลี่ยม ก็ทรงทราบด้านศีรษะของบัลลังก์ให้พระนางสีวลีเอาปิ่นปักพระเกศาวาง ผู้ทำเจ้าหญิงสีวลีให้ยินดี หมายถึงพระนางสีวลียินดีกับชายใด ชายนั้นจะได้ครองราชย์ พระมหาชนกเป็นที่โปรดปรานของพระนางสีวลีตั้งแต่แรกพบถึงกับยื่นพระหัตถ์ให้เกาะ ท้าวเธอก็ทรงเกาะพระหัตถ์พระนางขึ้นสู่ปราสาท) คือ

                       ๑. ขุมทรัพย์ที่อยู่ทางดวงอาทิตย์ขึ้น

                       ๒. ขุมทรัพย์ที่อยู่ทางดวงอาทิตย์ตก

                       ๓. ขุมทรัพย์ที่อยู่ภายใน

                       ๔. ขุมทรัพย์ที่อยู่ภายนอก

                       ๕. ขุมทรัพย์ที่ไม่ใช่อยู่ภายในภายนอก

                       ๖. ขุมทรัพย์ที่ทางขึ้น

                       ๗. ขุมทรัพย์ที่ทางลง

                       ๘.-๑๑. ขุมทรัพย์ที่ไม้สาละทั้ง ๔

                       ๑๒. ขุมทรัพย์ที่โยชน์หนึ่งโดยรอบ

                       ๑๓. ขุมทรัพย์ที่ปลายงาทั้ง ๒

                       ๑๔. ขุมทรัพย์ที่ปลายหาง

                       ๑๕. ขุมทรัพย์ที่สระน้ำ

                       ๑๖. ขุมทรัพย์ที่ยอดไม้ ธนูหนักหนึ่งพันแรงคน

                       บัลลังก์สี่เหลี่ยม ผู้ทำเจ้าหญิงสีวลีให้ยินดี

             [๑๓๓] บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงหวังร่ำไป ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนเองได้เป็นพระราชาตามที่ตนปรารถนา

             [๑๓๔] บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงหวังร่ำไป ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนเองถูกอุ้มจากน้ำขึ้นบกแล้ว

             [๑๓๕] บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงพยายามร่ำไป ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนเองได้เป็นพระราชาตามที่ตนปรารถนา

             [๑๓๖] บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงพยายามร่ำไป ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนเองถูกอุ้มจากน้ำขึ้นบกแล้ว

             [๑๓๗] คนมีปัญญาแม้ถูกทุกข์กระทบแล้ว ก็ไม่พึงทำลายความหวัง เพื่อการมาถึงแห่งความสุข เพราะสัมผัสมีมากอย่างทั้งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ผู้ไม่นึกถึงประโยชน์ย่อมเข้าถึงความตาย

             [๑๓๘] สิ่งที่ไม่ได้คิดกลับเป็นไปได้ สิ่งที่คิดแล้วกลับพินาศไป ทรัพย์สมบัติทั้งหลายของหญิงหรือชาย หาได้สำเร็จด้วยความคิดไม่

             (ชาวเมืองกล่าวกันว่า)

             [๑๓๙] ท่านผู้เจริญ พระราชาผู้ครอบครองพื้นที่ทั้งปวง เป็นใหญ่ในทิศ ไม่เป็นเหมือนแต่ก่อนหนอ วันนี้ ไม่ทอดพระเนตรการฟ้อนรำ ไม่ทรงใส่พระทัยในการขับร้อง

             [๑๔๐] ไม่ทอดพระเนตรฝูงเนื้อ ไม่เสด็จประพาสพระราชอุทยาน ไม่ทอดพระเนตรฝูงหงส์ พระองค์ทรงประทับนิ่งเฉยเหมือนคนใบ้ ไม่ทรงว่าราชการเลย

             (พระโพธิสัตว์ทรงระลึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงเปล่งอุทานว่า)

             [๑๔๑] นักปราชญ์ทั้งหลายผู้ใคร่ความสุข มีปกติหลีกเร้น ปราศจากเครื่องผูกคือกิเลส ทั้งหนุ่มทั้งแก่ ก้าวล่วงตัณหาเสียได้ ย่อมอยู่ ณ อารามของใครหนอในวันนี้

             [๑๔๒] ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนักปราชญ์เหล่านั้นผู้แสวงหาคุณใหญ่ นักปราชญ์เหล่าใดเป็นผู้ไม่ขวนขวายอยู่ในโลกที่ถึงความขวนขวาย

             [๑๔๓] นักปราชญ์เหล่านั้นตัดข่ายคือตัณหาอันมั่นคงแห่งมฤตยู ที่มีมายาอย่างยิ่งทำลายด้วยญาณไปอยู่ ใครเล่าจะพึงนำเราไปให้ถึงสถานที่อยู่ของนักปราชญ์เหล่านี้ได้

             [๑๔๔] เมื่อไร เราจักละกรุงมิถิลาอันรุ่งเรือง ที่นายช่างผู้ฉลาดได้จัดจำแนกไว้ สร้างไว้เป็นสัดส่วนออกบวชได้ การละนครเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๔๕] เมื่อไร เราจักละกรุงมิถิลาอันรุ่งเรือง กว้างขวาง สว่างไสวทั่วทุกทิศ ออกบวชได้ การละนครเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๔๖] เมื่อไร เราจักละกรุงมิถิลาอันรุ่งเรือง ซึ่งมีปราการและเสาค่ายเป็นอันมาก ออกบวชได้ การละนครเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๔๗] เมื่อไร เราจักละกรุงมิถิลาอันรุ่งเรือง มีป้อมคูและซุ้มประตูมั่นคง ออกบวชได้ การละนครเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๔๘] เมื่อไร เราจักละกรุงมิถิลาอันรุ่งเรือง มีถนนหลวงตัดไว้อย่างดี ออกบวชได้ การละนครเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๔๙] เมื่อไร เราจักละกรุงมิถิลาอันรุ่งเรือง มีร้านตลาดที่จัดแยกไว้สวยงาม ออกบวชได้ การละนครเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๕๐] เมื่อไร เราจักละกรุงมิถิลาอันรุ่งเรือง ซึ่งมีโค ม้า และรถเบียดเสียดกัน ออกบวชได้ การละนครเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๕๑] เมื่อไร เราจักละกรุงมิถิลาอันรุ่งเรือง มีสวนสาธารณะมีระเบียบเรียบร้อย ออกบวชได้ การละนครเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๕๒] เมื่อไร เราจักละกรุงมิถิลาอันรุ่งเรือง ที่มีวนอุทยาน มีระเบียบเรียบร้อย ออกบวชได้ การละนครเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๕๓] เมื่อไร เราจักละกรุงมิถิลาอันรุ่งเรือง มีปราสาทราชมณเฑียร สถานที่และอุทยาน เป็นระเบียบเรียบร้อย ออกบวชได้ การละนครเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๕๔] เมื่อไร เราจักละกรุงมิถิลาอันรุ่งเรือง มีปราการ ๓ ชั้น คับคั่งด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ที่พระเจ้าวิเทหะ ผู้เรืองยศพระนามว่าโสมนัสได้ทรงสร้างไว้ ออกบวชได้ การละนครเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๕๕] เมื่อไร เราจักละแคว้นวิเทหะอันรุ่งเรือง พรั่งพร้อมด้วยการสะสมเสบียง เช่น สะสมทรัพย์และธัญญาหารเป็นต้น ที่พระเจ้าวิเทหะทรงปกครองโดยชอบธรรม ออกบวชได้ การละแคว้นเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๕๖] เมื่อไร เราจักละแคว้นวิเทหะอันรุ่งเรือง ที่พวกปรปักษ์ผจญไม่ได้ ซึ่งพระเจ้าวิเทหะทรงปกครองโดยธรรม ออกบวชได้ การละแคว้นเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๕๗] เมื่อไร เราจักละพระตำหนักอันเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ ที่นายช่างผู้ฉลาดได้จัดจำแนกไว้ สร้างไว้เป็นส่วนสัด ออกบวชได้ การละพระตำหนักเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๕๘] เมื่อไร เราจักละพระตำหนักอันเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ ที่โบกฉาบด้วยปูนขาวและดินเหนียว ออกบวชได้ การละพระตำหนักเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๕๙] เมื่อไร เราจักละพระตำหนักอันเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ มีกลิ่นหอมสดชื่นรื่นรมย์ใจ ออกบวชได้ การละพระตำหนักเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๖๐] เมื่อไร เราจักละพระตำหนักเรือนยอด ที่นายช่างผู้ชาญฉลาดจัดจำแนก สร้างไว้เป็นสัดส่วน ออกบวชได้ การละพระตำหนักเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๖๑] เมื่อไร เราจักละพระตำหนักเรือนยอด ที่โบกฉาบด้วยปูนขาวและดินเหนียว ออกบวชได้ การละพระตำหนักเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๖๒] เมื่อไร เราจักละพระตำหนักเรือนยอด ที่มีกลิ่นหอมสดชื่นรื่นรมย์ใจ ออกบวชได้ การละพระตำหนักเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๖๓] เมื่อไร เราจักละพระตำหนักเรือนยอด ที่นายช่างผู้ชาญฉลาดฉาบทา และประพรมด้วยจุรณแก่นจันทน์ ออกบวชได้ การละพระตำหนักเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๖๔] เมื่อไร เราจึงจักละบัลลังก์ทอง ที่ลาดด้วยพรมขนสัตว์อันวิจิตร ออกบวชได้ การละบัลลังก์ทองเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๖๕] เมื่อไร เราจักละบัลลังก์แก้วมณี ที่ลาดด้วยพรมขนสัตว์อันวิจิตร ออกบวชได้ การละบัลลังก์แก้วมณีเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๖๖] เมื่อไร เราจักละผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าป่าน และผ้าขนสัตว์อย่างละเอียด ออกบวชได้ การละผ้าเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๖๗] เมื่อไร เราจักละสระโบกขรณีอันรื่นรมย์ มีนกจักรพากส่งเสียงร่ำร้องอยู่ ดารดาษไปด้วยดอกมณฑาลก ดอกปทุม และดอกอุบล ออกบวชได้ การละสระโบกขรณีเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๖๘] เมื่อไร เราจักละกองช้างพลายที่ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ มีสายรัดทองคำ มีเครื่องปกกระพองและข่ายทองคำ

             [๑๖๙] มีนายควาญช้างถือโตมรและขอขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ การละกองช้างเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๗๐] เมื่อไร กองม้าสินธพชาติอาชาไนย (ม้าสินธพชาติอาชาไนย หมายถึงฝูงม้าที่มีชื่อว่าอาชาไนย เพราะเป็นม้าที่รู้จักเหตุและมิใช่เหตุ (ฝึกง่าย) โดยกำเนิด) ที่ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ เป็นพาหนะเร็ว

             [๑๗๑] มีนายสารถีถือแส้และธนูขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ การละกองม้าเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๗๒] เมื่อไร เราจักละกองรถที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๑๗๓] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ การละกองรถเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๗๔] เมื่อไร เราจักละรถทองคำที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๑๗๕] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ การละรถทองคำเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๗๖] เมื่อไร เราจักละรถเงินที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๑๗๗] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ การละรถเงินเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๗๘] เมื่อไร เราจักละรถม้าที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๑๗๙] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ การละรถม้าเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๘๐] เมื่อไร เราจักละรถเทียมด้วยอูฐที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๑๘๑] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ การละรถเทียมด้วยอูฐเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๘๒] เมื่อไร เราจักละรถเทียมด้วยโคที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๑๘๓] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ การละรถเทียมด้วยโคเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๘๔] เมื่อไร เราจักละรถเทียมด้วยแพะที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๑๘๕] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ การละรถเทียมด้วยแพะเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๘๖] เมื่อไร เราจักละรถเทียมด้วยแกะที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๑๘๗] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ การละรถเทียมด้วยแกะเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๘๘] เมื่อไร เราจักละรถเทียมด้วยเนื้อที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๑๘๙] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขี่ประจำ ออกบวชได้ การละรถเทียมด้วยเนื้อเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๙๐] เมื่อไร เราจักละกองช้างที่ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ สวมเกราะสีเขียว แกล้วกล้า ถือโตมรและขอ ออกบวชได้ การละกองช้างเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๙๑] เมื่อไร เราจักละกองม้าที่ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ สวมเกราะสีเขียว แกล้วกล้า สะพายธนูและแล่ง ออกบวชได้ การละกองม้าเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๙๒] เมื่อไร เราจึงจักละกองรถที่ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ สวมเกราะสีเขียว แกล้วกล้า สะพายธนูและแล่ง ออกบวชได้ การละกองรถเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๙๓] เมื่อไร เราจักละกองธนูที่ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ สวมเกราะสีเขียว แกล้วกล้า ถือธนูและแล่ง ออกบวชได้ การละกองธนูเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๙๔] เมื่อไร เราจักละพวกราชบุรุษผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ สวมเกราะอันวิจิตร แกล้วกล้า เหน็บกฤชทองคำ ออกบวชได้ การละพวกราชบุรุษเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๙๕] เมื่อไร เราจักละหมู่พราหมณ์ผู้บำเพ็ญพรตประดับตกแต่งแล้ว ทาตัวด้วยกระแจะจันทน์เหลือง ครองผ้ากาสิกพัสตร์เนื้อดี ออกบวชได้ การละหมู่พราหมณ์เห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๙๖] เมื่อไร เราจักละหมู่อำมาตย์ผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ สวมเกราะสีเหลือง แกล้วกล้า เดินไปข้างหน้ามีระเบียบเรียบร้อยดี ออกบวชได้ การละหมู่อำมาตย์เห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๙๗] เมื่อไร เราจักละพระสนมกำนัลใน ๗๐๐ นางผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ ออกบวชได้ การละพระสนมกำนัลในเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๙๘] เมื่อไร เราจักละพระสนมกำนัลใน ๗๐๐ นาง ผู้ละมุนละไมสะโอดสะอง ออกบวชได้ การละพระสนมกำนัลในเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๑๙๙] เมื่อไร เราจักละพระสนมกำนัลใน ๗๐๐ นาง ผู้เชื่อฟัง พูดไพเราะ ออกบวชได้ การละพระสนมกำนัลในผู้น่ารักเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๐๐] เมื่อไร เราจักละถาดทองคำหนักประมาณ ๑๐๐ ปละ จำหลักลวดลายเป็นร้อย ออกบวชได้ การละถาดทองคำเห็นปานนี้ออกบวชนั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๐๑] เมื่อไร กองช้างพลายที่ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ มีสายรัดทองคำ มีเครื่องปกกระพองและข่ายทองคำ

             [๒๐๒] มีนายคราญช้างถือโตมรและขอขึ้นขี่ประจำ ที่เคยขี่ติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๐๓] เมื่อไร กองม้าสินธพชาติอาชาไนยที่ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ เป็นพาหนะเร็ว

             [๒๐๔] มีนายสารถีถือแส้และธนูขึ้นขี่ประจำ ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๐๕] เมื่อไร กองรถที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๒๐๖] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขับขี่ประจำ ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๐๗] เมื่อไร รถทองคำที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๒๐๘] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขับขี่ประจำ ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๐๙] เมื่อไร รถเงินที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๒๑๐] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขับขี่ประจำ ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๑๑] เมื่อไร รถม้าที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๒๑๒] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขับขี่ประจำ ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๑๓] เมื่อไร รถเทียมด้วยอูฐที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๒๑๔] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขับขี่ประจำ ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๑๕] เมื่อไร รถเทียมด้วยโคที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๒๑๖] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขับขี่ประจำ ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๑๗] เมื่อไร รถเทียมด้วยแพะที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๒๑๘] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขับขี่ประจำ ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๑๙] เมื่อไร รถเทียมด้วยแกะที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๒๒๐] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขับขี่ประจำ ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๒๑] เมื่อไร รถเทียมด้วยเนื้อที่ติดเครื่องรบ ชักธงชัยเฉลิมพลประจำ หุ้มด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ

             [๒๒๒] มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขับขี่ประจำ ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๒๓] เมื่อไร กองช้างที่ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ สวมเกราะสีเขียว แกล้วกล้า ถือโตมรและของ้าว ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๒๔] เมื่อไร กองม้าที่ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ สวมเกราะสีเขียว แกล้วกล้า ถือแส้และธนู ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๒๕] เมื่อไร กองรถที่ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ สวมเกราะสีเขียว แกล้วกล้า ถือธนูและแล่ง ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๒๖] เมื่อไร กองธนูที่ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ สวมเกราะสีเขียว แกล้วกล้า ถือธนูและแล่ง ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๒๗] เมื่อไร พวกราชบุตรผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ สวมเกราะอันวิจิตร แกล้วกล้า เหน็บกฤชทองคำ ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๒๘] เมื่อไร หมู่พราหมณ์ผู้มีพรตประดับแล้ว ทาตัวด้วยจุรณจันทน์เหลือง ใช้ผ้าเนื้อดีจากแคว้นกาสี ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๒๙] เมื่อไร หมู่อำมาตย์ผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ สวมเกราะสีเหลือง แกล้วกล้า เดินนำไปข้างหน้าอย่างเป็นระเบียบ ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๓๐] เมื่อไร พระสนมกำนัลใน ๗๐๐ นาง ผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๓๑] เมื่อไร พระสนมกำนัลใน ๗๐๐ นาง ผู้ละมุนละไม สะโอดสะอง ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๓๒] เมื่อไร พระสนมกำนัลใน ๗๐๐ นาง ผู้เชื่อฟัง เจรจาไพเราะ น่ารัก ที่เคยติดตามเรา จักไม่ติดตามเรา ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๓๓] เมื่อไร เราจักได้ปลงผม ห่มผ้าสังฆาฏิ อุ้มบาตรเที่ยวบิณฑบาต ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๓๔] เมื่อไร เราจักทรงผ้าสังฆาฏิที่ทำด้วยผ้าบังสุกุล ที่เขาทิ้งไว้ที่หนทางใหญ่ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๓๕] เมื่อไร เมื่อมีฝนตกพรำตลอด ๗ วัน เราจึงมีจีวรเปียกชุ่มเที่ยวไปบิณฑบาต ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๓๖] เมื่อไร เราจักได้เที่ยวจาริกไปตามต้นไม้น้อยใหญ่ ตามป่าน้อยใหญ่ตลอดทั้งคืนและวัน โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๓๗] เมื่อไร เราจักละความกลัวและความขลาดเสียได้ ไปที่ซอกเขาและลำธารได้ตามลำพัง ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๓๘] เมื่อไร เราจักทำจิตให้ตรงได้เหมือนคนดีดพิณ ดีดพิณทั้ง ๗ สายให้มีเสียงน่ารื่นรมย์จับใจ ความดำรินั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

             [๒๓๙] เมื่อไร เราจักตัดกามสังโยชน์ทั้งที่เป็นของทิพย์ และของมนุษย์ได้เหมือนช่างหนังตัดรองเท้าโดยรอบ

             (เมื่อพระมหาชนกทรงรำพึงอย่างนี้แล้ว ทรงถือเพศบรรพชา เสด็จลงจากปราสาทไป พระผู้มีพระภาคตรัสถึงเสียงคร่ำครวญของสตรีเหล่านั้นว่า)

             [๒๔๐] พระสนมกำนัลใน ๗๐๐ นางนั้น ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ ต่างประคองแขนทั้ง ๒ คร่ำครวญว่า เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงละทิ้งพวกหม่อมฉัน

             [๒๔๑] พระสนมกำนัลใน ๗๐๐ นางนั้น ผู้ละมุนละไม สะโอดสะอง ต่างพากันประคองแขนทั้ง ๒ ร้องคร่ำครวญว่า เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงละทิ้งพวกหม่อมฉัน

             [๒๔๒] พระสนมกำนัลใน ๗๐๐ นางนั้น ล้วนเป็นผู้เชื่อฟัง เจรจาไพเราะ น่ารัก ต่างพากันประคองแขนทั้ง ๒ คร่ำครวญว่า เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงละทิ้งพวกหม่อมฉันเสีย

             [๒๔๓] พระสนมกำนัลใน ๗๐๐ นางนั้น ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ ถูกพระราชาทรงละทิ้งไว้แล้ว เสด็จดำเนินไปมุ่งผนวช

             [๒๔๔] พระราชาทรงละพระสนมกำนัลใน ๗๐๐ นาง ผู้ละมุนละไม สะโอดสะอง เสด็จดำเนินไปมุ่งผนวช

             [๒๔๕] พระราชาทรงละพระสนมกำนัลใน ๗๐๐ นางนั้น ล้วนแต่เป็นผู้เชื่อฟัง เจรจาไพเราะ น่ารัก เสด็จดำเนินไปมุ่งผนวช

             [๒๔๖] ทรงละถาดทองคำหนักประมาณ ๑๐๐ ปละ จำหลักลวดลายตั้งร้อย ทรงอุ้มบาตรดิน นั้นเป็นการอภิเษกครั้งที่ ๒

             (พระนางสีวลีกราบทูลพระโพธิสัตว์ว่า)

             [๒๔๗] เปลวไฟน่ากลัว ไหม้ท้องพระคลังตามลำดับ คือ เงิน ทอง แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์มากมาย

             [๒๔๘] แก้วมณี สังข์ แก้วมุกดา ผ้า จันทน์เหลือง หนังสัตว์ เครื่องงาช้าง ทองแดง และเหล็กเป็นอันมากที่ไฟไหม้ ข้าแต่พระราชา มาเถิดพระเจ้าข้า เชิญพระองค์เสด็จกลับก่อนเถิด พระราชทรัพย์ของพระองค์อย่าได้พินาศเสียหายเลย

             (พระโพธิสัตว์ตรัสว่า)

             [๒๔๙] เราผู้ไม่มีความกังวลอยู่เป็นสุขสบายดีหนอ เมื่อกรุงมิถิลาถูกเพลิงเผาผลาญ เรามิได้มีอะไรจะไหม้

             (พระนางสีวลีกราบทูลว่า)

             [๒๕๐] พวกโจรป่าเกิดขึ้น ปล้นแคว้นของพระองค์ มาเถิดพระเจ้าค่ะ ขอเชิญพระองค์เสด็จกลับเถิด แคว้นนี้อย่าได้พินาศเสียหายเลย

             (พระโพธิสัตว์ตรัสว่า)

             [๒๕๑] เราผู้ไม่มีความกังวลอยู่เป็นสุขสบายดีหนอ เมื่อแคว้นถูกพวกโจรปล้น เรามิได้มีอะไรจะให้ปล้นเลย

             [๒๕๒] เราผู้ไม่มีความกังวลอยู่เป็นสุขสบายดีหนอ เราจักมีปีติเป็นอาหารเหมือนเหล่าเทพชั้นอาภัสสรพรหม (เหล่าเทพชั้นอาภัสสรพรหมมีปีติเป็นอาหารให้เวลาผ่านไปด้วยความสุขในฌาน)

             (นารทดาบสกล่าวว่า)

             [๒๕๓] เสียงอึกทึกกึกก้องอะไรกันนั่น ใครกันหนอเล่นกันเหมือนอยู่ในบ้าน ท่านสมณะ อาตมภาพขอถาม มหาชนนั้นติดตามท่านมาเพื่อประโยชน์อะไร

             (พระโพธิสัตว์ตรัสว่า)

             [๒๕๔] มหาชนนี้ติดตามข้าพเจ้าผู้ละทิ้งพวกเขามาในที่นี้ ผู้ล่วงเขตแดนคือกิเลสไป เพื่อบรรลุถึงโมเนยยธรรม คือญาณของพระมุนี แต่ยังเจือปนด้วยความเพลิดเพลินทั้งหลายอยู่ พระคุณเจ้าก็รู้อยู่จะถามไปทำไม

             (นารทดาบสกล่าวว่า)

             [๒๕๕] พระองค์เพียงแต่ทรงสรีระ (เพศนักบวช) นี้ อย่าได้เข้าพระทัยว่า “เราข้ามเขตแดนคือกิเลสแล้ว” กรรมคือกิเลสนี้จะพึงข้ามได้ด้วยเพศแห่งบรรพชิตก็หาไม่ เพราะอันตรายทั้งหลายยังมีอยู่มาก

             (พระโพธิสัตว์ตรัสว่า)

             [๒๕๖] อันตรายอะไรหนอ จะพึงมีแก่ข้าพเจ้าผู้มีปกติอยู่ผู้เดียวอย่างนี้ ข้าพเจ้าไม่ปรารถนากามทั้งหลายทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

             (นารทดาบสกล่าวว่า)

             [๒๕๗] อันตรายเป็นอันมากทีเดียว คือ ความหลับ ความเกียจคร้าน ความบิดกาย ความเหนื่อยหน่าย ความเมาอาหารที่มีอยู่ในสรีระของพระองค์

             (พระโพธิสัตว์ตรัสว่า)

             [๒๕๘] ท่านพราหมณ์ ท่านพร่ำสอนข้าพเจ้าดีหนอ ท่านพราหมณ์ผู้นิรทุกข์ ข้าพเจ้าขอถามท่าน ท่านเป็นใครหนอ

             (นารทดาบสกล่าวว่า)

             [๒๕๙] ชนทั้งหลายรู้จักอาตมภาพโดยชื่อว่า นารทะ โดยโคตรว่า กัสสปะ อาตมภาพมาในสำนักของพระองค์ด้วยเข้าใจว่า การสมาคมกับสัตบุรุษเป็นการดี

             [๒๖๐] ขอความเพลิดเพลินและวิหารธรรมทั้งปวงจงมีแก่พระองค์เท่านั้น พระองค์จงบำเพ็ญสิ่งที่บกพร่องให้บริบูรณ์เถิด จงประกอบด้วยความอดทนและความสงบเถิด

             [๒๖๑] จงทรงคลี่คลายความยุบลงและฟูขึ้น จงสักการะกรรม วิชชา ธรรม (คำว่า กรรม ได้แก่กุศลกรรมบถ ๑๐, คำว่า วิชชา ได้แก่ญาณในอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ คำว่า ธรรม ได้แก่สมณธรรมกล่าวคือการบำเพ็ญกสิณ) และสมณธรรมแล้วบำเพ็ญพรหมจรรย์เถิด

             [๒๖๒] ข้าแต่พระชนก พระองค์ทรงละทิ้งช้าง ม้า ชาวพระนคร และชนบทเป็นอันมาก เสด็จออกผนวช ทรงยินดีในบาตรดิน

             [๒๖๓] ชาวชนบท มิตร อำมาตย์ และพระญาติเหล่านั้น ได้ทำความผิดอะไรให้แก่พระองค์หรือหนอ เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงชอบพระทัยบาตรดินนั้น

             (พระโพธิสัตว์ตรัสว่า)

             [๒๖๔] ท่านฤๅษี ข้าพเจ้ามิได้เคยเอาชนะพระญาติอะไรๆ โดยส่วนเดียวในกาลไหนๆ โดยอธรรมเลย แม้พระญาติทั้งหลายก็มิเคยได้เอาชนะข้าพเจ้าโดยอธรรม

             [๒๖๕] ข้าพเจ้าได้เห็นประเพณีของโลก เห็นโลกถูกกิเลสกัดกร่อน ถูกกิเลสทำให้เป็นดุจเปือกตม จึงได้ทำเหตุนี้ให้เป็นเครื่องเปรียบเทียบว่า ปุถุชนจมอยู่ในกิเลสวัตถุใด สัตว์เป็นจำนวนมากย่อมเดือดร้อน และย่อมถูกฆ่า ในกิเลสวัตถุนั้นดังนี้แล้ว จึงได้บวชเป็นภิกษุ นะท่านผู้ครองหนังสัตว์ผู้เจริญ

             (นารทดาบสกล่าวว่า)

             [๒๖๖] ใครหนอเป็นผู้จำแนกแจกธรรมคำสั่งสอนพระองค์ คำอันสะอาดนี้เป็นคำของใคร ท่านผู้เป็นจอมทัพ เพราะบอกเจาะจงถึงดาบสผู้เป็นกรรมวาที หรือสมณะคือพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยวิชชา นักปราชญ์ไม่เรียกผู้ประพฤติวัตรว่า เป็นสมณะ เหมือนการก้าวล่วงทุกข์ได้เลย

             [๒๖๗] ท่านผู้ครองหนังสัตว์ แม้ข้าพเจ้าจะสักการะสมณะหรือพราหมณ์โดยส่วนเดียว แต่ไม่เคยเข้าไปใกล้ไต่ถามอะไรๆ ในกาลไหนๆ เลย

             (พระโพธิสัตว์ตรัสว่า)

             [๒๖๘] ข้าพเจ้ารุ่งเรืองด้วยสิริไปยังพระราชอุทยาน ด้วยอานุภาพใหญ่ ขณะที่เพลงขับที่เขาขับร้อง ดนตรีที่ไพเราะกำลังบรรเลงอยู่

             [๒๖๙] ข้าพเจ้านั้นได้เห็นต้นมะม่วงที่กำลังมีผลอยู่ภายนอกกำแพง ถูกพวกมนุษย์ผู้ที่ต้องการผลฟาดอยู่ ในพระราชอุทยานอันกึกก้องด้วยการประโคมดนตรี ประกอบด้วยคนขับและคนประโคม

             [๒๗๐] ข้าแต่ท่านผู้ครองหนังสัตว์ ข้าพเจ้านั้นละทิ้งสิรินั้นเสียแล้วลงจากยาน เข้าไปใกล้ต้นมะม่วงทั้งที่มีผลและไม่มีผล

             [๒๗๑] ข้าพเจ้าได้เห็นต้นมะม่วง อันมีผลถูกฟาดกระจัดกระจายย่อยยับ ส่วนมะม่วงอีกต้นหนึ่งสีเขียวชะอุ่มน่าพอใจ

             [๒๗๒] ศัตรูทั้งหลายจักกำจัดแม้พวกเราผู้เป็นอิสระ ผู้มีเสี้ยนหนามมาก เหมือนต้นมะม่วงที่มีผลถูกมนุษย์ทั้งหลายเบียดเบียนแล้ว

             [๒๗๓] เสือเหลืองถูกฆ่าเพราะหนัง ช้างถูกฆ่าเพราะงา คนมีทรัพย์ถูกฆ่าเพราะทรัพย์ ใครเล่าจักฆ่าคนที่ไม่มีที่อยู่ ที่ไม่มีความคุ้นเคย ต้นมะม่วงที่มีผลและไม่มีผลทั้ง ๒ ต้นนั้นเป็นครูของข้าพเจ้า

             (พระนางสีวลีกราบทูลว่า)

             [๒๗๔] ชนทั้งปวง คือ กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ กองพลราบ ต่างก็ตกใจว่า พระราชาทรงผนวชเสียแล้ว

             [๒๗๕] ขอพระองค์ได้ทรงปลอบชุมชนให้เบาใจ ทรงวางหลักปกครอง ทรงอภิเษกพระราชโอรสไว้ในราชสมบัติแล้ว จึงจักทรงผนวชในภายหลัง

             (พระโพธิสัตว์ตรัสว่า)

             [๒๗๖] เราได้สละชาวชนบท มิตร อำมาตย์ และพระญาติทั้งหลายแล้ว พระราชโอรสของชาวแคว้นวิเทหะ และคนผู้มีอายุยืน ผู้จักผดุงรัฐให้เจริญก็มีอยู่ เธอเหล่านั้นจักครองราชสมบัติในกรุงมิถิลา นะปชาบดี

             [๒๗๗] จงมาเถิด เราจะตามสอนเธอด้วยวาจาที่ชอบ เธอจะไปสู่ทุคติด้วยกาย วาจา และใจ เพราะบาปใด เมื่อเธอครองราชสมบัติก็จักทำบาปทุจริตนั้นเป็นอันมาก

             [๒๗๘] ผู้ที่ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยก้อนข้าวที่ผู้อื่นให้ ซึ่งสำเร็จมาแต่ผู้อื่นนี้ นั่นเป็นธรรมของนักปราชญ์

             (พระนางสีวลีกราบทูลว่า)

             [๒๗๙] กุลบุตรผู้ฉลาดแม้คนใดไม่พึงบริโภคอาหารในภัตกาลที่ ๔ (คำว่า ไม่พึงบริโภคอาหารในภัตกาลที่ ๔ พระนางสีวลีตรัสหมายถึงว่า ถ้าบุคคลเราไม่บริโภคอาหารมื้อสุดท้าย จะพึงตายไปเพราะความหิว ผู้นั้นพึงเป็นสัตบุรุษเชื้อสายกุลบุตร จึงไม่พึงเสวยอาหารนั้นเพราะทรงรังเกียจเนื้อที่เป็นเดนสุนัขที่พระมหาชนกนำมาย่างเสวย) จะพึงตายอย่างน่าอนาถเพราะความหิว กุลบุตรผู้ฉลาดนั้นก็ไม่พึงบริโภคก้อนข้าว ที่เปื้อนฝุ่น ซึ่งไม่ดีมิใช่หรือ กิริยาของพระองค์นี้ไม่ดี ไม่งามเลย ข้าแต่พระชนก พระองค์พึงเสวยก้อนเนื้อที่เป็นเดนสุนัข

             (พระโพธิสัตว์ตรัสว่า)                                    

             [๒๘๐] พระนางสีวลี บิณฑบาตใด เป็นของอันบุคคลผู้ครองเรือน หรือสุนัขสละแล้ว บิณฑบาตนั้นชื่อว่าไม่เป็นอาหารของอาตมภาพก็หามิได้ ของบริโภคเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่ได้มาโดยธรรม ของบริโภคทั้งหมดนั้นกล่าวกันว่า ไม่มีโทษ

             (พระโพธิสัตว์ตรัสกับเด็กหญิงว่า)

             [๒๘๑] กุมาริกาผู้นอนแนบมารดา ผู้ประดับอยู่เป็นนิตย์ เพราะเหตุไร กำไลมือข้างหนึ่งของเธอจึงมีเสียงดัง อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงดัง

             (เด็กหญิงกราบทูลว่า)

             [๒๘๒] ท่านสมณะ กำไลมือ ๒ วงที่สวมอยู่ที่ข้อมือของดิฉันนี้ เพราะทั้ง ๒ วงกระทบกัน จึงเกิดเสียงดัง คติของคน ๒ คนก็เป็นเช่นนี้

             [๒๘๓] ท่านสมณะ กำไลมือวงหนึ่งที่สวมอยู่ที่ข้อมือของดิฉันนี้ ไม่มีอันที่ ๒ จึงไม่มีเสียงดังเหมือนมุนีสงบนิ่งอยู่

             [๒๘๔] คนมีคู่จึงถึงความวิวาทกัน บุคคลคนเดียวจักวิวาทกับใคร ท่านนั้นเป็นผู้ปรารถนาสวรรค์ ก็ขอจงชอบความเป็นผู้เดียวเถิด

             (พระโพธิสัตว์ตรัสกับพระนางสีวลีว่า)

             [๒๘๕] พระนางสีวลี เธอได้ยินคาถาที่นางกุมาริกากล่าวแล้วหรือ นางกุมาริกาเป็นสาวใช้มาติเตียนเรา มันเป็นคติของคนคู่เท่านั้น

             [๒๘๖] พระนางผู้เจริญ ทาง ๒ แพร่งนี้ เราทั้ง ๒ ผู้เดินทางได้สัญจรมาแล้ว บรรดาทางทั้ง ๒ แพร่งนั้น เธอจงเลือกเอาทางหนึ่ง อาตมภาพก็จักเลือกเอาอีกทางหนึ่ง

             [๒๘๗] เธออย่าเรียกอาตมภาพว่าเป็นพระสวามีของเธอ และอาตมภาพก็จะไม่เรียกเธอว่าเป็นพระมเหสีของอาตมภาพต่อไป เมื่อกษัตริย์ทั้ง ๒ ตรัสข้อความนี้แล้วต่างก็เสด็จเข้าไปยังถูณนคร

             [๒๘๘] เมื่อจวนเวลาอาหาร พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ ณ ซุ้มประตูของช่างศร และ ณ ที่นั้น ช่างศรนั้นหลับตาลงข้างหนึ่งเล็งดูลูกศรที่คด ซึ่งตนดัดให้ตรงด้วยตาอีกข้างหนึ่ง

             (พระโพธิสัตว์ตรัสว่า)

             [๒๘๙] ช่างศร ท่านจงฟังอาตมภาพ ท่านเห็นความสำเร็จประโยชน์หรือหนอ ที่ท่านหลับตาข้างหนึ่งลง เล็งดูลูกศรที่คดด้วยตาอีกข้างหนึ่ง

             (ช่างศรกราบทูลว่า)

             [๒๙๐] ท่านสมณะ การเล็งดูด้วยตาทั้ง ๒ ย่อมปรากฏกว้างไป เพราะเห็นไม่ถึงส่วนที่คดข้างหนึ่ง การดัดให้ตรงจึงไม่สำเร็จ

             [๒๙๑] แต่เมื่อหลับตาข้างหนึ่ง เล็งดูส่วนที่คดด้วยตาข้างหนึ่ง เพราะเห็นส่วนที่คดข้างหน้า การดัดให้ตรงจึงสำเร็จได้

             [๒๙๒] คนที่มีคู่จึงวิวาทกัน คนเดียวจักวิวาทกับใคร ท่านนั้นปรารถนาสวรรค์ ก็ขอจงชอบความเป็นผู้เดียวเถิด

             (พระโพธิสัตว์ตรัสกับพระนางสีวลีว่า)

             [๒๙๓] พระนางสีวลี เธอได้ยินคำที่ช่างศรกล่าวแล้วหรือยัง คนใช้มาติเตียนเรา นั้นเป็นคติของคนคู่เท่านั้น

             [๒๙๔] พระนางผู้เจริญ ทาง ๒ แพร่งนี้ เราทั้ง ๒ ผู้เดินทางได้สัญจรมาแล้ว บรรดาทาง ๒ แพร่งนั้น เธอจงเลือกเอาทางหนึ่ง อาตมภาพก็จักเลือกเอาอีกทางหนึ่ง

             [๒๙๕] เธออย่าเรียกอาตมภาพว่าเป็นพระสวามีของเธอ และอาตมภาพก็จะไม่เรียกเธอว่า เป็นพระมเหสีของอาตมภาพต่อไป หญ้ามุงกระต่ายเล็กน้อยขาดไปแล้ว (หญ้ามุงกระต่ายเล็กน้อยขาดไปแล้ว พระโพธิสัตว์ตรัสหมายถึงหญ้ามุงกระต่ายเส้นเล็กๆ ที่พระองค์ถอนขึ้นมาแล้วดึงให้ขาดจากกัน ใครๆ ไม่สามารถต่อกันได้ เป็นการเตือนว่า พระองค์ไม่ปรารถนาจะอยู่ร่วมกับพระเทวีอีก เป็นการห้ามไม่ให้ตามไป) เธอจงอยู่คนเดียวเถิด พระนางสีวลี

มหาชนกชาดกที่ ๒ จบ

----------------------

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

มหาชนกชาดก

ว่าด้วย พระมหาชนกทรงบำเพ็ญวิริยบารมี

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภมหาภิเนกขัมมบารมี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               ความพิสดารว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งพรรณนามหาภิเนกขัมมบารมีของพระตถาคต ในโรงธรรมสภา. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายประชุมเจรจากันถึงเรื่องอะไร. เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่ แม้ในกาลก่อน เมื่อยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ตถาคตก็ได้ออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่เหมือนกัน ตรัสดังนี้แล้วทรงดุษณีภาพอยู่. ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลวิงวอนให้ทรงเล่าเรื่อง จึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่า มหาชนก ครองราชสมบัติในกรุงมิถิลา แคว้นวิเทหะ. พระเจ้ามหาชนกราชนั้นมีพระราชโอรสสองพระองค์ คืออริฏฐชนกพระองค์หนึ่ง โปลชนกพระองค์หนึ่ง. ในสองพระองค์นั้น พระราชาพระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่พระราชโอรสองค์พี่ พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่พระราชโอรสองค์น้อง. กาลต่อมา พระมหาชนกราชสวรรคต พระอริฏฐชนกได้ครองราชสมบัติ ทรงตั้งพระโปลชนกผู้กนิษฐภาดาเป็นอุปราช. อมาตย์คนหนึ่งผู้ใกล้ชิดพระราชา ไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ขอเดชะ พระอุปราชใคร่จะปลงพระชนม์พระองค์. พระอริฏฐชนกราชทรงสดับคำบ่อยๆ ก็ทำลายความสิเนหาพระอนุชา ให้จำพระโปลชนกมหาอุปราชด้วยเครื่องจองจำ ให้อยู่ในคฤหาสน์หลังหนึ่งใกล้พระราชนิเวศ มีผู้คุมรักษา พระกุมารโปลชนกทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าก่อเวรต่อพระเชษฐา เครื่องจองจำจงอย่าหลุดจากมือและเท้าของข้าพเจ้า แม้ประตูก็จงอย่าเปิด ถ้าข้าพเจ้ามิได้ก่อเวรต่อพระเชษฐา เครื่องจองจำจงหลุดจากมือและเท้าของข้าพเจ้า แม้ประตูก็จงเปิด เครื่องจองจำได้หักเป็นท่อนๆ แม้ประตูก็เปิดในทันใดนั้น ต่อนั้นพระโปลชนกก็เสด็จออกไปยังปัจจันตคามแห่งหนึ่ง ประทับอยู่ที่ปัจจันตคามนั้น ชาวปัจจันตคามจำพระองค์ได้ก็บำรุงพระองค์.
               ครั้งนั้น พระอริฏฐชนกราชไม่สามารถจะจับพระองค์ได้ พระโปลชนกนั้นได้ทำปัจจันตชนบทให้อยู่ในอำนาจโดยลำดับ เป็นผู้มีบริวารมาก ทรงคิดว่า เมื่อก่อนเรามิได้ก่อเวรต่อพระเชษฐาของเรา แต่บัดนี้เราจะก่อเวรละ ทรงให้ประชุมพลนิกาย แวดล้อมไปด้วยมหาชน ออกจากปัจจันตคามถึงกรุงมิถิลาโดยลำดับ ให้ตั้งค่ายพักแรมกองทัพอยู่นอกพระนคร. ครั้งนั้นเหล่าทหารชาวมิถิลานครทราบว่า พระโปลชนกเสด็จมา ก็ขนยุทโธปกรณ์มีพาหนะช้างเป็นต้น มายังสำนักของพระโปลชนกนั้นโดยมาก แม้ชาวนครคนอื่นๆ ก็พากันมาเข้าด้วย. พระโปลชนกส่งสาส์นไปถวายพระเชษฐาว่า เมื่อก่อนข้าพระองค์มิได้ก่อเวรต่อพระองค์ แต่บัดนี้ ข้าพระองค์จะก่อเวรละ พระองค์จะประทานเศวตฉัตรแก่ข้าพระองค์ หรือจะรบ. พระราชาอริฏฐชนกทรงสดับดังนั้น ปรารถนาจะรบ จึงตรัสเรียกพระอัครมเหสีมาตรัสว่า ที่รัก ในการรบชนะหรือแพ้ ไม่อาจจะรู้ได้ ถ้าฉันมีอันตราย เธอพึงรักษาครรภ์ให้ดี ตรัสฉะนี้แล้ว เสด็จกรีธาทัพออกจากพระนคร. ครั้งนั้นทหารของพระโปลชนกยังพระอริฏฐชนกราชให้ถึงชีพตักษัยในที่รบ. ชาวพระนครทั้งสิ้นรู้ว่า พระราชาสวรรคตแล้ว ก็เกิดโกลาหลกันทั่วไป.
               ฝ่ายพระเทวีทรงทราบว่า พระราชสวามีสวรรคตแล้ว ก็รีบเก็บสิ่งของสำคัญมีทองเป็นต้นใส่ในกระเช้า เอาผ้าเก่าๆ ปูปิดไว้แล้วใส่ข้าวสารข้างบน ทรงนุ่งภูษาเก่าเศร้าหมอง ปลอมพระกายของพระองค์ วางกระเช้าบนพระเศียร เสด็จออกจากพระนคร แต่กลางวันทีเดียว ไม่มีใครจำพระนางได้ พระนางเสด็จออกทางประตูทิศอุดร ไม่รู้จักมรรคา เพราะไม่เคยเสด็จไปในที่ไหนๆ ไม่อาจกำหนดทิศ จึงประทับที่ศาลาแห่งหนึ่งคอยตรัสถามว่า มีคนเดินทางไปนครกาลจัมปากะไหม เพราะเคยทรงสดับว่า มีนครกาลจัมปากะเท่านั้น. ก็สัตว์ในครรภ์ของพระเทวีนั้น มิใช่สัตว์สามัญ แต่เป็นพระมหาสัตว์ผู้มีพระบารมีเต็มแล้วมาบังเกิด ด้วยเดชานุภาพแห่งพระมหาสัตว์นั้น บันดาลให้ภพของท้าวสักกเทวราชสำแดงอาการร้อน. ท้าวสักกเทวราชทรงอาวัชนาการก็ทรงทราบเหตุนั้น ทรงดำริว่า สัตว์ที่บังเกิดในพระครรภ์ของพระเทวีมีบุญมาก เราควรจะไปในที่นั้น จึงเนรมิตเกวียนมีเครื่องปกปิด จัดตั้งเตียงไว้ในเกวียนนั้น เนรมิตตนเหมือนคนแก่ ขับเกวียนไปหยุดอยู่ที่ประตูศาลาที่พระเทวีประทับอยู่ ทูลถามพระเทวีว่า มีผู้ที่จะไปนครกาลจัมปากะบ้างไหม. พระเทวีได้สดับดังนั้น จึงตรัสว่า ข้าแต่พ่อ ข้าพเจ้าจักไป. ท้าวสักกะตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น แม่จงขึ้นนั่งบนเกวียนเถิด. พระเทวีเสด็จออกมาตรัสว่า ข้าแต่พ่อ ข้าพเจ้ามีครรภ์แก่ ไม่อาจจะขึ้นเกวียนไปได้ จักขอเดินตามพ่อไปเท่านั้น แต่พ่อช่วยรับกระเช้าของข้าพเจ้านี้ขึ้นเกวียนไปด้วย. ท้าวสักกะตรัสว่า แม่พูดอะไร คนที่รู้จักขับเกวียนเช่นข้าพเจ้าไม่มี แม่อย่ากลัวเลย ขึ้นนั่งบนเกวียนเถิดแม่. ด้วยอานุภาพแห่งพระโอรสของพระองค์ ในกาลที่พระเทวีจะเสด็จขึ้นเกวียน แผ่นดินได้นูนขึ้นดุจผิวละออง เต็มด้วยลมฟุ้งขึ้นฉะนั้น ตั้งจดท้ายเกวียน พระเทวีเสด็จขึ้นบรรทมบนพระที่สิริไสยาสน์ ทรงทราบว่า นี้จักเป็นเทวดา. พระนางได้หยั่งลงสู่นิทรา เพราะได้บรรทมบนพระที่อันเป็นทิพย์.
               ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงขับเกวียนถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง ไกลราวสามสิบโยชน์ จึงปลุกพระเทวีแล้วตรัสว่า แม่จงลงจากเกวียนนี้อาบน้ำในแม่น้ำ จงนุ่งห่มผ้าคู่หนึ่ง ที่วางอยู่เหนือศีรษะนั้น จงหยิบของกินที่มีอยู่ภายในเกวียนนั้นมากินเถิด. พระเทวีทรงทำตามอย่างนั้น แล้วบรรทมต่อไปอีก ก็ลุถึงนครกาลจัมปากะในเวลาเย็น ทอดพระเนตรเห็นประตูหอรบและกำแพงพระนคร จึงตรัสถามท้าวสักกะว่า ข้าแต่พ่อ เมืองนี้ชื่ออะไร. ท้าวสักกะตรัสตอบว่า นครกาลจัมปากะ แม่. พระเทวีตรัสค้านว่า พูดอะไร พ่อ นครกาลจัมปากะอยู่ห่างจากนครของพวกเราถึงหกสิบโยชน์มิใช่หรือ. ท้าวสักกะตรัสว่า ถูกแล้วแม่ แต่ตารู้จักหนทางตรง. ครั้งนั้นท้าวสักกเทวราชให้พระเทวีลงจากเกวียน ณ ที่ใกล้ประตู ด้านทิศทักษิณ ตรัสบอกว่า บ้านของตา อยู่ข้างหน้า แต่แม่จงเข้าไปสู่นครนี้ ตรัสดังนี้แล้วเสด็จไปเหมือนไปข้างหน้า ได้หายตัวไปยังที่ประทับของพระองค์. ส่วนพระเทวีก็ประทับนั่งอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่ง.
               ขณะนั้นมีพราหมณ์ผู้เพ่งมนต์คนหนึ่งชาวนครกาลจัมปากะ เป็นทิศาปาโมกข์ มาณพประมาณห้าร้อยคน แวดล้อมเดินไปเพื่ออาบน้ำ แลดูมา แต่ไกลเห็นพระเทวีนั้น มีพระรูปงามยิ่งสมบูรณ์ด้วยความงามเป็นเลิศ ประทับนั่งอยู่ ณ ศาลานั้น ด้วยอานุภาพแห่งพระมหาสัตว์ ผู้บังเกิดในพระครรภ์ของพระเทวี พอเห็นเท่านั้น ก็เกิดสิเนหาราวกะว่าเป็นน้องสาวของตน จึงให้เหล่ามาณพพักอยู่ภายนอก เข้าไปในศาลาแต่ผู้เดียวถามว่า น้องหญิง แม่เป็นชาวบ้านไหน. พระเทวีตรัสตอบว่า ข้าแต่พ่อ ข้าพเจ้าเป็นอัครมเหสีของพระอริฏฐชนกราช กรุงมิถิลา. พราหมณ์ถามว่า แม่มาที่นี้ทำไม พระเทวีตรัสตอบว่า พระอริฏฐชนกราชถูกพระโปลชนกปลงพระชนม์ เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าพเจ้ากลัวภัยจึงหนีมา ด้วยคิดว่า จักรักษาครรภ์ไว้. พราหมณ์ถามว่า ก็ในพระนครนี้ มีใครที่เป็นพระญาติของเธอหรือ. พระเทวีตรัสตอบว่า ไม่มี พ่อ. พราหมณ์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เธออย่าวุ่นใจไปเลย ข้าพเจ้าอุทิจจพราหมณ์มหาศาล เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ข้าพเจ้าจักตั้งเธอไว้ ในที่เป็นน้องสาว ปฏิบัติดูแลเธอ เธอจงกล่าวกะข้าพเจ้าว่า ท่านเป็นพี่ชาย แล้วจับที่เท้าทั้งสองของข้าพเจ้าคร่ำครวญเถิด. พระเทวีรับคำแล้ว เปล่งเสียงดัง ทอดพระองค์ลงจับเท้าทั้งสองของพราหมณ์ ทั้งสองต่างก็คร่ำครวญกันอยู่.
               ครั้งนั้น เหล่าอันเตวาสิกได้ยินเสียงของพราหมณ์ จึงพากันวิ่งเข้าไปยังศาลา ถามว่า ท่านอาจารย์ เกิดอะไรแก่ท่านหรือ. พราหมณ์กล่าวว่า พ่อทั้งหลาย หญิงนี้เป็นน้องสาวของฉัน พลัดพรากจากฉันไปแต่ครั้งโน้น เหล่าอันเตวาสิกกล่าวว่า จำเดิมแต่กาลที่ท่านทั้งสองได้พบกันแล้ว ขออย่าได้วิตกเลย. พราหมณ์ให้นำยานที่ปกปิดมา ให้พระเทวีประทับนั่งในยานนั้น กล่าวกะเหล่ามาณพว่า เจ้าทั้งหลายจงบอกแก่นางพราหมณีว่า หญิงนี้เป็นน้องสาวของเรา แล้วจงบอกนางพราหมณี เพื่อทำกิจทั้งปวงแก่นาง กล่าวฉะนี้แล้ว ส่งพระเทวีไปสู่เรือน.
               ลำดับนั้น นางพราหมณีให้พระนางสรงสนานด้วยน้ำร้อนแล้ว แต่งที่บรรทมให้บรรทม แม้พราหมณ์อาบน้ำแล้วก็กลับมาสู่เรือน สั่งให้เชิญพระนางมาในเวลาบริโภคอาหาร ด้วยคำว่า จงเชิญน้องสาวของเรามา แล้วบริโภคร่วมกับพระนาง ได้ปรนนิบัติพระนางในนิเวศของตน. ไม่นานนักพระนางก็ประสูติพระโอรสมีวรรณะดังทอง. พระเทวีขนานพระนามพระโอรส เหมือนพระอัยกาว่า มหาชนกกุมาร.
               พระกุมารนั้นทรงเจริญวัยก็เล่นอยู่กับพวกเด็ก เด็กพวกใดรบกวนทำให้พระกุมารขัดเคือง พระกุมารก็จับเด็กพวกนั้นให้มั่นแล้วตี ด้วยพระองค์มีพระกำลังมาก และด้วยความเป็นผู้กระด้างเพราะมานะ เพราะพระองค์เกิดในตระกูลกษัตริย์ที่ไม่เจือปน. พวกเด็กเหล่านั้นร้องไห้เสียงดัง เมื่อถูกถามว่า ใครตี. ก็บอกว่า บุตรหญิงหม้ายตี. พระกุมารทรงคิดว่า พวกเด็กว่า เราเป็นบุตรหญิงหม้าย อยู่เนืองๆ ช่างเถอะ เราจักถามมารดาของเรา. วันหนึ่ง พระกุมารจึงทูลถามพระมารดาว่า ข้าแต่พระมารดา ใครเป็นบิดาของฉัน. พระนางตรัสลวงพระกุมารว่า พราหมณ์เป็นบิดาของลูก วันรุ่งขึ้นพระกุมารตีเด็กทั้งหลาย เมื่อเด็กทั้งหลายกล่าวว่า บุตรหญิงหม้ายตี จึงตรัสว่า พราหมณ์เป็นบิดาของเรามิใช่หรือ. ครั้นพวกเด็กถามว่า พราหมณ์เป็นอะไรกับเธอ จึงทรงคิดว่า เด็กเหล่านี้กล่าวว่า พราหมณ์เป็นอะไรกับเธอ มารดาของเราไม่บอกเหตุการณ์นี้ตามจริง ท่านไม่บอกแก่เราตามใจของท่าน ยกไว้เถิด เราจักให้ท่านบอกความจริงให้ได้. เมื่อพระกุมารดื่มน้ำนมพระมารดา จึงกัดพระถันพระมารดาไว้ ตรัสว่า ข้าแต่แม่ แม่จงบอกบิดาแก่ฉัน ถ้าแม่ไม่บอก ฉันจักกัดพระถันของแม่ให้ขาด. พระนางไม่อาจตรัสลวงพระโอรส จึงตรัสบอกว่า พ่อเป็นโอรสของพระเจ้าอริฎฐมหาชนก ในกรุงมิถิลา พระบิดาของพ่อถูกพระโปลชนกปลงพระชนม์ แม่ตั้งใจรักษาตัวพ่อ จึงมาสู่นครนี้ พราหมณ์นี้ตั้งแม่ไว้ในที่เป็นน้องสาว ปฏิบัติดูแลแม่.
               ตั้งแต่นั้นมา แม้ใครว่าเป็นบุตรหญิงหม้าย พระกุมารก็ไม่กริ้ว พระกุมารทรงเรียนไตรเพทและศิลปศาสตร์ทั้งปวงในภายในพระชนม์ ๑๖ ปี. เมื่อมีพระชนม์ได้ ๑๖ ปี เป็นผู้ทรงพระรูปโฉมอันอุดม พระองค์ทรงคิดว่า เราจักเอาราชสมบัติซึ่งเป็นของพระบิดา จึงทูลถามพระมารดาว่า ข้าแต่พระมารดา ทรัพย์อะไรๆ ที่พระมารดาได้มามีบ้างหรือไม่ ฉันจักค้าขายให้ทรัพย์เกิดขึ้นแล้ว จักเอาราชสมบัติซึ่งเป็นของพระบิดา. พระนางตรัสตอบว่า ลูกรัก แม่ไม่ได้มามือเปล่า สิ่งอันเป็นแก่นสารของเรามีอยู่สามอย่าง คือ แก้วมณี แก้วมุกดา แก้ววิเชียร ในสามอย่างนั้น แต่ละอย่างพอจะเป็นกำลังเอาราชสมบัติได้ พ่อจงรับแก้วสามอย่างนั้น คิดอ่านเอาราชสมบัติเถิด อย่าทำการค้าขายเลย. พระกุมารทูลว่า ข้าแต่พระมารดา ขอพระมารดาจงประทานทรัพย์นั้นกึ่งหนึ่ง แก่หม่อมฉัน จะเอาไปเมืองสุวรรณภูมิ นำทรัพย์เป็นอันมากมาแล้วเอาราชสมบัติ ซึ่งเป็นของพระบิดา ทูลดังนี้แล้ว ให้พระมารดาประทานทรัพย์กึ่งหนึ่ง จำหน่ายออกเป็นสินค้าแล้วให้ขนขึ้นเรือ พร้อมกับพวกพาณิชที่จะเดินทางไปสุวรรณภูมิ แล้วกลับมาถวายบังคมลาพระมารดา ทูลว่า ข้าแต่พระมารดา หม่อมฉันจักไปเมืองสุวรรณภูมิ พระนางตรัสห้ามว่า ลูกรัก ขึ้นชื่อว่ามหาสมุทร สำเร็จประโยชน์น้อย มีอันตรายมาก อย่าไปเลย ทรัพย์ของพ่อมีมากพอประโยชน์ เอาราชสมบัติแล้ว พระกุมารทูลว่า หม่อมฉันจักไปแท้จริง ทูลลาพระมารดาถวายบังคม กระทำประทักษิณ แล้วออกไปขึ้นเรือ.
               ในวันนั้นได้เกิดพระโรคขึ้นในพระสรีระของพระเจ้าโปลชนกราช บรรทมแล้วเสด็จลุกขึ้นอีกไม่ได้. พวกพาณิชประมาณเจ็ดร้อยคนขึ้นสู่เรือ เรือแล่นไปได้เจ็ดร้อยโยชน์ ใช้เวลาเจ็ดวัน เรือแล่นไปด้วยกำลังคลื่นที่ร้ายกาจ ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ แผ่นกระดานก็แตกด้วยกำลังคลื่น น้ำเข้ามาแต่ที่นั้นๆ เรือก็จมลงในกลางมหาสมุทร มหาชนกลัวมรณภัย ร้องไห้คร่ำครวญกราบไหว้เทวดาทั้งหลาย แต่พระมหาสัตว์ไม่ทรงกันแสง ไม่ทรงคร่ำครวญ ไม่ไหว้เทวดาทั้งหลาย. พระองค์ทรงทราบว่า เรือจะจม จึงคลุกน้ำตาลกรวดกับเนยเสวยจนเต็มท้อง แล้วชุบผ้าเนื้อเกลี้ยงสองผืนด้วยน้ำมันจนชุ่ม ทรงนุ่งให้มั่น ประทับยืนเกาะเสากระโดง ขึ้นยอดเสากระโดงเวลาเรือจม มหาชนเป็นภักษาแห่งปลาและเต่า น้ำโดยรอบมีสีเหมือนโลหิต. พระมหาสัตว์ประทับยืนที่ยอดเสากระโดง ทรงกำหนดทิศว่า เมืองมิถิลาอยู่ทิศนี้ ก็กระโดดจากยอดเสากระโดง ล่วงพ้นฝูงปลาและเต่า ไปตกในที่สุด อุสภะหนึ่ง เพราะพระองค์มีพระกำลังมาก. พระเจ้าโปลชนกราชได้สวรรคตในวันนั้นเหมือนกัน.
               จำเดิมแต่นั้น พระมหาสัตว์เป็นไปอยู่ในคลื่นซึ่งมีสีดังแก้วมณี เหมือนท่อนต้นกล้วยทอง ข้ามมหาสมุทรด้วยกำลังพระพาหา. พระมหาสัตว์ทรงว่ายข้ามมหาสมุทรอยู่เจ็ดวัน เหมือนว่ายข้ามวันเดียว พระองค์ทรงสังเกตเวลานั้นว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ จึงบ้วนพระโอฐด้วยน้ำเค็ม ทรงสมาทานอุโบสถศีล. ก็ในกาลนั้น ท้าวโลกบาลทั้งสี่มอบให้เทพธิดาชื่อ มณีเมขลา เป็นผู้ดูแลรักษาสัตว์ทั้งหลาย ผู้ประกอบด้วยคุณ มีบำรุงมารดาเป็นต้น เป็นผู้ไม่สมควรจะตายในมหาสมุทร นางมณีเมขลามิได้ตรวจตรามหาสมุทรเป็นเวลาเจ็ดวัน. เล่ากันว่า นางเสวยทิพยสมบัติเพลินก็เผลอสติมิได้ตรวจตรา บางอาจารย์กล่าวว่า นางเทพธิดาไปเทพสมาคมเสีย นางคิดได้ว่า วันนี้เป็นวันที่เจ็ดที่เรามิได้ตรวจตรามหาสมุทร มีเหตุอะไรบ้างหนอ. เมื่อนางตรวจดูก็เห็นพระมหาสัตว์ จึงคิดว่า ถ้ามหาชนกกุมารจักตายในมหาสมุทร เราจักไม่ได้เข้าเทวสมาคม คิดฉะนี้แล้ว ตกแต่งสรีระ สถิตอยู่ในอากาศไม่ไกลพระมหาสัตว์.
               เมื่อจะทดลองพระมหาสัตว์ จึงกล่าวคาถาแรกว่า
               นี้ใคร เมื่อแลไม่เห็นฝั่ง ก็อุตสาหะพยายามว่ายอยู่ ท่ามกลางมหาสมุทร ท่านรู้อำนาจประโยชน์อะไร จึงพยายามว่ายอยู่อย่างนี้นักหนา.
               ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ทรงดำริว่า เราว่ายข้ามมหาสมุทรมาได้เจ็ดวันเข้าวันนี้ ไม่เคยเห็นเพื่อนสองของเราเลย นี่ใครหนอมาพูดกะเรา. เมื่อแลไปในอากาศก็ทอดพระเนตรเห็นนางมณีเมขลา จึงตรัสคาถาที่สองว่า
               ดูก่อนเทวดา เราไตร่ตรองเห็นปฏิปทาแห่งโลกและอานิสงส์แห่งความเพียร เพราะฉะนั้น ถึงจะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็ต้องพยายามว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร.
               นางมณีเมขลาปรารถนาจะฟังธรรมกถาของพระมหาสัตว์ จึงกล่าวคาถาอีกว่า
               ฝั่งมหาสมุทรลึกจนประมาณไม่ได้ ย่อมไม่ปรากฏแก่ท่าน ความพยายามอย่างลูกผู้ชายของท่าน ก็เปล่าประโยชน์ ท่านไม่ทันถึงฝั่งก็จักตาย.
               ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ตรัสกะนางมณีเมขลาว่า ท่านพูดอะไรอย่างนั้น เราทำความพยายาม แม้ตายก็จักพ้นครหา ตรัสฉะนี้แล้ว จึงกล่าวคาถาว่า
               บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จะตายก็ชื่อว่า ไม่เป็นหนี้ในระหว่างหมู่ญาติเทวดา และบิดามารดา อนึ่ง บุคคลเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง.
               ลำดับนั้น เทวดากล่าวคาถากะพระมหาสัตว์ว่า
               การงานอันใด ยังไม่ถึงที่สุดด้วยความพยายาม การงานอันนั้นก็ไร้ผล มีความลำบากเกิดขึ้น การทำความพยายามในฐานะอันไม่สมควรใด จนความตายปรากฏขึ้น ความพยายามในฐานะอันไม่สมควรนั้นจะมีประโยชน์อะไร.
               เมื่อนางมณีเมขลากล่าวอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์เมื่อจะทำนางมณีเมขลาให้จำนนต่อถ้อยคำ จึงได้ตรัสคาถาต่อไปว่า
               ดูก่อนเทวดา ผู้ใดรู้แจ้งว่าการงานที่ทำ จะไม่ลุล่วงไปได้จริงๆ ชื่อว่าไม่รักษาชีวิตของตน ถ้าผู้นั้นละความเพียรในฐานะเช่นนั้นเสีย ก็จะพึงรู้ผลแห่งความเกียจคร้าน.
               ดูก่อนเทวดา คนบางพวกในโลกนี้เห็นผลแห่งความประสงค์ของตน จึงประกอบการงานทั้งหลาย การงานเหล่านั้นจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม
               ดูก่อนเทวดา ท่านก็เห็นผลแห่งกรรมประจักษ์แก่ตนแล้วมิใช่หรือ คนอื่นๆ จมในมหาสมุทรหมด เราคนเดียวยังว่ายข้ามอยู่ และได้เห็นท่านมาสถิตอยู่ใกล้ๆเรา เรานั้นจักพยายามตามสติกำลัง จักทำความเพียรที่บุรุษควรทำ ไปให้ถึงฝั่งแห่งมหาสมุทร.
               เทวดาได้สดับพระวาจาอันมั่นคงของพระมหาสัตว์นั้น เมื่อจะสรรเสริญพระมหาสัตว์ จึงกล่าวคาถาว่า
               ท่านใดถึงพร้อมด้วยความพยายามโดยธรรม ไม่จมลงในห้วงมหรรณพ ซึ่งประมาณมิได้ เห็นปานนี้ด้วยกิจ คือความเพียรของบุรุษ ท่านนั้นจงไปในสถานที่ที่ใจของท่านยินดีนั้นเถิด.
               ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว นางมณีเมขลาได้ถามว่า ข้าแต่ท่านบัณฑิตผู้มีความบากบั่นมาก ข้าพเจ้าจักนำท่านไปที่ไหน. เมื่อพระมหาสัตว์ตรัสว่า มิถิลานคร นางจึงอุ้มพระมหาสัตว์ขึ้นดุจคนยกกำดอกไม้ ใช้แขนทั้งสองประคองให้นอนแนบทรวง พาเหาะไปในอากาศเหมือนคนอุ้มลูกรัก ฉะนั้น. พระมหาสัตว์มีสรีระเศร้าหมองด้วยน้ำเค็มตลอดเจ็ดวัน ได้สัมผัสทิพยผัสสะก็บรรทมหลับ. ลำดับนั้น นางมณีเมขลานำพระมหาสัตว์ถึงมิถิลานคร ให้บรรทมโดยเบื้องขวาบนแผ่นศิลา อันเป็นมงคลในสวนมะม่วง มอบให้หมู่เทพเจ้าในสวนคอยอารักขาพระมหาสัตว์แล้วไปสู่ที่อยู่ของตน.
               ในกาลนั้น พระเจ้าโปลชนกราชไม่มีพระโอรส มีแต่พระธิดาองค์หนึ่งพระนามว่า สีวลีเทวี เป็นหญิงฉลาดเฉียบแหลม. อมาตย์ทั้งหลายได้ทูลถามพระเจ้าโปลชนกราช เมื่อบรรทมอยู่บนพระแท่นมรณมัญจอาสน์ว่า ข้าแต่พระมหาราช เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว เหล่าข้าพระบาทจักถวายราชสมบัติแก่ใคร. พระราชาตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงมอบราชสมบัติให้แก่ท่านที่สามารถยังสีวลีเทวีธิดาของเราให้ยินดี หรือผู้ใดรู้หัวนอนแห่งบัลลังก์สี่เหลี่ยม หรือผู้ใดอาจยกสหัสสถามธนูขึ้นได้ หรือผู้ใดอาจนำขุมทรัพย์ใหญ่สิบหกแห่งออกมาได้. ท่านทั้งหลายจงมอบราชสมบัติให้แก่ผู้นั้น. อมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ขอเดชะ ขอพระองค์โปรดตรัส อุทานปัญหาแห่งขุมทรัพย์เหล่านั้น แก่พวกข้าพระองค์.
               พระราชาจึงตรัสอุทานปัญหาของสิ่งอื่นๆ พร้อมกับขุมทรัพย์ทั้งหลายไว้ว่า
               ขุมทรัพย์ใหญ่สิบหกขุมเหล่านี้ คือ ขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ๑. ขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ตก ๑. ขุมทรัพย์ภายใน ๑. ขุมทรัพย์ภายนอก ๑. ขุมทรัพย์ไม่ใช่ภายในไม่ใช่ภายนอก ๑. ขุมทรัพย์ขาขึ้น ๑. ขุมทรัพย์ขาลง ๑. ขุมทรัพย์ที่ไม้รังใหญ่ทั้งสี่ ๑. ขุมทรัพย์ในที่โยชน์หนึ่งโดยรอบ ๑. ขุมทรัพย์ใหญ่ที่ปลายงาทั้งสอง ๑. ขุมทรัพย์ที่ปลายขนหาง ๑. ขุมทรัพย์ที่น้ำ ๑. ขุมทรัพย์ที่ยอดไม้ ๑. และธนูหนักพันแรงคนยก ๑. บัลลังก์สี่เหลี่ยมหัวนอนอยู่เหลี่ยมไหน ๑. และยังสีวลีราชเทวีให้ยินดี ๑.
               เมื่อพระเจ้าโปลชนกราชสวรรคต ถวายพระเพลิงพระบรมศพเสร็จแล้ว อมาตย์ทั้งหลายได้ประชุมปรึกษากันในวันที่เจ็ด ถึงเรื่องที่พระราชาตรัสไว้ว่า ให้มอบราชสมบัติแก่ท่านที่สามารถให้พระธิดาของพระองค์ยินดี ก็ใครเล่าจักสามารถให้พระราชธิดานั้นยินดี. อมาตย์เหล่านั้นเห็นกันว่า เสนาบดีเป็นผู้สนิทชิดแห่งพระราชาจักสามารถ จึงส่งข่าวให้เสนาบดีนั้นทราบ เสนาบดีนั้นได้ฟังข่าว รับแล้วไปสู่ประตูพระราชวังเพื่อต้องการราชสมบัติ ให้ทูลความที่ตนมาแด่พระราชธิดา. พระราชธิดาทรงทราบว่า เสนาบดีนั้นมา หวังจะทรงทดลองเสนาบดีว่า จะมีปัญญาทรงสิริแห่งเศวตฉัตรหรือไม่ จึงรับสั่งว่า จงมาโดยเร็ว เสนาบดีได้ฟังข่าวนั้นแล้ว ประสงค์จะให้พระราชธิดาโปรดปราน จึงไปโดยเร็วตั้งแต่เชิงบันไดไปยืนอยู่ที่ใกล้พระราชธิดา. ลำดับนั้นพระราชธิดา เมื่อทรงทดลองเสนาบดีนั้น จึงตรัสสั่งว่า จงวิ่งไปโดยเร็วในพระตำหนัก. เสนาบดีคิดว่าจักยังพระราชธิดาให้ยินดี จึงวิ่งไปโดยเร็ว. พระราชธิดารับสั่งกะเสนาบดีว่า จงมาอีก เสนาบดีก็มาโดยเร็วอีก. พระราชธิดาทรงทราบว่า เสนาบดีนั้นหาปัญญามิได้ จึงตรัสว่า จงมานวดเท้าของเรา เสนาบดีก็นั่งลง นวดพระบาทของพระราชธิดาเพื่อให้ทรงโปรดปราน.
               ลำดับนั้น พระราชธิดาก็ถีบเสนาบดีนั้นที่อกให้ล้มหงาย แล้วประทานสัญญาแก่นางข้าหลวงทั้งหลายด้วยพระดำรัสว่า พวกเจ้าจงตีบุรุษไร้ปัญญาอันธพาลคนนี้ ลากคอออกไปเสีย นางข้าหลวงทั้งหลายก็ทำตามรับสั่ง. เสนาบดีนั้นใครถามว่าเป็นอย่างไร ก็ตอบว่า พวกท่านอย่าถามเลย พระราชธิดานี้ไม่ใช่หญิงมนุษย์ จักเป็นยักขินี แต่นั้นอมาตย์ผู้รักษาคลังไปเพื่อให้พระราชธิดาทรงยินดี. พระราชธิดาก็ให้ได้รับความอับอายขายหน้า เช่นเดียวกับเสนาบดี ได้ยังชนทั้งปวง คือเศรษฐี เจ้าพนักงานเชิญเครื่องสูง เจ้าพนักงานเชิญพระแสง ให้ได้รับความอับอายขายหน้าเหมือนกัน.
               ครั้งนั้น มหาชนปรึกษากันแล้วกล่าวว่า ไม่มีผู้สามารถให้พระราชธิดาโปรดปราน ท่านทั้งหลายจงมอบราชสมบัติแก่ ผู้สามารถยกธนูที่มีน้ำหนักพันแรงคนยก ใครๆ ก็ไม่สามารถจะยกธนูนั้นขึ้น. แต่นั้นมหาชนจึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงมอบราชสมบัติแก่ ผู้รู้จักหัวนอนแห่งบัลลังก์สี่เหลี่ยม ก็ไม่มีใครรู้จักอีก. แต่นั้น มหาชนจึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงมอบราชสมบัติแก่ ผู้สามารถนำขุมทรัพย์สิบหกแห่งออกมาได้ ก็ไม่มีใครสามารถอีก.
               แต่นั้น เสนาอมาตย์ทั้งหลายปรึกษากันว่า เราทั้งหลายไม่อาจรักษาแว่นแคว้นที่หาพระราชามิได้ไว้ จะพึงทำอย่างไรกันหนอ. ลำดับนั้น ปุโรหิตจึงกล่าวกะเสนามาตย์เหล่านั้นว่า พวกท่านอย่าวิตกเลย ควรจะปล่อยผุสสรถไป เพราะพระราชาที่เชิญเสด็จมาได้ด้วยผุสสรถ เป็นผู้สามารถจะครองราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น. เหล่าเสนามาตย์ต่างเห็นพร้อมกัน จึงให้ตกแต่งพระนคร แล้วให้เทียมม้าสี่ตัวมีสี ดุจดอกกุมุทในราชรถอันเป็นมงคล ลาดเครื่องลาดอันวิจิตรเบื้องบน ให้ประดิษฐานเบญจราชกกุธภัณฑ์ แวดล้อมด้วยจตุรงคเสนา. ชนทั้งหลายประโคมเครื่องดนตรีข้างหน้าราชรถ ที่พระราชาเป็นเจ้าของ ประโคมเบื้องหลังราชรถ ที่ไม่มีเจ้าของ เพราะฉะนั้น ปุโรหิตจึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงประโคมดนตรีทั้งปวงเบื้องหลังราชรถ แล้วรดสายหนังเชือก แอก ประตักด้วยพระเต้าทองคำ แล้วสั่งราชรถว่า ผู้ใดมีบุญที่จะได้ครองราชสมบัติ ท่านจงไปสู่สำนักของผู้นั้น แล้วปล่อยราชรถนั้นไป.
               ลำดับนั้น ราชรถก็ทำประทักษิณพระราชนิเวศแล้วขึ้นสู่ถนนใหญ่แล่นไปโดยเร็ว ชนทั้งหลายมีเสนาบดีเป็นต้น นึกหวังว่า ขอผุสสรถจงมาสู่สำนักเรา รถนั้นแล่นล่วงเลยเคหสถานของชนทั้งปวงไป ทำประทักษิณพระนครแล้ว ออกทางประตูด้านตะวันออก บ่ายหน้าตรงไปอุทยาน.
               ครั้งนั้น ชนทั้งหลายเห็นราชรถแล่นไปโดยเร็ว จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงยังราชรถนั้นให้กลับ. ปุโรหิตห้ามว่า อย่าให้กลับเลย ถึงแล่นไปสิ้นร้อยโยชน์ก็อย่าให้กลับ รถเข้าไปสู่อุทยาน ทำประทักษิณแผ่นศิลามงคลแล้ว หยุดอยู่เตรียมรับเสด็จขึ้น. ปุโรหิตเห็นพระมหาสัตว์บรรทม จึงเรียกเหล่าอมาตย์มากล่าวว่า ท่านผู้หนึ่งนอนบนแผ่นศิลามงคลปรากฏอยู่. แต่ว่าพวกเรายังไม่รู้ว่า ท่านผู้นั้นจะมีปัญญาสมควรแก่เศวตฉัตรหรือไม่มี. ถ้าว่าท่านมีปัญญา จักไม่ลุกขึ้นจักไม่แลดู. ถ้าเป็นคนกาลกรรณีจักกลัว จักตกใจ ลุกขึ้นสะทกสะท้านแลดูแล้วหนีไป. ท่านทั้งหลายจงประโคมดนตรีขึ้นทั้งหมดโดยเร็ว. ชนทั้งปวงก็ประโคมดนตรีเป็นร้อยๆ ขึ้นขณะนั้น เสียงของดนตรีเหล่านั้น ได้เป็นเหมือนกึกก้องไปทั่วท้องสาคร. พระมหาสัตว์ตื่นบรรทมด้วยเสียงนั้น เปิดพระเศียรทอดพระเนตรเห็นมหาชนแล้ว ทรงจินตนาการว่า เศวตฉัตรมาถึงเรา. ดังนี้แล้ว คลุมพระเศียรเสียอีก พลิกพระองค์บรรทมข้างซ้าย ปุโรหิตเปิดพระบาทแห่งพระมหาสัตว์ ตรวจดูพระลักษณะแล้วกล่าวว่า อย่าว่าแต่ทวีปหนึ่งนี้เท่านั้นเลย ท่านผู้นี้สามารถครองราชสมบัติในมหาทวีปทั้งสี่ได้ กล่าวฉะนี้แล้วให้ประโคมดนตรีอีก.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงเปิดพระพักตร์อีก พลิกพระองค์บรรทมข้างขวา ทอดพระเนตรมหาชน ปุโรหิตให้บริษัทถอยออกไปแล้ว ประคองอัญชลีก้มหน้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ขอได้โปรดเสด็จลุกขึ้นเถิด ราชสมบัติมาถึงพระองค์. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ตรัสถามปุโรหิตว่า พระราชาของพวกท่านเสด็จไปไหน. ครั้นปุโรหิตกราบทูลว่า เสด็จสวรรคต. จึงตรัสถามว่า พระราชโอรสหรือพระราชภาดาของพระราชานั้นไม่มีหรือ. ปุโรหิตกราบทูลว่า ไม่มีพระเจ้าข้า มีแต่พระราชธิดาองค์หนึ่ง.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงสดับคำของปุโรหิตนั้นแล้ว จึงรับสั่งว่า ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว เราจักครองราชสมบัติ. ตรัสฉะนี้แล้ว เสด็จลุกขึ้นประทับนั่งโดยบัลลังก์ ณ แผ่นมงคลศิลา. ต่อนั้น ชนทั้งหลายมีอมาตย์และปุโรหิตเป็นต้น ก็ถวายอภิเษกพระมหาสัตว์ ณ สถานที่นั้นทีเดียว. พระมหาสัตว์นั้นได้ทรงพระนามว่า มหาชนกราช พระองค์เสด็จขึ้นสู่ราชรถอันประเสริฐ เข้าพระนครด้วยสิริราชสมบัติอันสิริโสภาคใหญ่ ขึ้นสู่พระราชนิเวศ ทรงพิจารณาว่า ตำแหน่งเสนาบดีเป็นต้นนั้นๆ ยกไว้ก่อน แล้วเสด็จขึ้นพระที่นั่งข้างใน.
               ฝ่ายพระราชธิดา ตรัสสั่งราชบุรุษคนหนึ่งเพื่อจะทรงทดลองพระมหาสัตว์นั้น โดยสัญญาที่มีมาก่อนว่า เจ้าจงเข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า พระนางสีวลีเทวีรับสั่งให้หา จงรีบเสด็จไปเฝ้า อมาตย์นั้นก็ไปกราบทูลพระราชาดังนั้น. พระราชาแม้ได้ทรงฟังคำอมาตย์นั้น ก็แสร้งเป็นเหมือนไม่ได้ยิน ตรัสชมปราสาทเสียว่า โอ ปราสาทงาม ดังนี้ เพราะความที่พระองค์เป็นบัณฑิต. ราชบุรุษนั้นเมื่อไม่อาจให้พระราชาทรงสดับคำนั้น จึงกลับมาทูลพระราชธิดาว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระราชาไม่ทรงฟังคำของพระแม่เจ้า มัวแต่ทรงชมปราสาท ไม่สนพระทัยพระวาจาของพระแม่เจ้า เหมือนคนไม่สนใจต้นหญ้า ฉะนั้น. พระราชธิดาทรงคิดว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้มีอัธยาศัยใหญ่ ส่งราชบุรุษให้เชิญเสด็จมาอีกถึงสองครั้งสามครั้งทีเดียว แม้พระราชาก็เสด็จไปโดยปกติ ตามความพอพระราชหฤทัยของพระองค์ ขึ้นสู่ปราสาทเหมือนพระยาราชสีห์เดินออกจากถ้ำ ฉะนั้น. เมื่อเสด็จใกล้เข้ามา พระสีวลีเทวีราชธิดาไม่อาจดำรงพระองค์อยู่ได้ด้วยพระเดชานุภาพแห่งพระมหาสัตว์ จึงเสด็จมาถวายให้เกี่ยวพระกร. พระมหาสัตว์ก็ทรงรับเกี่ยวพระกรพระราชธิดา ขึ้นยังพระที่นั่งประทับ ณ ราชบัลลังก์ภายใต้พระมหาเศวตฉัตร ตรัสเรียกอมาตย์ทั้งหลายมารับสั่งถามว่า ดูก่อนอมาตย์ทั้งหลาย เมื่อพระราชาของพวกท่านจะเสด็จสวรรคต ได้ตรัสสั่งอะไรไว้บ้าง. เมื่ออมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ได้ตรัสสั่งไว้บ้าง จึงโปรดให้อมาตย์เล่าถวาย อมาตย์ทั้งหลายจึงกราบทูลว่า พระราชาของข้าพระองค์ทั้งหลายได้ตรัสสั่งไว้ดังนี้.
               ๑. ให้มอบราชสมบัติแก่ท่านผู้ที่ทำให้พระราชธิดาพระนามว่าสีวลีเทวีโปรดปรานได้.
               พระราชาตรัสว่า พระนางสีวลีราชธิดาเสด็จมาถวายให้เกี่ยวพระกรของเธอแล้ว ข้อนี้เป็นอันว่า เราได้ให้พระราชธิดาโปรดปรานแล้ว ท่านจงกล่าวข้ออื่นต่อไป.
               ๒. ให้มอบราชสมบัติแก่ท่านผู้สามารถทราบหัวนอนแห่งบัลลังก์สี่เหลี่ยมว่าอยู่ด้านไหน.
               พระมหาสัตว์ทรงดำริว่า ข้อนี้รู้ยาก แต่ก็อาจรู้ได้โดยอุบาย จึงทรงถอดเข็มทองคำบนพระเศียร ประทานที่พระหัตถ์พระนางสีวลี มีรับสั่งว่า เธอจงวางเข็มทองคำนี้ไว้ พระนางสีวลีราชธิดาทรงรับเข็มทองคำไปวางไว้เบื้องหัวนอนแห่งบัลลังก์นั้น. บางอาจารย์กล่าวว่า พระมหาสัตว์ประทานพระขรรค์ให้พระราชธิดาไปวาง. พระมหาสัตว์ทรงทราบว่า ข้างนี้เป็นหัวนอนด้วยความหมายนั้น ทรงทำเป็นยังไม่ได้ยินถ้อยคำนั้น จึงตรัสถามว่า ท่านว่ากระไร ครั้นหมู่อมาตย์กราบทูลซ้ำให้ทรงทราบแล้ว จึงรับสั่งว่า การรู้จักหัวนอนบัลลังก์สี่เหลี่ยมไม่อัศจรรย์ ด้านนี้เป็นหัวนอน ท่านทั้งหลายจงกล่าวข้ออื่นต่อไป.
               ๓. ให้มอบราชสมบัติแก่ท่านผู้ยกธนูอันมีน้ำหนักพันแรงคนยกขึ้นได้.
               พระมหาสัตว์ตรัสสั่งให้นำธนูนั้นมา แล้วประทับ ณ ราชบัลลังก์นั้นเอง ทรงยกสหัสสถามธนูนั้นขึ้น ดุจกงดีดฝ้ายของหญิงทั้งหลายฉะนั้น แล้วโปรดให้เล่าข้ออื่นต่อไป.
               ๔. ให้มอบราชสมบัติแก่ท่านผู้นำขุมทรัพย์สิบหกแห่งออกให้ปรากฏ.
               พระมหาสัตว์ตรัสถามว่า ปัญหาอะไรๆ เกี่ยวกับขุมทรัพย์นั้น มีอยู่หรือไม่ เมื่อพวกอมาตย์กราบทูลปัญหาเกี่ยวกับขุมทรัพย์ว่า มีขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นต้น พอพระองค์ได้ทรงสดับปัญหานั้นแล้ว เนื้อความก็ปรากฏเหมือนดวงจันทร์ในวันเพ็ญลอยเด่นอยู่ ณ ท้องฟ้าฉะนั้น. ครั้นแล้ว พระมหาสัตว์จึงตรัสว่า วันนี้หมดเวลาแล้ว พรุ่งนี้เราจักชี้ขุมทรัพย์ในที่ทั้งหลายนั้นๆ. รุ่งขึ้นพระมหาสัตว์ให้ประชุมเหล่าอมาตย์แล้วตรัสถามว่า พระราชาของพวกท่านนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าให้มาฉันบ้างหรือไม่ กราบทูลว่า เคยนิมนต์ให้มาฉันบ้าง ขอเดชะ. พระมหาสัตว์ทรงดำริว่า ดวงอาทิตย์มิใช่ดวงอาทิตย์ที่มองเห็นนี้ ดวงอาทิตย์หมายเอาพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะมีคุณเช่นดวงอาทิตย์ ขุมทรัพย์คงมีในสถานที่ต้อนรับพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น. พระมหาสัตว์จึงตรัสถามว่า เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมา พระราชาเสด็จไปต้อนรับตรงไหน. เมื่ออมาตย์กราบทูลว่า ตรงนั้น ขอเดชะ. ก็ตรัสสั่งให้ขุดที่นั้น นำขุมทรัพย์มาได้ จึงตรัสถามต่อไปว่า เมื่อเสด็จไปส่งพระปัจเจกพุทธเจ้าเวลากลับ เสด็จประทับยืนตรงไหน เมื่อทรงทราบว่าที่ใดแล้ว ก็โปรดให้ขุดที่นั้นนำขุมทรัพย์ออกมาได้.
               มหาชนก็โห่ร้องเซ็งแซ่ถวายสาธุการสรรเสริญพระปัญญา รู้สึกปีติโสมนัสว่า ชนทั้งหลายเที่ยวขุด ณ ทิศที่ดวงอาทิตย์ขึ้น เพราะปัญหากล่าวว่าที่ดวงอาทิตย์ขึ้น และเที่ยวขุดในทิศที่ดวงอาทิตย์ตก เพราะปัญหากล่าวว่าที่ดวงอาทิตย์ตก แต่ขุมทรัพย์มีอยู่ในที่นี้เอง โอ อัศจรรย์หนอ แปลกหนอ. พระมหาสัตว์ตรัสให้ขุดนำขุมทรัพย์มาแต่ภายในธรณี แห่งพระทวารใหญ่ของพระราชฐานได้ เพราะปัญหาว่าขุมทรัพย์ภายใน. ให้ขุดนำขุมทรัพย์มาแต่ภายนอกธรณีแห่งพระทวารใหญ่ของพระราชฐานได้ เพราะปัญหาว่าขุมทรัพย์ภายนอก. ให้ขุดนำขุมทรัพย์มาแต่ข้างล่างพระธรณี แห่งพระทวารใหญ่ของพระราชฐานได้ เพราะปัญหาว่า ขุมทรัพย์ไม่ใช่ภายในไม่ใช่ภายนอก. ให้ขุดนำขุมทรัพย์มาแต่ที่เกยทอง ในเวลาเสด็จขึ้นประทับมงคลหัตถีได้ เพราะปัญหาว่าขุมทรัพย์ขาขึ้น. ให้ขุดนำขุมทรัพย์มาแต่ที่เสด็จลงจากคอช้างได้ เพราะปัญหาว่าขุมทรัพย์ขาลง. ให้ขุดนำหม้อทรัพย์ทั้งสี่หม้อมาแต่ภายใต้ต้นรังทั้งสี่แห่ง อันเป็นเท้าพระแท่นบรรทม อันเป็นสิริซึ่งตั้งขึ้นมาแต่พื้นดินได้ เพราะปัญหาว่า ขุมทรัพย์ทั้งสี่. ให้ขุดนำหม้อทรัพย์ทั้งหลายมาแต่ที่ประมาณชั่วแอกโดยรอบพระที่สิริไสยาสน์ โดยวิธีนับชั่วแอกรถประมาณโยชน์หนึ่งได้ เพราะปัญหาว่าขุมทรัพย์ในที่โยชน์หนึ่งโดยรอบ. ให้ขุดหม้อทรัพย์ทั้งสองในสถานที่มงคลหัตถี แต่ที่เฉพาะหน้าแห่งงาทั้งสองแห่งช้างนั้นมาได้ เพราะปัญหาว่าขุมทรัพย์ใหญ่ที่ปลายงาทั้งสอง. ให้ขุดขุมทรัพย์ในสถานที่มงคลหัตถีแห่งที่เฉพาะหน้าแห่งปลายหางของช้างนั้นมาได้ เพราะปัญหาว่า ขุมทรัพย์ที่ปลายหาง. ให้วิดน้ำในสระมงคลโบกขรณีแสดงขุมทรัพย์ เพราะปัญหาว่าขุมทรัพย์ที่น้ำ. ให้ขุดหม้อขุมทรัพย์มาแต่ภายในเงาไม้รัง มีปริมณฑลเวลาเที่ยงวันตรงที่โคนไม้รังใหญ่ในพระราชอุทยานได้ เพราะปัญหาว่าขุมทรัพย์ใหญ่ที่ปลายไม้. พระราชาให้นำขุมทรัพย์ใหญ่ทั้งสิบหกมาได้แล้ว ตรัสถามว่า ปัญหาอื่นอะไรยังมีอีกหรือไม่. อมาตย์ทั้งหลาย กราบทูลว่า ไม่มีแล้ว พระเจ้าข้า. มหาชนต่างร่าเริงแล้ว ยินดีแล้วว่า โอ อัศจรรย์ พระราชาองค์นี้เป็นบัณฑิตจริงๆ .
               ลำดับนั้น พระราชาทรงดำริว่า เราจักบริจาคทรัพย์นี้ในทานมุข จึงโปรดให้สร้างศาลาโรงทานหกหลัง คือท่ามกลางพระนครหนึ่ง ที่ประตูพระนครทั้งสี่ และที่ประตูพระราชนิเวศหนึ่ง โปรดให้เริ่มตั้งทานวัตร พระราชาโปรดให้เชิญพระมารดา และพราหมณ์มาแต่กาลจัมปากนคร ทรงทำสักการะสมโภชเป็นการใหญ่. เมื่อพระมหาสัตว์ทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติ ในกาลเมื่อพระองค์ยังทรงเป็นดรุณราชกุมาร ชาววิเทหรัฐทั้งสิ้นเอิกเกริกกัน เพื่อจะได้เห็นพระองค์ ด้วยคิดว่า พระราชโอรสพระเจ้าอริฏฐชนกราช ทรงพระนามว่า มหาชนกราช ครองราชสมบัติเป็นพระราชาผู้บัณฑิต เฉลียวฉลาดในอุบาย เราทั้งหลายจักเห็นพระองค์. แต่นั้นมา ชนเป็นอันมากพร้อมกันนำเครื่องบรรณาการถวาย มีมหรสพใหญ่ในพระนคร ลาดเครื่องลาดที่ทำด้วยฝีมือเป็นต้นในพระราชนิเวศ ห้อยพวงของหอมพวงดอกไม้เป็นต้น โปรยปรายข้าวตอก ทำเครื่องอุปกรณ์ดอกไม้ เครื่องอบธูปและเครื่องหอม จัดตั้งไว้ซึ่งน้ำและโภชนาหารมีประการต่างๆ ในภาชนะเงิน ภาชนะทองคำ เพื่อเป็นเครื่องราชบรรณาการถวายพระมหาสัตว์เจ้า ยืนแวดล้อมอยู่ในที่นั้นๆ. หมู่อมาตย์เฝ้าอยู่ ณ ปะรำหนึ่ง หมู่พราหมณ์เฝ้าอยู่ ณ ปะรำหนึ่ง หมู่เศรษฐีเป็นต้น ปะรำหนึ่ง เหล่านางสนมทรงรูปโฉม ปะรำหนึ่ง. ฝ่ายพราหมณ์ทั้งหลายก็พร้อมกันสาธยายมนต์ เพื่ออำนวยสวัสดี. เหล่าผู้กล่าวชัยมงคลด้วยปากก็พร้อมกันร้อง ถวายชัยมงคลกึกก้อง เหล่าผู้ชำนาญการขับร้องเป็นต้น ก็พร้อมกันขับเพลงถวายอยู่อึงมี่. ชนทั้งหลายก็บรรเลงดนตรีเป็นร้อยๆ อย่างอยู่ครามครัน. พระราชนิเวศวังสถาน ก็บันลือลั่นสนั่นศัพท์สำเนียงเป็นเสียงเดียวกัน ปานท้องมหาสมุทรถูกลมพัดมาแต่ขุนเขายุคนธรฟัดฟาดแล้ว ฉะนั้น. สถานที่ซึ่งพระมหาสัตว์ทอดพระเนตรแล้วๆ ก็กัมปนาทหวั่นไหว.

      พระมหาสัตว์ประทับ ณ พระราชอาสน์ ภายใต้พระมหาเศวตฉัตรทอดพระเนตรสิริวิลาส อันใหญ่เพียงดังสิริของท้าวสักกเทวราช ก็ทรงอนุสรณ์ถึงความพยายาม ที่พระองค์ได้ทรงทำในมหาสมุทร เมื่อท้าวเธอทรงอนุสรณ์ถึงความพยายามเช่นนั้นแล้ว จึงทรงมนสิการว่า ชื่อว่าความเพียร ควรทำแท้ ถ้าเราไม่ได้ทำความเพียรในมหาสมุทร เราจักไม่ได้สมบัตินี้. เมื่อทรงอนุสรณ์ถึงความเพียรนั้น ก็เกิดพระปีติโสมนัสซาบซ่าน จึงทรงเปล่งพระอุทานด้วยกำลังพระปีติ ตรัสว่า
               บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงหวังเข้าไว้ ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นการเป็นพระราชาสมปรารถนาแก่ตน. บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงหวังเข้าไว้ ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตัวท่านจากน้ำขึ้นสู่บก.
               บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงพยายามเรื่อยไป ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นการเป็นพระราชาสมปรารถนาแก่ตน. บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงพยายามเรื่อยไป ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตัวท่านจากน้ำขึ้นสู่บก.
               นรชนผู้มีปัญญาแม้ใกล้ถึงทุกข์แล้ว ก็ไม่พึงตัดความหวังที่จะถึงความสุข จริงอยู่ คนเป็นอันมากถูกทุกข์กระทบกระทั่ง ก็ทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ถูกสุขกระทบกระทั่ง ก็ทำสิ่งที่มีประโยชน์ คนเหล่านั้นไม่ตรึกถึงความข้อนี้จึงถึงความตาย.
               สิ่งที่มิได้คิดไว้ จะมีก็ได้ สิ่งที่คิดไว้จะพินาศไปก็ได้ โภคะทั้งหลายของหญิงก็ตาม ของชายก็ตาม มิได้สำเร็จด้วยเพียงคิดเท่านั้น.
               ตั้งแต่นั้นมา พระมหาสัตว์ทรงบำเพ็ญทศพิธราชธรรม ครองราชสมบัติโดยธรรม ทรงบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย.
               กาลต่อมา พระนางสีวลีเทวีประสูติพระราชโอรส ซึ่งสมบูรณ์ด้วยลักษณะแห่งความมั่งคั่งและความมีบุญ. พระชนกและพระชนนี ทรงขนานพระนามว่าทีฆาวุราชกุมาร. เมื่อทีฆาวุราชกุมารทรงเจริญวัย พระราชาประทานอุปราชาภิเษกแล้ว ครองราชสมบัติอยู่เจ็ดพันปี.
               วันหนึ่ง เมื่อนายอุทยานบาลนำผลไม้น้อยใหญ่ต่างๆ และดอกไม้ต่างๆมาถวาย พระมหาชนกราชมหาสัตว์ทอดพระเนตรเห็นของเหล่านั้น ทรงยินดี ทรงยกย่องนายอุทยานบาลนั้น ตรัสว่า ดูก่อนนายอุทยานบาล เราใคร่จะเห็นอุทยาน ท่านจงตกแต่งไว้ นายอุทยานบาลรับพระราชดำรัสแล้ว ทำตามรับสั่ง แล้วกราบทูลให้ทรงทราบ พระมหาสัตว์ประทับบนคอช้างเสด็จออกจากพระนคร ด้วยราชบริพารเป็นอันมาก ถึงประตูพระราชอุทยาน. ที่ใกล้ประตูพระราชอุทยานนั้น มีต้นมะม่วงสองต้นมีใบเขียวชอุ่ม ต้นหนึ่งไม่มีผล ต้นหนึ่งมีผล ผลนั้นมีรสหวานเหลือเกิน ใครๆ ไม่อาจเก็บผลจากต้นนั้น เพราะผลซึ่งมีรสเลิศอันพระราชายังมิได้เสวย พระมหาสัตว์ประทับบนคอช้าง ทรงเก็บเอาผลหนึ่งเสวย ผลมะม่วงนั้นพอตั้งอยู่ที่ปลายพระชิวหาของพระมหาสัตว์ ปรากฏดุจโอชารสทิพย์ พระมหาสัตว์ทรงคิดว่า เราจักกินให้มากเวลากลับ แล้วเสด็จเข้าสู่พระราชอุทยาน คนอื่นๆ มีอุปราชเป็นต้น จนถึงคนรักษาช้าง รักษาม้า รู้ว่าพระราชาเสวยผลมีรสเลิศแล้ว ก็เก็บเอาผลมากินกัน. ฝ่ายคนเหล่าอื่นยังไม่ได้ผลนั้น ก็ทำลายกิ่งด้วยท่อนไม้ ทำเสียไม่มีใบ ต้นก็หักโค่นลง. มะม่วงอีกต้นหนึ่งตั้งอยู่งดงาม ดุจภูเขามีพรรณดังแก้วมณี. พระราชาเสด็จออกจากพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามเหล่าอมาตย์ว่า นี่อะไรกัน เหล่าอมาตย์กราบทูลว่า มหาชนทราบว่า พระองค์เสวยผลมีรสเลิศแล้ว ต่างก็แย่งกันกินผลมะม่วงนั้น. พระราชาตรัสถามว่า ใบและวรรณะของต้นนี้สิ้นไปแล้ว ใบและวรรณะของต้นนอกนี้ยังไม่สิ้นไป เพราะเหตุไร. อมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ใบและวรรณะของอีกต้นหนึ่งไม่สิ้นไป เพราะไม่มีผล.
               พระราชาทรงสดับดังนั้น ได้ความสังเวชทรงดำริว่า ต้นนี้มีวรรณะสดเขียวตั้งอยู่แล้ว เพราะไม่มีผล แต่ต้นนี้ถูกหักโค่นลง เพราะมีผล. แม้ราชสมบัตินี้ก็เช่นกับต้นไม้มีผล บรรพชาเช่นกับต้นไม้หาผลมิได้. ภัยย่อมมีแก่ผู้มีความกังวล ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีความกังวล. ก็เราจักไม่เป็นเหมือนต้นไม้มีผล จักเป็นเหมือนต้นไม้หาผลมิได้. เราจักสละราชสมบัติออกบวช ทรงอธิษฐานพระมนัสมั่น เสด็จเข้าสู่พระนคร เสด็จขึ้นปราสาทประทับที่พระทวารปราสาท ให้เรียกเสนาบดีมาตรัสสั่งว่า จำเดิมแต่วันนี้ ชนเหล่าอื่นนอกจากผู้บำรุงปฏิบัติผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้เชิญเครื่องเสวยมา และเป็นผู้ถวายน้ำบ้วนพระโอฐและไม้สีพระทนต์ อย่ามาหาเราเลย ท่านทั้งหลายจงถือตามเหล่าอมาตย์ ผู้วินิจฉัยคนเก่าว่ากล่าวราชกิจ ตั้งแต่วันนี้ไป เราจักเจริญสมณธรรมในพระตำหนักชั้นบน ตรัสสั่งดังนี้แล้ว เสด็จขึ้นสู่ปราสาท เจริญสมณธรรมพระองค์เดียวเท่านั้น. เมื่อกาลล่วงไปอย่างนี้ มหาชนประชุมกันที่พระลานหลวง ไม่เห็นพระมหาสัตว์ ก็กล่าวว่า พระราชาของพวกเราไม่เหมือนพระองค์เก่า แล้วกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
               พระราชาผู้เป็นใหญ่ไม่เหมือนแต่ก่อน เพราะบัดนี้ ไม่ทรงตรวจตราเหล่าคนฟ้อนรำ ไม่ทรงใส่พระทัยเหล่าเพลงขับ ไม่ทอดพระเนตรสัตว์ทวิบทจตุบาท ไม่ประพาสพระราชอุทยาน ไม่ทอดพระเนตรหมู่หงส์. พระองค์เป็นประหนึ่งคนใบ้ ประทับนิ่งเฉยไม่ทรงว่าราชกิจอะไรๆ.
               พระราชาทรงมีพระมนัสไม่พัวพันในกามทั้งหลาย น้อมพระทัยไปในวิเวก ทรงระลึกถึงเหล่าพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้คุ้นเคยในราชสกุล ทรงดำริว่า ใครหนอจักบอกสถานที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ประกอบด้วยคุณมีศีลเป็นต้น ผู้หากังวลมิได้เหล่านั้นแก่เรา แล้วทรงเปล่งอุทานด้วยคาถา ๓ คาถาไว้ว่า
               ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ผู้ใคร่ความสุข มีศีลอันปกปิดแล้ว ปราศจากเครื่องผูกคือกิเลส หนุ่มก็ตาม แก่ก็ตาม มีตัณหาอันก้าวล่วงแล้ว อยู่ที่ไหนในวันนี้. ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้มีปัญญาเหล่านั้น ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ท่านผู้มีปัญญาเหล่าใดเป็นผู้ไม่ขวนขวาย อยู่ในโลกที่มีความขวนขวาย. ท่านผู้มีปัญญาเหล่านั้นตัดเสีย ซึ่งข่ายแห่งมัจจุซึ่งขึงไว้มั่น ผู้มีมายาทำลายเสียด้วยญาณไปอยู่ ใครพึงนำเราไปสู่ภูมิที่อยู่แห่งท่านผู้มีปัญญาเหล่านั้น.
               ครั้งนั้น พระราชาเสด็จลุกจากบัลลังก์ ทรงเปิดสีหบัญชรด้านทิศอุดร ผินพระพักตร์ไปทางทิศอุดร ประดิษฐานอัญชลีไว้เหนือพระเศียร. เมื่อทรงนมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ประกอบด้วยคุณอันอุดมเห็นปานนี้.
               เมื่อพระมหาสัตว์ทรงเจริญสมณธรรมอยู่บนปราสาทนั่นแล เวลาล่วงไปสี่เดือน. ลำดับนั้น พระหฤทัยของพระองค์ได้น้อมไปในบรรพชาอย่างยิ่ง พระราชนิเวศปรากฏดุจโลกันตนรก ภพทั้งสามปรากฏแก่พระองค์เหมือนถูกไฟไหม้ พระมหาสัตว์มีพระหฤทัยมุ่งเฉพาะต่อบรรพชา ทรงจินตนาการว่า เมื่อไรหนอ กาลเป็นที่ละกรุงมิถิลา ซึ่งประดับตกแต่งดังพิภพแห่งท้าวสักกเทวราชนี้ แล้วไปสู่ป่าหิมวันต์ทรงเพศบรรพชิต จักมีแก่เรา ทรงคิดฉะนี้แล้ว ทรงเริ่มพรรณนากรุงมิถิลาว่า
               เมื่อไรเราจักละกรุงมิถิลาราชธานี อันมั่งคั่ง ซึ่งนายช่างผู้ฉลาดจัดการสร้างจำแนกสถานที่เป็นพระราชนิเวศเป็นต้น ปันส่วนออกเป็นประตูและถนนตามส่วน ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกรุงมิถิลาราชธานี อันมั่งคั่ง กว้างขวางรุ่งเรืองด้วยประการทั้งปวง ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกรุงมิถิลาราชธานี อันมั่งคั่งมีกำแพงและหอรบเป็นอันมาก ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกรุงมิถิลาราชธานี อันมั่งคั่ง มีป้อมและซุ้มประตูมั่นคง ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกรุงมิถิลาราชธานี อันมั่งคั่ง มีทางหลวงตัดไว้เรียบร้อย ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกรุงมิถิลาราชธานี อันมั่งคั่ง มีร้านตลาดในระหว่างจัดไว้อย่างดี ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกรุงมิถิลาราชธานี อันมั่งคั่ง เบียดเสียดไปด้วยรถเทียมโคและม้า ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกรุงมิถิลาราชธานี อันมั่งคั่ง มีระเบียบแห่งหมู่ไม้ในที่เที่ยวสำราญ ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกรุงมิถิลาราชธานี อันมั่งคั่ง มีระเบียบแห่งหมู่ไม้ในพระราชอุทยาน ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกรุงมิถิลาราชธานี อันมั่งคั่ง มีระเบียบแห่งปราสาทอันประเสริฐ ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกรุงมิถิลาราชธานี อันมั่งคั่ง มีปราการสามชั้น พรั่งพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งพระเจ้าวิเทหรัฐผู้ทรงยศ พระนามว่าโสมนัส ทรงสร้างไว้ ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกรุงมิถิลาราชธานี อันมั่งคั่ง ซึ่งพระเจ้าวิเทหรัฐทรงสะสมธัญญาหารเป็นต้น ทรงปกครองโดยธรรม ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกรุงมิถิลาราชธานี อันมั่งคั่ง อันหมู่ปัจจามิตรผจญไม่ได้ ทรงปกครองโดยธรรม ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละพระราชมณเฑียรสถาน อันน่ารื่นรมย์ จำแนกปันสถานที่ไว้สมส่วน ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละพระราชมณเฑียรสถาน อันน่ารื่นรมย์ ซึ่งฉาบทาด้วยปูนขาวและดิน ออกบวช ความประสงค์นั้นจัดสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละพระราชมณเฑียรสถาน อันน่ารื่นรมย์ มีกลิ่นหอมฟุ้งจรุงใจ ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละพระตำหนักยอดอันจำแนกปันสมส่วน ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละพระตำหนักยอดอันฉาบทาด้วยปูนขาวและดิน ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละพระตำหนักยอดอันมีกลิ่นหอมฟุ้งจรุงใจ ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละพระตำหนักยอดอันทาสีวิเศษ สวยสด ลาดรดประพรมด้วยแก่นจันทน์ ออกบวช ความประสงค์นั้นจัดสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละบัลลังก์ทอง ซึ่งลาดอย่างวิจิตรด้วยหนังโค ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละบัลลังก์แก้วมณี ซึ่งลาดอย่างวิจิตรด้วยหนังโค ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละผ้าฝ้ายผ้าไหม ผ้าอันเกิดแต่โขมรัฐและเกิดแต่โกทุมพรรัฐ ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละสระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์ ซึ่งนกจากพรากร่ำร้องแล้ว ดาดาษไปด้วยพรรณไม้น้ำทั้งปทุมและอุบล ออกบวช ความประสงค์สำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกองช้าง ซึ่งประดับประดาไปด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง และเหล่าช้างมีสายรัดทองคำ บริบูรณ์ด้วยเครื่องประดับศีรษะและข่ายทองคำ เหล่าควาญที่ประจำก็ถือโตมรและของ้าว ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกองม้า ซึ่งประดับประดาด้วยสรรพาลังการ และเหล่าสินธพชาติอาชาไนย ซึ่งเป็นพาหนะเร็ว อันเหล่าคนฝึกประจำถือดาบและแล่งศรอยู่เป็นนิตย์ ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกองรถ ซึ่งติดเครื่องรบ ชักธงประจำ หุ้มหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับประดาด้วยอลังการอันวิจิตร มีคนประจำรถถือศร สวมเกราะ ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกองรถทองคำ ซึ่งติดเครื่องรบ ชักธงประจำ หุ้มหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับประดาด้วยอลังการอันวิจิตร มีคนประจำถือศร สวมเกราะ ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละรถเงิน ซึ่งติดเครื่องรบ ชักธงประจำ หุ้มหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับประดาด้วยอลังการอันวิจิตร มีคนประจำรถถือศร สวมเกราะ ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกองรถม้า ซึ่งติดเครื่องรบ ชักธงประจำ หุ้มหนึ่งเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับประดาด้วยอลังการอันวิจิตร มีคนประจำถือศร สวมเกราะ ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกองรถเทียมอูฐ ซึ่งติดเครื่องรบ ชักธงประจำ หุ้มหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับประดาด้วยอลังการอันวิจิตร มีคนประจำถือศร สวมเกราะ ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกองรถเทียมแพะ แกะ เนื้อ โค ซึ่งติดเครื่องรบ ชักธงประจำ หุ้มหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับประดาด้วยอลังการอันวิจิตร มีคนประจำถือศรสวมเกราะ ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละกองฝึกช้าง ถือโตมรและของ้าว กองฝึกม้าทรงเครื่องประดับทองคำ กองพลธนูถือคันธนูพร้อมทั้งแล่งธนู เหล่าราชบุตรทรงเครื่องประดับทองคำ ทั้งสี่เหล่านี้ล้วนประดับด้วยเครื่องสรรพาลังการ เป็นผู้กล้าหาญสวมเกราะมีวรรณะเขียว ส่วนราชบุตรสวมเกราะอันวิจิตรถือกริชทอง ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละหมู่พราหมณ์ผู้ครองผ้าเครื่องบริขารครบครัน ทาตัวด้วยแก่นจันทน์เหลือง ทรงผ้ามาแต่แคว้นกาสีอันอุดม และนางสนมกำนัลประมาณ ๗๐๐ คน ซึ่งประดับด้วยเครื่องสรรพาลังการ เอวบาง สำรวมดีแล้ว เมื่อฟังคำสั่ง พูดจาน่ารัก ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักละภาชนะทองคำน้ำหนักร้อยปัลละ จำหลักลวดลายนับด้วยร้อย ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรกองช้างซึ่งประดับประดาด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงเป็นต้น จนถึงเหล่านางสนมกำนัลผู้เชื่อฟังคำสั่ง พูดจาน่ารัก เป็นที่สุด ผู้ติดตามเราไป เขาจักไม่ติดตามเราอันใด ความที่พวกนั้นๆ ไม่ติดตามเรานั้น จักมีจักเป็นได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักได้ปลงผมห่มผ้าสังฆาฏิ อุ้มบาตร เที่ยวบิณฑบาต จักทรงผ้าสังฆาฏิอันทำด้วยผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งไว้ตามถนนหนทาง เมื่อฝนตกเจ็ดวัน จักมีจีวรเปียกซุ่มเที่ยวบิณฑบาต จักจาริกไปตามต้นไม้ ตามราวป่า ทั้งกลางวันและกลางคืน เที่ยวไปโดยไม่เหลียวแลถึงกิจการอันใดอันหนึ่ง จักละความกลัวความขลาดให้เด็ดขาด จักอยู่ผู้เดียวตามภูเขาและสถานที่อันลำบาก จักทำจิตให้ตรง ดุจคนดีดพิณดีดสายทั้งเจ็ดให้เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ.
               เมื่อไรเราจักตัดเสียซึ่งกามสังโยชน์ อันเป็นของทิพย์และของมนุษย์ ดุจช่างรถตัดรองเท้าโดยรอบฉะนั้น.
               ได้ยินว่า พระมหาสัตว์บังเกิดในกาลที่คนมีอายุหมื่นปี เสวยราชสมบัติเจ็ดพันปี ได้ทรงผนวชในเมื่อพระชนมายุยังเหลืออยู่ประมาณสามพันปี ก็เมื่อจะทรงผนวช ได้เสด็จอยู่ในฆราวาสวิสัยสี่เดือน จำเดิมแต่กาลที่ได้ทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงที่ประตูพระราชอุทยาน ทรงดำริว่า เพศแห่งบรรพชิตประเสริฐกว่าเพศแห่งพระราชานี้ เราจักบวช จึงตรัสสั่งราชบุรุษผู้รับใช้เป็นความลับว่า เจ้าจงนำผ้าย้อมฝาดและบาตรดินมาแต่ร้านตลาด อย่าให้ใครๆ รู้. ราชบุรุษนั้นได้ทำตามรับสั่ง พระราชาโปรดให้เรียกเจ้าพนักงานภูษามาลามาให้ปลงพระเกศาและพระมัสสุ. พระราชทานบ้านส่วยแก่ภูษามาลาแล้วโปรดให้กลับไป ทรงนุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ทรงห่มผืนหนึ่ง ทรงพาดผืนหนึ่งที่พระอังสา สวมบาตรดินในถุงคล้องพระอังสา ทรงธารพระกรสำหรับคนแก่แต่ที่นั้น เสด็จจงกรมไปมาในปราสาทด้วยปัจเจกพุทธลีลาสิ้นวันเล็กน้อย ทรงเปล่งอุทานว่า โอ บรรพชาเป็นสุข เป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นสุขอันประเสริฐ.
               พระมหาสัตว์เสด็จประทับอยู่ในปราสาทนั้นแล ตลอดวันนั้น วันรุ่งขึ้นทรงปรารภจะเสด็จลงจากปราสาทในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น. คราวนั้น พระนางสีวลีเทวีตรัสเรียกสตรีคนสนิทเจ็ดร้อยเหล่านั้นมารับสั่งว่า พวกเราไม่ได้เห็นพระราชาของเราทั้งหลาย ล่วงมาได้สี่เดือนแล้ว. วันนี้เราทั้งหลายจักพากันไปเฝ้าท้าวเธอ ท่านทั้งหลายพึงตกแต่งด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง แสดงเยื้องกรายมีกิริยาอาการร่าเริง เพ็ดทูล ขับร้องอย่างสตรีเป็นต้นตามกำลัง พยายามผูกพระองค์ไว้ด้วยเครื่องผูก คือกิเลส. แม้พระเทวีก็ทรงประดับตกแต่งพระองค์ แล้วเสด็จขึ้นปราสาทกับด้วยสตรีเหล่านั้น ด้วยทรงคิดว่า จักเฝ้าพระราชา แม้ทอดพระเนตรเห็นพระราชาเสด็จลงอยู่ ก็ทรงจำไม่ได้. ถวายบังคมพระราชาแล้วประทับอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ด้วยทรงสำคัญว่า บรรพชิตนี้จักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามาถวายโอวาทพระราชา. ฝ่ายพระมหาสัตว์เสด็จลงจากปราสาท ฝ่ายพระเทวีเมื่อเสด็จขึ้นไปยังปราสาท ทอดพระเนตรเห็นพระเกศาของพระราชามีสีดุจปีกแมลงภู่ บนหลังพระที่สิริไสยาสน์ และห่อเครื่องราชาภรณ์ จึงตรัสว่า บรรพชิตนั้นไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า จักเป็นพระราชสวามีที่รักของพวกเรา มาเถิดท่านทั้งหลาย เราทั้งหลายจักทูลวิงวอนพระองค์ให้เสด็จกลับ จึงเสด็จลงจากปราสาทตามไปทันพระราชาที่หน้าพระลาน. ครั้นถึงจึงสยายเกศาเรี่ยรายเบื้องพระปฤษฎางค์ กับด้วยสตรีทั้งปวงเหล่านั้น ข้อนทรวงด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง กราบทูลว่า พระองค์ทรงทำการอย่างนี้ เพราะเหตุไร พระเจ้าข้า ทรงคร่ำครวญติดตามพระราชาไปอย่างน่าสงสารยิ่ง.
               ครั้งนั้น พระนครทั้งสิ้นก็เอิกเกริกโกลาหล ฝ่ายชาวเมืองเหล่านั้นกล่าวว่า ได้ยินว่า พระราชาของพวกเราทรงผนวชเสียแล้ว พวกเราจักได้พระราชา ผู้ดำรงอยู่ในยุติธรรมเห็นปานนี้แต่ไหนอีกเล่า แล้วต่างร้องไห้ติดตามพระราชาไป.
               พระบรมศาสดาเมื่อทรงทำให้แจ้งซึ่งเสียงคร่ำครวญของหญิงเหล่านั้น และความที่พระราชาทรงละหญิงแม้ที่กำลังคร่ำครวญอยู่เหล่านั้นเสีย เสด็จไป เพราะเหตุการณ์นั้น จึงตรัสว่า
               พระสนมนารีเจ็ดร้อยเหล่านั้น ประดับด้วยสรรพาลังการ เอวบางสำรวมดี เชื่อถ้อยฟังคำ พูดจาน่ารัก ประคองพาหาทั้งสองกันแสง คร่ำครวญว่า พระองค์ละพวกข้าพระองค์ เพราะเหตุไร พระราชาทรงละพระสนมนารีเจ็ดร้อยเหล่านั้น ซึ่งประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เอวบางสำรวมดี เชื่อถ้อยฟังคำ พูดจาน่ารัก เสด็จไปมุ่งการผนวชเป็นสำคัญ พระราชาทรงละภาชนะทองคำหนักร้อยปัลละ มีลวดลายนับด้วยร้อย ทรงอุ้มบาตรดินนั้นให้เป็นอันอภิเษกครั้งที่สอง.
               พระนางสีวลีเทวีแม้ทรงคร่ำครวญอยู่ ก็ไม่อาจยังพระราชาให้เสด็จกลับได้ ทรงคิดว่า มีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง จึงให้เรียกมหาเสนาคุตมาเฝ้า แล้วตรัสสั่งว่า ท่านจงจุดไฟเผาเรือนเก่าศาลาเก่า ในส่วนทิศเบื้องหน้าที่พระราชาเสด็จไป จงรวบรวมหญ้าและใบไม้นำมาสุมให้เป็นควันมากในที่นั้นๆ. มหาเสนาคุตได้ทำอย่างนั้น. พระนางสีวลีเทวีเสด็จไปสู่สำนักของพระราชา หมอบแทบพระยุคลบาทกราบทูลความที่ไฟไหม้กรุงมิถิลา ตรัสสองคาถาว่า
               คลังทั้งหลาย คือคลังเงิน คลังทอง คลังแก้ว มุกดา คลังแก้วไพฑูรย์ คลังแก้วมณี คลังสังข์ คลังไข่มุกค์ คลังผ้า คลังจันทน์เหลือง คลังหนังเสือ คลังงาช้าง คลังพัสดุสิ่งของ คลังทองแดง คลังเหล็กเป็นอันมาก มีเปลวไฟเสมอเป็นอันเดียวกันอย่างน่ากลัว แม้อยู่คนละส่วนก็ไหม้หมด. ขอพระองค์โปรดเสด็จกลับดับไฟเสียก่อน พระราชทรัพย์ของพระองค์นั้นอย่าได้ฉิบหายเสียเลย.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ตรัสกะพระนางสีวลีว่า พระเทวี เธอตรัสอะไรอย่างนั้น ความกังวลด้วยของเหล่าใดมีอยู่ ความกังวลนั้นด้วยของเหล่านั้นเพลิงเผาผลาญอยู่ แต่เราทั้งหลายหาความกังวลมิได้ เมื่อจะทรงแสดงข้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
               เราทั้งหลายผู้ไม่มีความกังวล มีชีวิตเป็นสุขดีหนอ เมื่อกรุงมิถิลาถูกเพลิงเผาผลาญอยู่ ของอะไรๆ ของเรามิได้ถูกเผาผลาญเลย.
               ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ได้เสด็จออกทางประตูทิศอุดร. พระสนมกำนัลในทั้งเจ็ดร้อยแม้เหล่านั้นก็ออกตามเสด็จไป. พระนางสีวลีเทวีทรงคิดอุบายอีกอย่างหนึ่ง จึงตรัสสั่งอมาตย์ทั้งหลายว่า พวกท่านจงแสดงเหตุการณ์ให้เป็น เหมือนโจรฆ่าชาวบ้านและปล้นแว่นแคว้น. อมาตย์ได้จัดการตามกระแสรับสั่ง. ขณะนั้น คนทั้งหลายก็แสดงพวกคนถืออาวุธวิ่งแล่นไปๆ แต่ที่นั้นๆ เป็นราวกะว่าปล้นอยู่ รดน้ำครั่งลงในสรีระเป็นราวกะว่า ถูกประหารให้นอนบนแผ่นกระดาน เป็นราวกะว่า ตายถูกน้ำพัดไป ต่อพระราชา. มหาชนทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช พวกโจรปล้นแว่นแคว้น ฆ่าข้าแผ่นดินของพระองค์ ทั้งๆ ที่พระองค์ยังดำรงพระชนม์อยู่ แม้พระเทวี ก็ถวายบังคมพระราชา ตรัสคาถาเพื่อให้เสด็จกลับว่า
               เกิดโจรป่าขึ้นแล้วปล้นแว่นแคว้นของพระองค์ มาเถิดพระองค์ ขอพระองค์จงเสด็จกลับเถิด แว่นแคว้นนี้ อย่าพินาศเสียเลย.
               พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้วมีพระดำริว่า เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ จะไม่เกิดโจรปล้นทำลายแว่นแคว้นเลย นี้จักเป็นการกระทำของพระสีวลิเทวี. เมื่อจะทรงทำให้พระนางจำนนต่อถ้อยคำ จึงตรัสว่า
               เราทั้งหลายผู้ไม่มีความกังวล มีชีวิตเป็นสุขดีหนอ เมื่อแว่นแคว้นถูกโจรปล้น พวกโจรมิได้นำอะไรๆ ของเราไปเลย เราทั้งหลายผู้ไม่มีความกังวล มีชีวิตเป็นสุขดีหนอ เราทั้งหลายจักมีปีติเป็นภักษา เหมือนเทวดาชั้นอาภัสรา ฉะนั้น.
               แม้เมื่อพระราชาตรัสอย่างนี้แล้ว มหาชนก็ยังติดตามพระองค์ไปอยู่นั่นเอง. พระมหาสัตว์มีพระดำริว่า มหาชนเหล่านั้นไม่ปรารถนาจะกลับ เราจักให้มหาชนนั้นกลับ เมื่อทรงดำเนินทางไปได้กึ่งคาวุต. พระองค์จึงทรงหยุดพักประทับยืนในทางใหญ่ ตรัสถามอมาตย์ทั้งหลายว่า ราชสมบัตินี้ของใคร. อมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ของพระองค์. ท้าวเธอจึงตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงลงราชทัณฑ์แก่ผู้ทำรอยขีดนี้ให้ขาด. ตรัสฉะนี้แล้วทรงเอาธารพระกร ลากให้เป็นรอยขีดขวางทาง ใครๆ ไม่สามารถทำรอยขีดที่พระราชา ผู้มีพระเดชานุภาพได้ทรงขีดไว้ให้ขาดลบเลือน. มหาชนทำรอยขีดเหนือศีรษะคร่ำครวญกันอย่างเหลือเกิน. แม้พระนางสีวลีเทวีก็ไม่ทรงสามารถทำรอยขีดนั้นให้เลือนหายได้. ทอดพระเนตรเห็นพระราชาหันพระปฤษฏางค์เสด็จไปอยู่ ไม่สามารถจะกลั้นโศกาดูร ก็ข้อนพระอุระ ล้มขวางทางใหญ่กลิ้งเกลือกไปมา ล่วงเลยรอยขีดนั้นเสด็จไป. มหาชนเข้าใจว่า เจ้าของรอยขีดได้ทำลายเจ้าของรอยขีดแล้ว จึงพากันโดยเสด็จไปตามมรรคาที่พระเทวีเสด็จไป. พระมหาสัตว์ทรงบ่ายพระพักตร์ เสด็จไปหิมวันตประเทศทางทิศอุดร. ฝ่ายพระนางสีวลีเทวีก็พาเสนาพลพาหนะทั้งปวง ตามเสด็จไปด้วย. พระราชาไม่อาจที่จะให้มหาชนกลับได้ เสด็จไปสิ้นทางประมาณหกสิบโยชน์.
               ในกาลนั้น มีดาบสรูปหนึ่งชื่อ นารทะ อยู่ที่สุวรรณคูหาในหิมวันตประเทศ ให้เวลาล่วงไปด้วยสุขเกิดแต่ฌานอันสัมปยุตด้วยอภิญญาห้า. ล่วงเจ็ดวันก็ออกจากสุขเกิดแต่ฌาน เปล่งอุทานว่า โอ เป็นสุข เป็นสุขอย่างยิ่ง. ดาบสนั้นตรวจดูสัตวโลกด้วยทิพยจักษุว่า ใครๆ ในพื้นชมพูทวีปแสวงหาสุขนี้ มีบ้างหรือหนอ. ก็เห็นพระมหาชนกผู้พุทธางกูร จึงคิดว่า พระมหาชนกนั้นเป็นพระราชาออกมหาภิเนษกรมณ์ ไม่สามารถจะยังมหาชนราชบริพาร มีพระนางสีวลีเทวีเป็นประมุขให้กลับพระนครได้. ข้าราชบริพารนั้นพึงทำอันตรายแก่พระองค์ เราจักถวายโอวาทแก่พระองค์ เพื่อให้ทรงสมาทานมั่นโดยยิ่งโดยประมาณ. จึงไปด้วยกำลังฤทธิ์ สถิตอยู่ในอากาศตรงเบื้องพระพักตร์พระราชา กล่าวคาถาให้พระองค์เกิดอุตสาหะว่า
               ความกึกก้องของประชุมชนใหญ่นี้ เพื่ออะไร นั่นใครหนอมากับท่าน เหมือนเล่นกันอยู่ในบ้าน. สมณะ อาตมาขอถามท่าน ประชุมชนนี้แวดล้อมท่านเพื่ออะไร.
               พระราชาตรัสตอบว่า
               ประชุมชนนี้ตามข้าพเจ้า ผู้ละพวกเขาไปในที่นี้ ข้าพเจ้าผู้ล่วงสีมาคือกิเลสไปเพื่อถึงมโนธรรม กล่าวคือญาณของมุนีผู้ไม่เกื้อกูลแก่เหย้าเรือน ผู้เจือด้วยความเพลิดเพลินทั้งหลาย ซึ่งเกิดขึ้นในขณะนั้นๆ อยู่ ท่านรู้อยู่ จะถามทำไม.
               ลำดับนั้น นารทดาบสกล่าวคาถาอีก เพื่อต้องการให้พระมหาสัตว์สมาทานมั่นว่า
               พระองค์เพียงแต่ทรงสรีระนี้ จะสำคัญว่า เราข้ามพ้นกิเลสแล้วหาได้ไม่ กรรมคือกิเลสนี้ จะพึงข้ามได้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ หาได้ไม่ เพราะยังมีอันตรายอยู่มาก.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ตรัสว่า
               ข้าพเจ้าใดปรารถนาเฉพาะซึ่งกามทั้งหลาย ในมนุษยโลกอันบุคคลเห็นแล้ว ก็หาไม่เลย ในเทวโลกอันบุคคลไม่เห็นแล้ว ก็หาไม่. อันตรายอะไรหนอจะพึงมีแก่ข้าพเจ้านั้นซึ่งมีปกติอยู่ผู้เดียวอย่างนี้.
               ลำดับนั้น นารทดาบสเมื่อจะแสดงอันตรายทั้งหลายแก่พระมหาสัตว์นั้น จึงกล่าวคาถาว่า
               อันตรายมากทีเดียว คือ ความหลับ ความเกียจคร้าน ความง่วงเหงา ความไม่ชอบใจ ความเมาอาหาร ตั้งอยู่ในสรีระ อาศัยอยู่.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะตรัสชมนารทดาบสนั้น จึงตรัสคาถาว่า
               ข้าแต่พราหมณ์ ท่านผู้เจริญพร่ำสอนข้าพเจ้าดีนักหนา ข้าพเจ้าขอถามท่านพราหมณ์นี่แหละ ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นใครหนอ.
               ลำดับนั้น นารทดาบสกล่าวว่า
               ชนทั้งหลายรู้จักอาตมาโดยนามว่า นารทะ โดยโคตรว่า กัสสปะ ดังนี้ อาตมามาในสถานใกล้พระองค์ผู้เจริญ ด้วยรู้สึกว่า การสมาคมด้วยสัตบุรุษทั้งหลาย ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ พระองค์จงทรงยินดีในบรรพชานี้ วิหารธรรมจงเกิดแก่พระองค์ กิจอันใดยังพร่องด้วยศีล การบริกรรมและฌาน พระองค์จงทรงบำเพ็ญกิจอันนั้นให้บริบูรณ์ จงประกอบด้วยความอดทนและความสงบระงับ อย่าถือพระองค์ว่า เป็นกษัตริย์ จงทรงคลายออกเสีย ซึ่งความยุบลงและความฟูขึ้น จงทรงกระทำโดยเคารพซึ่งกุศลกรรมบถ วิชชาและสมณธรรม แล้วบำเพ็ญพรหมจรรย์.
               นารทดาบสนั้นถวายโอวาทพระมหาสัตว์อย่างนี้แล้ว กลับไปที่อยู่ของตนทางอากาศ.
               เมื่อนารทดาบสไปแล้ว มีดาบสอีกรูปหนึ่งชื่อ มิคาชินะ ออกจากสมาบัติตรวจดูโลกเห็นพระมหาสัตว์ จึงมาแล้วดุจกัน ด้วยคิดว่า เราจักถวายโอวาทพระมหาสัตว์ เพื่อประโยชน์ให้มหาชนกลับพระนคร จึงสถิตอยู่ ณ อัมพรวิถี สำแดงตนให้ปรากฏแล้วกล่าวว่า
               พระองค์ทรงละช้างม้าชาวนครและชาวชนบทเป็นอันมาก ผนวชแล้วทรงยินดีในบาตร ชาวชนบทมิตรอมาตย์และพระญาติเหล่านั้น ได้กระทำความผิดระหว่างพระองค์ละกระมัง เหตุไร พระองค์จึงละอิสริยสุขมาชอบพระทัยซึ่งบาตรนั้น.
               แต่นั้น พระมหาสัตว์ตรัสว่า
               ข้าแต่ท่านมิคาชินะ ข้าพเจ้ามิได้ผจญซึ่งญาติไรๆ โดยส่วนเดียวในกาลไหนๆ โดยอธรรม. แม้ญาติทั้งหลายก็มิได้ผจญซึ่งข้าพเจ้า.
               พระมหาสัตว์ทรงห้ามปัญหาแห่งมิคาชินดาบสนั้นอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงเหตุแห่งการทรงผนวชจึงตรัสว่า
               ข้าแต่ท่านมิคาชินะ ข้าพเจ้าเห็นประเพณีของโลก เห็นโลกถูกกิเลสขบกัด ถูกกิเลสทำให้เป็นดังเปือกตม จึงได้ทำเหตุนี้ให้เป็นเครื่องเปรียบเทียบว่า ปุถุชนจมอยู่แล้วในกิเลสวัตถุใด สัตว์เป็นอันมากย่อมถูกประหาร และถูกฆ่าในเพราะกิเลสวัตถุนั้น ดังนี้จึงได้บวชเป็นภิกษุ.
               ดาบสใคร่จะฟังเหตุการณ์นั้นโดยพิสดาร จึงกล่าวคาถาว่า
               ใครหนอเป็นผู้จำแนกแจกอรรถสั่งสอนพระองค์ คำอันสะอาดนี้เป็นคำของใคร. ดูก่อนพระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เพราะพระองค์มิได้ตรัสบอก สมณะผู้มีวัตรปฏิบัติก้าวล่วงทุกข์ นอกจากกัปปสมณะหรือวิชชสมณะ.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวกะดาบสนั้นว่า
               ข้าแต่ท่านมิคาชินะ ถึงข้าพเจ้าจะเคารพสมณะ หรือพราหมณ์โดยส่วนเดียวก็จริง แต่ก็ไม่เคยเข้าใกล้ไต่ถามอะไรๆ ในกาลไหนๆ เลย.
               ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์จึงตรัสคาถาเพื่อทรงแสดงเหตุที่ทรงผนวชตั้งแต่ต้นว่า
               ข้าแต่ท่านมิคาชินะ ข้าพเจ้านั้นรุ่งเรืองด้วยสิริ ไปยังพระราชอุทยานด้วยอานุภาพใหญ่ เมื่อเจ้าพนักงานกำลังขับเพลงขับและประโคมดนตรีกันอยู่. ข้าพเจ้าได้เห็นมะม่วงมีผลภายนอกกำแพงพระราชอุทยาน อันกึกก้องด้วยเสียงดนตรี พร้อมแล้วด้วยคนร้องและคนประโคม.
               ข้าพเจ้าละต้นมะม่วงอันมีสิรินั้น ซึ่งเหล่ามนุษย์ผู้ต้องการผลฟาดตีอยู่ ลงจากคอช้างเข้าไปโคนต้นมะม่วง ซึ่งมีผลและไม่มีผล เห็นต้นมะม่วงที่มีผลถูกคนเบียดเบียนกำจัดแล้ว ปราศจากใบและก้าน แต่มะม่วงอีกต้นหนึ่งมีใบเขียวชอุ่มน่ารื่นรมย์ ศัตรูทั้งหลายจักฆ่าพวกเราผู้มีอิสระ มีศัตรูดุจหนามเป็นอันมาก เหมือนต้นมะม่วงมีผล ถูกคนหักโค่นฉะนั้น.
               เสือเหลืองถูกฆ่าเพราะหนัง ช้างถูกฆ่าเพราะงา คนมีทรัพย์ถูกฆ่าเพราะทรัพย์ ใครเล่าจักฆ่าผู้ไม่มีเหย้าเรือน ผู้ไม่มีสันถวะ คือตัณหา มะม่วงต้นหนึ่งมีผล อีกต้นหนึ่งไม่มีผล ทั้งสองต้นนั้นเป็นผู้สั่งสอนข้าพเจ้า.
               มิคาชินดาบสได้ฟังดังนั้นแล้วจึงถวายโอวาทแด่พระราชาว่า ขอพระองค์จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด มหาบพิตร. แล้วกลับไปยังที่อยู่ของตนทีเดียว.
               เมื่อมิคาชินดาบสไปแล้ว พระนางสีวลีเทวีหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระราชา กราบทูลว่า
               ชนทั้งปวงคือกองช้าง กองม้า กองรถ กองเดินเท้า ตกใจว่าพระราชาทรงผนวชเสียแล้ว. ขอพระองค์โปรดทำให้ชุมชนอุ่นใจ ตั้งความคุ้มครองไว้ อภิเษกพระโอรสในราชสมบัติแล้ว จึงทรงผนวชต่อภายหลังเถิด.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
               ดูก่อนปชาบดี ชาวชนบท มิตรอมาตย์และพระประยูรญาติทั้งหลาย เราสละแล้ว ทีฆาวุราชกุมารผู้ยังแว่นแคว้นให้เจริญเป็นบุตรของชาววิเทหรัฐ ชาววิเทหรัฐเหล่านั้นจักให้ครองราชสมบัติในกรุงมิถิลา.
               ลำดับนั้น พระนางสีวลีเทวีกราบทูลพระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่พระองค์ พระองค์ทรงผนวชเสียก่อนแล้ว ก็หม่อมฉันจะกระทำอย่างไร. พระมหาสัตว์จึงตรัสกะพระนางว่า ดูก่อนพระเทวี อาตมาจะให้เธอสำเหนียกตาม เธอจงทำตามคำของอาตมา แล้วตรัสว่า
               มาเถิด อาตมาจะให้เธอศึกษาตามคำที่อาตมาชอบ เมื่อเธอให้พระโอรสครองราชสมบัติ ก็จักกระทำบาปทุจริตเป็นอันมากด้วยกายวาจาใจ ซึ่งเป็นเหตุให้เธอไปสู่ทุคติ. การที่เรายังอัตภาพให้เป็นไปด้วยก้อนข้าวที่ผู้อื่นให้ซึ่งสำเร็จแต่ผู้อื่น นี้เป็นธรรมของนักปราชญ์.
               พระมหาสัตว์ได้ประทานโอวาทแก่พระนางนั้นด้วยประการฉะนี้ เมื่อกษัตริย์ทั้งสองตรัสโต้ตอบกันและกัน และเสด็จดำเนินไป. พระอาทิตย์ก็อัสดงคต พระเทวีมีพระเสาวนีย์ให้ตั้งค่ายในที่อันสมควร. พระมหาสัตว์เสด็จประทับแรม ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง ประทับอยู่ ณ ที่นั้นตลอดราตรี. รุ่งขึ้นทรงทำสรีรกิจแล้ว เสด็จไปตามมรรคา. ฝ่ายพระเทวีตรัสสั่งให้เสนาตามมาภายหลัง แล้วเสด็จไปเบื้องหลังแห่งพระมหาสัตว์. ทั้งสองพระองค์นั้นเสด็จถึงถูนนครในเวลาภิกขาจาร ขณะนั้นมีบุรุษคนหนึ่งภายในเมือง ซื้อเนื้อก้อนใหญ่มาแต่เขียงขายเนื้อ เสียบหลาวย่างบนถ่านเพลิงให้สุก แล้ววางไว้ที่กระดานเพื่อให้เย็นได้ยืนอยู่. เมื่อบุรุษนั้นส่งใจไปที่อื่น สุนัขตัวหนึ่งคาบก้อนเนื้อนั้นหนีไป บุรุษนั้นรู้แล้วไล่ตามสุนัขนั้นไปเพียงนอกประตูด้านทักษิณ เบื่อหน่ายหมดอาลัยก็กลับบ้าน. พระราชากับพระเทวีเสด็จมาข้างหน้าสุนัขตามทางสองแพร่ง สุนัขนั้นทิ้งก้อนเนื้อหนีไปด้วยความกลัว. พระมหาสัตว์ทอดพระเนตรเห็นก้อนเนื้อนั้น ทรงจินตนาการว่า สุนัขนี้ทิ้งก้อนเนื้อนี้ไม่เหลียวแลเลยหนีไปแล้ว แม้คนอื่นผู้เป็นเจ้าของก็ไม่ปรากฏ อาหารเห็นปานนี้หาโทษมิได้ ชื่อว่าบังสุกุลบิณฑบาต เราจักบริโภคก้อนเนื้อนั้น. พระองค์จึงนำบาตรดินออก ถือเอาเนื้อก้อนนั้นปัดฝุ่นแล้วใส่ลงในบาตร เสด็จไปยังที่มีน้ำบริบูรณ์ ทรงพิจารณาแล้วเริ่มเสวยเนื้อก้อนนั้น. ลำดับนั้น พระเทวีทรงดำริว่า ถ้าพระราชานี้มีพระราชประสงค์ราชสมบัติ จะไม่พึงเสวยก้อนเนื้อเห็นปานนี้ ซึ่งน่าเกลียด เปื้อนฝุ่น เป็นเดนสุนัข. บัดนี้ พระองค์จักมิใช่พระราชสวามีของเราทรงดำริฉะนี้แล้ว กราบทูลพระองค์ว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์ช่างเสวยเนื้อที่น่าเกลียดเห็นปานนี้ได้. พระมหาสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนพระเทวี เธอไม่รู้จักความวิเศษของบิณฑบาตนี้เพราะเขลา. ตรัสฉะนี้แล้วทรงพิจารณาสถานที่ก้อนเนื้อนั้นตั้งอยู่ เสวยก้อนเนื้อนั้นดุจเสวยอมตรส บ้วนพระโอฐล้างพระหัตถ์และพระบาทแล้ว.
               ขณะนั้น พระเทวี เมื่อจะทรงตำหนิพระราชา จึงตรัสว่า
               คนที่ฉลาดแม้ไม่ได้บริโภคอาหารสี่มื้อ ราวกะว่าจะตายด้วยความอด ก็ยอมตายเสียด้วยความอด เขาจะไม่ยอมบริโภคก้อนเนื้อคลุกฝุ่นไม่สะอาดเลย. ข้าแต่พระมหาชนก พระองค์สิเสวยได้ซึ่งก้อนเนื้ออันเป็นเดนสุนัข ไม่สะอาดน่าเกลียดนัก.
               พระมหาสัตว์ ตรัสตอบว่า
               ดูก่อนพระนางสีวลี ก้อนเนื้อนั้นไม่ชื่อว่าเป็นอาหารของอาตมา หามิได้ เพราะถึงจะเป็นของคนครองเรือนหรือของสุนัข ก็สละแล้ว. ของบริโภคเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกนี้ ที่บุคคลได้มาแล้วโดยชอบธรรม ของบริโภคทั้งหมดนั้นกล่าวกันว่า ไม่มีโทษ.
               เมื่อกษัตริย์สององค์ตรัสสนทนากะกันอยู่อย่างนี้ พลางเสด็จดำเนินไป ก็ลุถึงประตูถูนนคร. เมื่อทารกทั้งหลายในนครนั้นกำลังเล่นกันอยู่ มีนางกุมาริกาคนหนึ่งเอากระด้งน้อยฝัดทรายเล่นอยู่ กำไลอันหนึ่งสวมอยู่ในข้อมือข้างหนึ่งของนาง กำไลสองอันสวมอยู่ในข้อมือข้างหนึ่ง กำไลสองอันนั้นกระทบกันมีเสียง กำไลอีกอันหนึ่งไม่มีเสียง. พระราชาทรงทราบเหตุนั้น มีพระดำริว่า บัดนี้ พระนางสีวลีตามหลังเรามา ขึ้นชื่อว่า สตรีย่อมเป็นมลทินของบรรพชิต. ชนทั้งหลายเห็นนางตามเรามา จักติเตียนเราว่า บรรพชิตนี้แม้บวชแล้ว ก็ยังไม่สามารถจะละภรรยาได้. ถ้านางกุมารีนี้ฉลาด จักพูดถึงเหตุให้นางสีวลีกลับ. เราจักฟังถ้อยคำของนางกุมารีนี้แล้วส่งนางสีวลีกลับ. มีพระดำริฉะนี้แล้ว เสด็จเข้าไปใกล้นางกุมารีนั้น.
               เมื่อจะตรัสถามจึงตรัสคาถาว่า
               แน่ะนางกุมาริกาผู้ยังนอนกับแม่ ผู้ประดับกำไลมือเป็นนิตย์ กำไลมือของเจ้าข้างหนึ่งมีเสียงดัง อีกข้างหนึ่งไม่มีเสียงดัง เพราะเหตุไร.
               นางกุมาริกากล่าวว่า
               ข้าแต่พระสมณะ เสียงเกิดแต่กำไลสองอัน ที่สวมอยู่ในข้อมือของข้าพเจ้านี้กระทบกัน. ความที่กำไลทั้งสองกระทบกันนั้นเป็นเหตุแห่งเสียง. กำไลอันหนึ่งที่สวมอยู่ในข้อมือของข้าพเจ้านี้นั้น ไม่มีอันที่สอง จึงไม่ส่งเสียง. เป็นเหมือนนักปราชญ์สงบนิ่งอยู่ บุคคลสองคนก็วิวาทกัน คนเดียวจักวิวาทกับใครเล่า. ท่านผู้ใคร่ต่อสวรรค์ จงชอบความเป็นผู้อยู่คนเดียวเถิด.
               ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว นางกุมาริกานั้นได้กล่าวอย่างนี้อีก คือกล่าวสอนพระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ธรรมดาสมณะทั้งหลาย ย่อมจะไม่พาแม้น้องสาวเที่ยวไปเลย แต่เหตุไร ท่านจึงพาภริยาซึ่งทรงรูปอันอุดมเห็นปานนี้เที่ยวไป ภริยานี้จักทำอันตรายแก่ท่าน ท่านจงนำภริยานี้ออกไปอยู่ผู้เดียวเท่านั้น บำเพ็ญสมณธรรมให้สมควรเถิด.
               พระมหาสัตว์ได้สดับคำของกุมาริกาสาวนั้นแล้ว ทรงได้ปัจจัย เมื่อจะตรัสกับพระเทวี จึงตรัสว่า
               แน่ะสีวลี เธอได้ยินคาถาที่นางกุมาริกากล่าวแล้วหรือ นางกุมาริกาเป็นเพียงชั้นสาวใช้มาติเตียนเรา. ความที่เราทั้งสองประพฤติ คืออาตมาเป็นบรรพชิต เธอเป็นสตรีเดินตามกันมา ย่อมเป็นเหตุแห่งครหา. มรรคาสองแพร่งนี้ อันเราทั้งสองผู้เดินทางจงแยกกันไป. เธอจงถือเอาทางหนึ่งไป อาตมาก็จะถือเอาทางอื่นอีกทางหนึ่งไป. เธออย่าเรียกอาตมาว่า เป็นพระสวามีของเธอ และอาตมาก็จะไม่เรียกเธอว่า เป็นมเหสีของอาตมาอีก.
               พระนางสีวลีเทวีได้ทรงฟังพระดำรัสของพระมหาสัตว์แล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พระองค์เป็นกษัตริย์สูงสุด จงถือเอาทางเบื้องขวา ส่วนข้าพระองค์เป็นสตรีชาติต่ำ จักถือเอาทางเบื้องซ้าย กราบทูลฉะนี้แล้ว ถวายบังคมพระมหาสัตว์แล้วเสด็จไปได้หน่อยหนึ่ง ไม่สามารถจะกลั้นโศกาดูรไว้ได้ก็เสด็จมาอีก โดยเสด็จไปกับพระราชาเข้าถูนนครด้วยกัน.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสครึ่งคาถาว่า
               กษัตริย์ทั้งสองกำลังตรัสข้อความนี้อยู่ ได้เสด็จเข้าไปยังถูนนคร.
               ก็แลครั้นเสด็จเข้าไปแล้ว พระมหาสัตว์เสด็จเที่ยวบิณฑบาต เสด็จถึงประตูเรือนของช่างศร. แม้พระนางสีวลีเทวีก็เสด็จตามไปเบื้องหลัง ประทับอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. สมัยนั้น ช่างศรกำลังลนลูกศรบนกระเบื้องถ่านเพลิง เอาน้ำข้าวทาลูกศร หลับตาข้างหนึ่ง เล็งดูด้วยตาข้างหนึ่ง ดัดลูกศรให้ตรง. พระมหาสัตว์ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น มีพระดำริว่า ถ้าช่างศรผู้นี้จักเป็นคนฉลาด จักกล่าวเหตุอย่างหนึ่งแก่เรา เราจักถามเขาดู จึงเสด็จเข้าไปหาช่างศรแล้วตรัสถาม.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
               เมื่อใกล้เวลาฉัน พระมหาสัตว์ประทับยืนอยู่ที่ซุ้มประตูเรือนของช่างศร ช่างศรนั้นหลับตาข้างหนึ่ง ใช้ตาอีกข้างหนึ่งเล็งลูกศรอันหนึ่ง ซึ่งคดอยู่ดัดให้ตรงที่ซุ้มประตูนั้น.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ได้ตรัสกะช่างศรนั้นว่า
               ดูก่อนช่างศร ท่านจงฟังอาตมา ท่านหลับจักษุข้างหนึ่ง เล็งดูลูกศรอันคดด้วยจักษุข้างหนึ่ง ด้วยประการใด ท่านเห็นความสำเร็จประโยชน์ ด้วยประการนั้นหรือหนอ.
               คำที่เป็นคาถานั้นมีเนื้อความว่า แน่ะเพื่อนช่างศร ท่านหลับตาข้างหนึ่งเล็งดูลูกศร ที่คดด้วยตาข้างหนึ่ง ด้วยประการใด ท่านเห็นความสำเร็จประโยชน์ ด้วยประการนั้นหรือหนอ.
               ลำดับนั้น เมื่อช่างศรจะทูลแก่พระมหาสัตว์นั้น จึงกล่าวว่า
               ข้าแต่พระสมณะ การเล็งด้วยจักษุทั้งสอง ปรากฏว่าเหมือนพร่าไปไม่ถึงที่คดข้างหน้า ย่อมไม่สำเร็จความดัดให้ตรง ถ้าหลับจักษุข้างหนึ่ง เล็งดูที่คดด้วยจักษุอีกข้างหนึ่ง เล็งได้ถึงที่คดเบื้องหน้าย่อมสำเร็จความดัดให้ตรง. บุคคลสองคนก็วิวาทกัน คนเดียวจักวิวาทกับใครเล่า ท่านผู้ใคร่ต่อสวรรค์ จงชอบความเป็นผู้อยู่คนเดียวเถิด.
               ดูก่อนนางสีวลี เธอได้ยินคาถาที่ช่างศรกล่าวหรือยัง ช่างศรเป็นเพียงคนใช้ยังติเตียนเราได้ ความที่เราทั้งสองประพฤตินั้นเป็นเหตุแห่งความครหา. ดูก่อนนางผู้เจริญ ทางสองแพร่งนี้อันเราทั้งสองผู้เดินทางมาจงแยกกันไป เธอจงถือเอาทางหนึ่งไป อาตมาก็จะถือเอาทางอื่นอีกทางหนึ่งไป. เธออย่าเรียกอาตมาว่า เป็นพระสวามีของเธอ และอาตมาก็จะไม่เรียกเธอว่า เป็นมเหสีของอาตมาอีก.
               ได้ยินว่า พระนางสีวลีเทวีนั้น แม้ถูกพระมหาสัตว์ตรัสว่า เธออย่าเรียกอาตมาว่า เป็นพระสวามีของเธอดังนี้ ก็ยังเสด็จติดตามพระมหาสัตว์อยู่นั่นเอง พระราชาก็ไม่สามารถให้พระนางสีวลีนั้นเสด็จกลับได้ แม้มหาชนก็ตามเสด็จพระองค์อยู่นั่นเอง. ก็แต่ที่นั้นมีดงแห่งหนึ่งในที่ไม่ไกล. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทอดพระเนตรเห็นแนวป่าเขียวชอุ่ม มีพระราชประสงค์จะให้พระนางเสด็จกลับ. เมื่อดำเนินไปได้ทอดพระเนตรเห็นหญ้ามุงกระต่ายในที่ใกล้ทาง พระองค์จึงทรงถอนหญ้ามุงกระต่ายนั้น ตรัสเรียกพระเทวีมาตรัสว่า แน่ะสีวลีผู้เจริญ เธอจงดูหญ้ามุงกระต่ายนี้ ก็หญ้ามุงกระต่ายนี้จะไม่อาจสืบต่อในกอนี้ได้อีก ฉันใด ความอยู่ร่วมกับเธอของอาตมา ก็ไม่อาจจะสืบต่อกันได้อีก ฉันนั้น แล้วได้ตรัสกึ่งคาถาว่า
               หญ้ามุงกระต่ายที่ติดกันอยู่แต่เดิม ซึ่งอาตมาถอนแล้วนี้ ไม่อาจสืบต่อกันไปได้อีก ฉันใด ความอยู่ร่วมกันระหว่างเธอกับอาตมา ก็ไม่อาจสืบต่อได้อีก ฉันนั้น. เพราะฉะนั้น เธอจงอยู่ผู้เดียว อาตมาก็จะอยู่ผู้เดียวเหมือนกัน.
               พระนางได้ฟังพระดำรัสของพระมหาสัตว์แล้วตรัสว่า จำเดิมแต่นี้ไป เราจะไม่ได้อยู่ร่วมกับพระมหาชนกนรินทรราชอีก. พระนางไม่อาจจะทรงกลั้นโศกาดูร ก็ข้อนทรวงด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง ทรงปริเทวนาการร่ำไรอยู่เป็นอันมาก ถึงวิสัญญีภาพล้มลงที่หนทางใหญ่. พระมหาสัตว์ทรงทราบว่า พระนางถึงวิสัญญีภาพ ก็สาวพระบาทเสด็จเข้าสู่ป่า. ขณะนั้น หมู่อมาตย์มาสรงพระสรีระแห่งพระนางนั้น ช่วยกันถวายอยู่งานที่พระหัตถ์และพระบาท พระนางได้สติเสด็จลุกขึ้น ตรัสถามว่า พระราชาเสด็จไปข้างไหน หมู่อมาตย์ย้อนทูลถามว่า พระแม่เจ้าก็ไม่ทรงทราบดอกหรือ พระนางตรัสให้เที่ยวค้นหา พวกนั้นพากันวิ่งไปข้างโน้นบ้างข้างนี้บ้าง ก็ไม่พบพระราชา. พระนางทรงปริเทวนาการมากมาย แล้วให้สร้างพระเจดีย์ตรงที่พระราชาประทับยืน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้วเสด็จกลับกรุงมิถิลา.
               ฝ่ายพระมหาสัตว์เสด็จเข้าป่าหิมวันต์ ทำอภิญญาและสมาบัติให้เกิดภายในเจ็ดวัน มิได้เสด็จมาสู่ถิ่นมนุษย์อีก.
               ฝ่ายพระนางสีวลีเทวีเสด็จกลับแล้ว โปรดให้สร้างพระเจดีย์หลายองค์ ณ ที่ที่พระมหาสัตว์ตรัสกับช่างศร. ตรัสกะนางกุมารี. เสวยเนื้อที่สุนัขทิ้ง. ตรัสกับมิคาชินดาบส. และตรัสกับนารทดาบส. ทุกตำบลแล้ว บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ทรงแวดล้อมไปด้วยเสนางคนิกร. ภายหลัง เสด็จไปถึงมิถิลานครทรงอภิเษกพระราชโอรส ณ พระราชอุทยานอัมพวัน ทรงส่งพระราชโอรสอันหมู่เสนาแวดล้อมแล้วเข้าพระนคร. พระองค์เองทรงผนวชเป็นดาบสินี ประทับอยู่ ณ พระราชอุทยานนั้น ทรงทำกสิณบริกรรมก็ได้บรรลุฌาน ไม่เสื่อมจากฌาน เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ในที่สุดแห่งพระชนมายุ.
               ฝ่ายพระมหาสัตว์ก็ไม่เสื่อมจากฌาน ได้เข้าถึงพรหมโลกเหมือนกัน.
               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตออกมหาภิเนษกรมณ์.
               ท้าวสักกเทวราชในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอนุรุทธะ ในบัดนี้
               พราหมณ์ทิศาปาโมกข์ ได้มาเป็น พระกัสสปะ
               นางมณีเมขลาเทพธิดาผู้รักษาสมุทร ได้มาเป็น อุบลวรรณาภิกษุณี
               นารทดาบส ได้มาเป็น พระสารีบุตร
               มิคาชินดาบส ได้มาเป็น พระโมคคัลลานะ
               นางกุมาริกา ได้มาเป็น นางเขมาภิกษุณี
               ช่างศร ได้มาเป็น พระอานนท์
               ราชบริษัทที่เหลือ ได้มาเป็นพุทธบริษัท
               สีวลีเทวี ได้มาเป็น ราหุลมารดา
               ทีฆาวุกุมาร ได้มาเป็น ราหุล
               พระชนกพระชนนี ได้มาเป็น มหาราชศากยสกุล
               ส่วนพระมหาชนกนรินทรราช คือ เราผู้เป็น สัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เอง.

               -----------------------------------------------------     

 

หมายเลขบันทึก: 717780เขียนเมื่อ 31 มีนาคม 2024 17:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 มีนาคม 2024 17:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท