๑. เตมิยชาดก


ว่าด้วย พระเจ้าเตมีย์ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี

๑. เตมิยชาดก (เนกขัมมบารมี)

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒

๒๒. มหานิบาต

๑. เตมิยชาดก (๕๓๘)

ว่าด้วยพระเตมีย์บำเพ็ญเนกขัมมบารมี

 

             (เทพธิดาผู้เคยเป็นมารดาพระโพธิสัตว์ในอัตภาพหนึ่ง ปลอบพระโพธิสัตว์ให้สบายพระทัยแล้ว จึงกล่าวว่า)

             [๑] ท่านจงอย่าเปิดเผยตนว่าเป็นบัณฑิต จงให้คนทั้งปวงรู้ว่าเป็นคนโง่ ขอให้คนทั้งหมดจงดูหมิ่นท่านเถิด ความประสงค์ของท่าน จักสำเร็จได้ด้วยอาการอย่างนี้

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์กลับได้ความสบายพระทัยตามคำของเทพธิดานั้น จึงตรัสว่า)

             [๒] แม่เทพธิดา ข้าพเจ้าจะทำตามคำของท่าน ที่ได้กล่าวกับข้าพเจ้า แม่เทพธิดา ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์ มุ่งประโยชน์เกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า

             (พระโพธิสัตว์ตรัสถามนายสารถีว่า)

             [๓] นายสารถี ท่านจะรีบขุดหลุมไปทำไมหนอ สหายเอ๋ย เราถามท่านแล้ว ท่านจงบอกเรา

             (สุนันทสารถีได้ฟังคำนั้น ขุดหลุมมิได้เงยหน้าดู จึงกราบทูลว่า)

             [๔] พระโอรสของพระราชาเป็นใบ้ และเป็นง่อยเปลี้ยขาดความสำนึก พระราชาตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า ควรฝังลูกเราไว้ในป่าช้า

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์ ตรัสกับสุนันทสารถีว่า)

             [๕] นายสารถี เรามิได้เป็นคนหนวก คนใบ้ คนเปลี้ย และมิได้เป็นคนบกพร่อง (คำว่า มิได้เป็นคนบกพร่อง หมายถึงเป็นผู้มีอินทรีย์สมบูรณ์) ถ้าท่านพึงฝังเราไว้ในป่า ชื่อว่าพึงทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม

             [๖] ท่านจงดูขา แขน และฟังภาษิตของเรา ถ้าท่านพึงฝังเราไว้ในป่า ชื่อว่าพึงทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม

             (สุนันทสารถีไม่รู้ จึงกราบทูลว่า)

             [๗] ท่านเป็นเทวดา คนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกปุรินททะ ท่านเป็นใครหรือเป็นบุตรของใคร พวกเราจักรู้จักท่านได้อย่างไร

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์เมื่อแสดงตนให้ปรากฏ แสดงธรรมแก่สุนันทสารถีนั้นจึงตรัสว่า)

             [๘] เรามิใช่เทวดา มิใช่คนธรรพ์ ทั้งมิใช่ท้าวสักกปุรินททะ เราเป็นผู้ที่ท่านจะฝังในหลุม เป็นโอรสของพระเจ้ากาสี

             [๙] เราเป็นโอรสของพระราชา องค์ที่ท่านเข้าไปพึ่งบารมีเลี้ยงชีพอยู่เสมอ นายสารถี ถ้าท่านพึงฝังเราไว้ในป่า ชื่อว่าพึงทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม

             [๑๐] บุคคลพึงนั่งหรือนอนที่ร่มแห่งต้นไม้ใด ไม่พึงหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะคนผู้ประทุษร้ายมิตร ชื่อว่าเป็นคนเลวทราม

             [๑๑] พระราชาก็เหมือนต้นไม้ เราก็เป็นเหมือนกิ่งไม้ ข้าแต่มหาราช นายสารถีเป็นเหมือนคนผู้อาศัยร่มไม้ นายสารถี ถ้าท่านฝังเราไว้ในป่า ชื่อว่าพึงทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์ปรารภคาถาบูชามิตร ๑๐ คาถาว่า)

             [๑๒] ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นพรากจากเรือนของตนแล้ว ย่อมมีอาหารสมบูรณ์ คนเป็นอันมากย่อมเข้าไปพึ่งพาผู้นั้นเลี้ยงชีพ

             [๑๓] คนผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร จะไปสู่ชนบท นิคม และราชธานีใดๆ ก็เป็นผู้อันชนทั้งหลายในชนบท นิคม และราชธานีนั้นๆ บูชาไปทุกแห่งหน

             [๑๔] คนผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ไม่มีพวกโจรข่มเหง พระมหากษัตริย์ก็ไม่ทรงดูหมิ่น ย่อมข้าม(ชนะ)ศัตรูทั้งปวงได้

             [๑๕] คนผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ไม่โกรธเคืองใครๆ มาสู่เรือนของตน ย่อมเป็นผู้ที่มหาชนยินดีต้อนรับในที่ประชุม และเป็นคนชั้นสูงของหมู่ญาติ

             [๑๖] คนผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร สักการะคนอื่นแล้ว ย่อมเป็นผู้ที่คนอื่นสักการะตอบ เคารพคนอื่นแล้วก็มีคนอื่นเคารพตอบ เป็นผู้อันเขาสรรเสริญเกียรติคุณ

             [๑๗] คนผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร บูชาผู้อื่น ย่อมได้รับการบูชาตอบ ไหว้ผู้อื่น ย่อมได้รับการไหว้ตอบ ทั้งได้รับอิสริยยศและเกียรติ

             [๑๘] คนผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมรุ่งเรือง (รุ่งเรือง ในที่นี้หมายถึงรุ่งเรืองด้วยอิสริยยศและบริวารยศ) เหมือนไฟ ย่อมรุ่งโรจน์เหมือนเทวดา เป็นผู้อันสิริไม่ทอดทิ้ง

             [๑๙] คนผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมมีโคทั้งหลายตกลูกมาก พืชที่หว่านลงในนาย่อมงอกงาม ย่อมได้บริโภคผลของพืชทั้งหลายที่หว่านไว้แล้ว

             [๒๐] คนผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร พลัดตกจากเหว ภูเขา พลาดตกต้นไม้หรือเคลื่อนจากภพ ย่อมได้ที่พึ่ง

             [๒๑] คนผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ศัตรูทั้งหลายจะระรานไม่ได้ เหมือนลมระรานต้นไทรที่มีรากและลำต้นงอกงามแล้วไม่ได้

             (สุนันทสารถีประคองอัญชลี ทูลวิงวอนว่า)

             [๒๒] ข้าแต่พระราชโอรส เชิญเสด็จเถิด กระหม่อมจักนำพระองค์เสด็จกลับ ไปยังพระราชมณเฑียรของพระองค์ เชิญพระองค์เถลิงถวัลยราชสมบัติเถิด พระเจ้าข้า พระองค์จักทรงทำอะไรในป่าได้เล่า

             (ลำดับนั้น พระเตมีย์โพธิสัตว์จึงตรัสกับนายสุนันทสารถีนั้นว่า)

             [๒๓] นายสารถี พอทีสำหรับเราด้วยราชสมบัตินั้น พระญาติทั้งหลายหรือทรัพย์ทั้งหลาย ที่เราจะพึงได้ด้วยการประพฤติอันไม่ชอบธรรม

             (สุนันทสารถีกราบทูลว่า)

             [๒๔] ข้าแต่พระราชโอรส พระองค์เสด็จไปจากที่นี้แล้ว ทำให้ข้าพระองค์ได้รับรางวัล เมื่อพระองค์เสด็จกลับไป พระบิดาและพระมารดาพึงพระราชทานรางวัลให้แก่ข้าพระองค์

             [๒๕] ข้าแต่พระราชโอรส เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว พระสนมกำนัลใน พระกุมาร แพศย์ และพราหมณ์เหล่านั้น จะพึงดีใจ ให้รางวัลแก่ข้าพระองค์

             [๒๖] ข้าแต่พระราชโอรส เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และกองพลราบ แม้เหล่านั้นจะพากันดีใจ ให้รางวัลแก่ข้าพระองค์

             [๒๗] ข้าแต่พระราชโอรส เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว ชาวชนบทและชาวนิคมผู้มีธัญญาหารมาก จะมาประชุมกัน ให้เครื่องบรรณาการแก่ข้าพระองค์

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์ตรัสว่า)

             [๒๘] เราเป็นผู้อันพระบิดาและพระมารดา ชาวแคว้น ชาวนิคม และกุมารทั้งปวงสละแล้ว เราไม่มีเรือนของตน

             [๒๙] เราเป็นผู้อันพระมารดาทรงอนุญาตแล้ว และพระบิดาก็ทรงสละขาดแล้ว ออกไปบวชอยู่ในป่าแต่ลำพัง เราไม่พึงปรารถนากามทั้งหลาย

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์เมื่อจะเปล่งอุทานด้วยกำลังปีติ จึงตรัสว่า)

             [๓๐] ความหวังผลของเหล่าชนผู้ไม่รีบร้อนย่อมสำเร็จแน่ เรามีพรหมจรรย์เผล็ดผลแล้ว นายสารถี ท่านจงรู้ไว้อย่างนี้เถิด

             [๓๑] อนึ่ง ประโยชน์โดยชอบของเหล่าชน ผู้ไม่รีบร้อน ย่อมเผล็ดผลโดยแท้ เรามีพรหมจรรย์เผล็ดผลแล้ว ออกบวชแล้วย่อมไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ

             (นายสุนันทสารถีกราบทูลว่า)

             [๓๒] พระองค์เป็นผู้มีพระวาจาไพเราะ มีพระดำรัสสละสลวยอย่างนี้ เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่ตรัสในสำนัก ของพระบิดาและพระมารดาในเวลานั้น

             (ลำดับนั้น พระเตมีย์โพธิสัตว์ จึงตรัสว่า)

             [๓๓] เราเป็นคนง่อยเปลี้ย เพราะไม่มีข้อต่อก็หามิได้ เป็นคนหนวก เพราะไม่มีโสตประสาทก็หามิได้ เป็นคนใบ้ เพราะไม่มีชิวหาประสาทก็หามิได้ ท่านอย่าเข้าใจว่า เราเป็นใบ้

             [๓๔] เราระลึกชาติก่อนที่เราเสวยราชสมบัติได้ เราได้เสวยราชสมบัติในครั้งนั้นแล้ว ต้องไปตกนรกอันแสนสาหัส

             [๓๕] เราได้เสวยราชสมบัติในกาลนั้น ๒๐ ปี แล้วต้องไปหมกไหม้อยู่ในนรกถึง ๘๐,๐๐๐ ปี

             [๓๖] เรากลัวจะต้องได้เสวยราชสมบัตินั้น จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอชนทั้งหลายอย่าได้อภิเษกเราไว้ในราชสมบัติเลย เพราะฉะนั้น เราจึงไม่พูดในสำนัก ในสำนักของพระบิดาและพระมารดาในกาลนั้น

             [๓๗] พระบิดาทรงอุ้มเราให้นั่งบนพระเพลาแล้ว ตรัสพิพากษาว่า ท่านทั้งหลายจงฆ่าโจรคนหนึ่ง จงจองจำโจรอีกคนหนึ่งไว้ในเรือนจำ จงเอาหอกแทงโจรคนหนึ่งแล้ว ราดด้วยน้ำกรด จงเสียบโจรคนหนึ่งบนหลาว พระบิดาตรัสพิพากษาอรรถคดีแก่มหาชนนั้นด้วยประการฉะนี้

             [๓๘] เราได้ฟังพระวาจาอันหยาบคายที่พระบิดาตรัสนั้น จึงกลัวต่อการเสวยราชสมบัติ เรามิได้เป็นคนใบ้ ก็ทำเหมือนเป็นคนใบ้ มิได้เป็นคนง่อยเปลี้ย ก็ทำเป็นเหมือนคนง่อยเปลี้ย เรากลิ้งเกลือกนอนจมอยู่ในอุจจาระและปัสสาวะของตน

             [๓๙] ชีวิตเป็นของยาก เป็นของเล็กน้อย (ชีวิตเป็นของเล็กน้อย หมายความว่า หากชีวิตของสัตว์ทั้งหลายได้รับความลำบาก ก็จะดำรงอยู่ได้นานมาก แต่หากได้รับความสบาย ก็จะดำรงอยู่ได้ชั่วเวลานิดหน่อย และชีวิตนี้ยากเข็ญ เป็นของเล็กน้อย คือมีประมาณน้อยนิด อีกทั้งเป็นชีวิตที่ประกอบด้วยความสั่งสมทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้น) ซ้ำประกอบไปด้วยทุกข์ ใครเล่าอาศัยชีวิตนี้แล้วพึงก่อเวรกับใครๆ

             [๔๐] ใครเล่าอาศัยชีวิตนี้แล้วพึงก่อเวรกับใครๆ เพราะไม่ได้ปัญญาและเพราะไม่ได้เห็นธรรม

             [๔๑] ความหวังผลของเหล่าคนผู้ไม่รีบร้อนย่อมสำเร็จแน่ เรามีพรหมจรรย์เผล็ดผลแล้ว นายสารถี ท่านจงรู้ไว้อย่างนี้เถิด

             [๔๒] อนึ่ง ประโยชน์โดยชอบของเหล่าชน ผู้ไม่รีบร้อน ย่อมเผล็ดผลโดยแท้ เรามีพรหมจรรย์เผล็ดผลแล้ว ออกบวชแล้วย่อมไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ

             (นายสุนันทสารถีได้ฟังดังนั้น จึงกราบทูลว่า)

             [๔๓] ข้าแต่พระราชโอรส แม้ข้าพระองค์ก็จักบวชในสำนักของพระองค์ ขอพระองค์โปรดตรัสอนุญาตให้ข้าพระองค์บวชด้วยเถิด ข้าพระองค์พอใจจะบวช พระเจ้าข้า

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์ตรัสว่า)

             [๔๔] นายสารถี เรามอบรถให้ท่านแล้ว ท่านจงเป็นผู้ไม่มีหนี้ มาเถิด เพราะคนที่ไม่มีหนี้ จึงจะบวชได้ พวกฤๅษีทั้งหลายกล่าวสรรเสริญการบวชนั้น

             (สุนันทสารถีได้ฟังดังนั้น จึงกราบทูลว่า)

             [๔๕] ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ข้าพระองค์ได้ทำตามพระดำรัสที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้ว ข้าพระองค์ทูลวิงวอนแล้ว ขอพระองค์ควรทรงโปรดกระทำตามคำของข้าพระองค์เถิด

             [๔๖] ขอพระองค์จงประทับอยู่ ณ ที่นี้ จนกว่าข้าพระองค์จะทูลเชิญเสด็จพระราชามา พระบิดาของพระองค์ทอดพระเนตรแล้ว จะพึงมีพระทัยเอิบอิ่มเป็นแน่

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์ตรัสว่า)

             [๔๗] นายสารถี เราจะทำตามคำของท่านที่กล่าวกับเรา แม้เราก็ปรารถนาจะเฝ้าพระบิดาของเราซึ่งเสด็จมา ณ ที่นี้

             [๔๘] ท่านจงกลับไปเถิด สหาย การที่ท่านได้ทูลพระญาติทั้งหลายด้วยเป็นการดี ท่านรับคำสั่งเราแล้ว พึงกราบทูลการถวายบังคมพระมารดาและพระบิดาของเรา

             (พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า)

             [๔๙] นายสารถีจับพระบาททั้ง ๒ ของพระโพธิสัตว์นั้น และทำประทักษิณพระองค์แล้ว ก็ขึ้นรถบ่ายหน้าเข้าไปยังทวารพระราชวัง

             [๕๐] พระมารดาทอดพระเนตรเห็นรถว่างเปล่า กลับมาแต่นายสารถีคนเดียว จึงทรงกันแสง มีพระเนตรนองด้วยพระอัสสุชล ทอดพระเนตรดูนายสารถีนั้นอยู่

             [๕๑] พระนางทรงเข้าพระทัยว่า นายสารถีฝังลูกของเราแล้วจึงกลับมา ลูกของเราถูกนายสารถีฝังไว้ในแผ่นดิน กลบดินแล้วเป็นแน่

             [๕๒] พวกศัตรูย่อมพากันยินดี พวกคนจองเวรต่างก็เอิบอิ่มเป็นแน่ เพราะเห็นนายสารถีฝังลูกของเรากลับมาแล้ว

             [๕๓] พระมารดาทอดพระเนตรเห็นรถอันว่างเปล่า กลับมาแต่นายสารถีคนเดียว มีพระเนตรนองด้วยพระอัสสุชล ทรงกันแสงอยู่ ตรัสถามนายสารถีนั้นว่า

             [๕๔] ลูกของเราเป็นคนใบ้จริงหรือ เป็นคนง่อยเปลี้ยจริงหรือ ลูกของเราขณะที่ท่านจะฝังดิน พูดอะไรบ้างหรือเปล่า นายสารถี ขอท่านจงบอกเนื้อความนั้นแก่เราด้วยเถิด

             [๕๕] ลูกของเราเป็นคนใบ้ เป็นคนง่อยเปลี้ย เมื่อท่านจะฝังลงดิน กระดิกมือและเท้าอย่างไร เราถามแล้ว ขอท่านจงบอกเนื้อความนั้นแก่เราเถิด

             (ลำดับนั้น นายสุนันทสารถีกราบทูลว่า)

             [๕๖] ข้าแต่พระแม่เจ้า ขอได้โปรดพระราชทานอภัยโทษแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูล ตามที่ได้ยินและได้เห็นมาในสำนักของพระราชโอรส

             (พระนางจันทาเทวีตรัสกับนายสุนันทสารถีนั้นว่า)

             [๕๗] นายสารถีผู้สหาย เราให้อภัยโทษแก่ท่าน อย่าได้กลัวเลย จงพูดไปเถิด ตามที่ท่านได้ยินหรือได้เห็นมาในสำนักของพระราชโอรส

             (นายสุนันทสารถีกราบทูลว่า)

             [๕๘] พระราชโอรสนั้นมิได้เป็นคนใบ้ มิได้เป็นคนง่อยเปลี้ย ยังมีพระดำรัสสละสลวยไพเราะ ได้ทราบว่า พระองค์ทรงกลัวต่อการครองราชย์สมบัติ จึงได้ทำการลวงอย่างมากมาย

             [๕๙] พระองค์ทรงระลึกถึงชาติก่อน ที่พระองค์เคยได้เสวยราชสมบัติ ครั้นได้เสวยราชสมบัติในกาลนั้นแล้ว ต้องไปตกนรกอย่างแสนสาหัส

             [๖๐] พระองค์ได้เสวยราชสมบัติในกาลนั้น ๒๐ ปี แล้วต้องไปหมกไหม้อยู่ในนรกถึง ๘๐,๐๐๐ ปี

             [๖๑] พระองค์ทรงกลัวต่อการเสวยราชสมบัติ จึงทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอชนทั้งหลายอย่าได้อภิเษกเราในราชสมบัติเลย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงไม่ตรัส ในสำนักของพระบิดาและพระมารดาในกาลนั้น

             [๖๒] พระราชโอรสทรงถึงพร้อมด้วยองคาพยพ มีพระรูปสมบัติงดงามสมส่วน มีพระวาจาสละสลวย มีพระปัญญา ทรงดำรงอยู่ในทางสวรรค์

             [๖๓] ถ้าพระแม่เจ้าทรงพระประสงค์จะทอดพระเนตร พระราชโอรสของพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าขอทูลเชิญเสด็จพระแม่เจ้าไปให้ถึงสถานที่ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระเตมีย์

             (ฝ่ายพระเจ้ากาสีทรงสดับคำของนายสุนันทสารถี จึงดำรัสสั่งให้เรียกมหาเสนคุตมา รีบให้ตระเตรียมเสด็จ ตรัสว่า)

             [๖๔] เจ้าหน้าที่ทั้งหลายจงเทียมรถ เทียมม้า ผูกเครื่องประคับช้าง จงประโคมสังข์และบัณเฑาะว์ ตีกลองหน้าเดียวเถิด

             [๖๕] จงตีกลองสองหน้าและรำมะนาอันไพเราะ ขอชาวนิคมจงตามเรามา เราจะไปให้โอวาทแก่พระโอรส

             [๖๖] ขอพระสนมกำนัลใน พระกุมาร แพศย์ และพราหมณ์ทั้งหลายจงรีบเทียมยาน เราจะไปให้โอวาทแก่พระโอรส

             [๖๗] ขอพวกกองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และกองพลราบจงรีบเทียมยาน เราจะไปให้โอวาทแก่พระโอรส

             [๖๘] ชาวชนบทและชาวนิคมมาประชุมพร้อมกันแล้ว จงรีบเทียมยานเถิด เราจะไปให้โอวาทแก่พระโอรส

             (พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า)

             [๖๙] พวกนายสารถีจูงม้าสินธพที่มีฝีเท้าเร็ว เทียมเข้ากับราชรถขับมายังทวารพระราชวัง และกราบทูลว่า ม้าเหล่านี้เทียมแล้ว พระเจ้าข้า

             (พระราชาตรัสว่า)

             [๗๐] ม้าอ้วนก็ไม่มีฝีเท้าเร็ว ม้าผอมก็ไม่มีเรี่ยวแรง จงเว้นทั้งม้าผอมและม้าอ้วนเสีย เลือกเทียมแต่ม้าที่สมบูรณ์

             (พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า)

             [๗๑] ลำดับนั้น พระราชารีบเสด็จขึ้นประทับม้าสินธพที่เทียมแล้ว ได้ตรัสกับนางชาววังว่า พวกเจ้าทั้งหมดจงตามเรามาเถิด

             [๗๒] พระราชาตรัสสั่งว่า จงตระเตรียมเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ๕ อย่าง คือ พัดวาลวีชนี อุณหิส พระขรรค์ เศวตฉัตร และฉลองพระบาทที่ประดับตกแต่งด้วยทองคำขึ้นรถไปด้วย

             [๗๓] และต่อจากนั้น พระราชาตรัสสั่งให้นายสารถีนำทาง เสด็จเคลื่อนขบวนเข้าไปถึงสถานที่ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระเตมีย์

             [๗๔] ส่วนพระเตมีย์ทอดพระเนตรเห็นพระบิดา กำลังเสด็จมา ทรงรุ่งเรืองด้วยพระเดชานุภาพ ทรงแวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ จึงถวายพระพรว่า

             [๗๕] ขอถวายพระพรเสด็จพ่อ พระองค์ทรงสุขสบายดีหรือ ทรงพระสำราญดีหรือ ราชกัญญาทั้งปวงและพระมารดาของอาตมภาพ ไม่มีพระโรคาพาธหรือ

             (พระราชาตรัสตอบว่า)

             [๗๖] ลูกรัก โยมสุขสบายดี ไม่มีโรคเบียดเบียน พระราชกัญญาทั้งปวงและพระมารดา ของลูกรักก็ไม่มีโรคาพาธ

             (ลำดับนั้น พระเตมีย์โพธิสัตว์ทูลถามพระราชาว่า)

             [๗๗] ขอถวายพระพรเสด็จพ่อ มหาบพิตรไม่ทรงเสวยน้ำจัณฑ์หรือ ไม่ทรงโปรดปรานการเสวยน้ำจัณฑ์หรือ พระทัยของพระองค์ทรงยินดีในสัจจะ ในธรรม และในทานหรือ

             (พระราชาตรัสตอบว่า)

             [๗๘] ลูกรัก โยมไม่ดื่มน้ำจัณฑ์ และไม่โปรดปรานการดื่มน้ำจัณฑ์ ใจของโยมยังยินดีในสัจจะ ในธรรม และในทาน

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์ทูลถามว่า)

             [๗๙] ขอถวายพระพรเสด็จพ่อ ราชพาหนะของพระองค์ที่เขาเทียมแล้วมั่นคงหรือ ราชพาหนะยังนำภาระไปได้ดีอยู่หรือ มหาบพิตร พยาธิที่จะเข้าไปแผดเผาพระสรีระของพระองค์ไม่มีหรือ

             (พระราชาตรัสตอบว่า)

             [๘๐] พาหนะมีม้าและโคเป็นต้นของโยมที่เทียมแล้วมั่นคง ราชพาหนะก็ยังนำภาระไปได้ พยาธิที่เข้าไปแผดเผาสรีระของโยมก็ไม่มี

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์ทูลถามว่า)

             [๘๑] ชุมชนแถบชายแดนของพระองค์ยังมั่งคั่งหรือ คามนิคมในท่ามกลางรัฐของพระองค์ ยังเป็นที่อยู่แน่นหนามั่งคั่งอยู่หรือ ฉางหลวงและท้องพระคลังของพระองค์ยังบริบูรณ์ดีอยู่หรือ

             (พระราชาตรัสตอบว่า)

             [๘๒] ชุมชนแถบชายแดนของโยมยังมั่งคั่ง คามนิคมในท่ามกลางแคว้นก็ยังอยู่แน่นหนาดี ฉางหลวงและท้องพระคลังของโยม ก็ยังคงบริบูรณ์ดีทุกอย่าง

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์ตรัสว่า)

             [๘๓] ข้าแต่มหาราช พระองค์เสด็จมาดีแล้ว มิได้เสด็จมาร้าย ขอมหาดเล็กทั้งหลายจงจัดตั้งบัลลังก์ ซึ่งเป็นที่ประทับนั่งถวายพระราชาเถิด

             [๘๔] เชิญประทับนั่ง ณ เครื่องลาดใบไม้ที่เขาปูไว้เรียบร้อย ถวายมหาบพิตร ณ ที่นี้เถิด จงทรงตักน้ำจากภาชนะนี้ล้างพระบาทของพระองค์เถิด

             [๘๕] ขอถวายพระพรมหาบพิตร ใบหมากเม่าของอาตมภาพนี้เป็นของสุกไม่เค็ม พระองค์มาเป็นแขกของอาตมภาพแล้ว เชิญเสวยเถิด

             (พระราชาตรัสว่า)

             [๘๖] โยมไม่บริโภคใบหมากเม่า เพราะใบหมากเม่านี้มิใช่อาหารของโยม โยมบริโภคข้าวสุกแห่งข้าวสาลีที่ปรุงด้วยเนื้ออันสะอาด

             (พระราชาตรัสกับพระเตมีย์โพธิสัตว์แล้ว จึงตรัสคาถาว่า)

             [๘๗] ความน่าอัศจรรย์ปรากฏชัดเจนกับโยม เพราะได้เห็นลูกรักอยู่ในที่ลับแต่ผู้เดียว เพราะเหตุไร ผิวพรรณของผู้บริโภคอาหารเช่นนี้จึงผ่องใสเล่า

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์เมื่อจะทูลพระราชานั้น จึงตรัสว่า)

             [๘๘] ขอถวายพระพรมหาบพิตร อาตมภาพจำวัดตามลำพังบนเครื่องลาดใบไม้ เพราะการจำวัดตามลำพังนั้น ผิวพรรณของอาตมภาพจึงผ่องใส

             [๘๙] อนึ่ง อาตมภาพไม่มีราชองครักษ์คาดกระบี่คอยป้องกัน เพราะการจำวัดตามลำพังของอาตมภาพนั้น ผิวพรรณจึงผ่องใส ขอถวายพระพร

             [๙๐] อาตมภาพมิได้เศร้าโศกถึงอารมณ์ที่ล่วงไปแล้ว มิได้ปรารถนาอารมณ์ที่ยังไม่มาถึง ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เพราะฉะนั้น ผิวพรรณของอาตมภาพจึงผ่องใส

             [๙๑] เพราะการปรารถนาอารมณ์ที่ยังไม่มาถึง เพราะเศร้าโศกถึงอารมณ์ที่ล่วงไปแล้ว ทั้ง ๒ อย่างนี้ พวกคนพาลซูบซีดเหี่ยวแห้ง เหมือนไม้อ้อที่เขียวสดถูกถอนทิ้งไว้

             (ลำดับนั้น พระราชาทรงเชิญพระเตมีย์โพธิสัตว์ให้ครองราชสมบัติ จึงตรัสว่า)

             [๙๒] ลูกรัก โยมขอมอบกองพลช้าง (กองพลช้าง หมายถึงกองทัพที่จัดขึ้นเป็นหมู่ใหญ่ นับช้างตั้งแต่สิบเชือกขึ้นไป ที่ชื่อว่ากองพลรถก็เช่นเดียวกัน) กองพลม้า กองพลรถ กองพลราบ เหล่าทหารผูกโล่ และพระนิเวศน์ที่น่ารื่นรมย์แก่ลูก

             [๙๓] โยมขอมอบพระสนมกำนัลในผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง ลูกรักจงปกครองพระสนมกำนัลในเหล่านั้น จงเป็นพระราชาของโยมทั้งหลาย

             [๙๔] หญิงทั้ง ๔ คนผู้ฉลาดในการฟ้อนรำและการขับร้อง ศึกษาดีแล้วในหน้าที่ของหญิงแม้อื่นๆ จักทำลูกรักให้รื่นรมย์ในกามได้ ลูกจักทำอะไรในป่าเล่า

             [๙๕] โยมจักนำราชกัญญาจากพระราชาอื่นๆ ผู้ประดับดีแล้วมา ขอลูกรักให้กำเนิดพระโอรสในหญิงเหล่านั้นแล้ว จึงบวชในภายหลังเถิด

             [๙๖] ลูกรักยังหนุ่มแน่นอยู่ในปฐมวัย ผมดำสนิท จงครอบครองราชย์สมบัติก่อนเถิด ขอลูกจงมีความเจริญ ลูกจักทำอะไรในป่าเล่า

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์แสดงธรรมโปรดพระราชาว่า)

             [๙๗] คนหนุ่มควรประพฤติพรหมจรรย์ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ควรจะเป็นคนหนุ่ม เพราะการบวชของคนหนุ่ม ฤๅษีทั้งหลายสรรเสริญแล้ว

             [๙๘] คนหนุ่มควรประพฤติพรหมจรรย์ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ควรเป็นคนหนุ่ม อาตมภาพจักประพฤติพรหมจรรย์ อาตมภาพไม่ต้องการราชสมบัติ

             [๙๙] อาตมภาพเห็นเด็กหนุ่มของท่านทั้งหลาย ผู้เรียกมารดาและบิดา ซึ่งเป็นบุตรที่รักได้มาโดยยาก ยังไม่ทันถึงความแก่เลยก็ตายเสียแล้ว

             [๑๐๐] อาตมภาพเห็นเด็กสาวของท่านทั้งหลาย ที่สวยสดงดงาม สิ้นชีวิต เหมือนหน่อไม้ไผ่ที่ถูกถอน

             [๑๐๑] จริงอยู่ จะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม แม้ยังหนุ่มสาวก็ตาย เพราะฉะนั้น ใครเล่าจะพึงวางใจในชีวิตนั้นได้ว่า เรายังเป็นหนุ่มสาว

             [๑๐๒] อายุของคนเป็นของน้อย เพราะวันคืนล่วงไปๆ เปรียบเหมือนอายุของฝูงปลาในน้ำน้อย ความเป็นหนุ่มสาวในวัยนั้นจักทำอะไรได้

             [๑๐๓] สัตวโลกถูกครอบงำและถูกรุมล้อมอยู่เป็นนิตย์ เมื่อราตรีทั้งหลายทำอายุ วรรณะ และกำลัง ของเหล่าสัตว์ให้สิ้นไปเป็นไปอยู่ มหาบพิตรจะอภิเษกอาตมภาพในราชสมบัติทำไม

             (พระราชาตรัสว่า)

             [๑๐๔] สัตวโลกถูกอะไรครอบงำ และถูกอะไรรุมล้อมไว้ อะไรชื่อว่าราตรีที่ทำอายุ วรรณะ และกำลังของเหล่าสัตว์ให้สิ้นไปเป็นไปอยู่ โยมถามแล้ว ขอลูกรักจงบอกข้อนั้นแก่โยมเถิด

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์ทูลว่า)

             [๑๐๕] สัตวโลกถูกความตายครอบงำ และถูกความแก่รุมล้อมไว้ วันคืนที่ชื่อว่าทำอายุ วรรณะ และกำลังของเหล่าสัตว์ให้สิ้นไปก็เป็นไปอยู่ มหาบพิตร ขอจงทรงทราบอย่างนี้ ขอถวายพระพร

             [๑๐๖] เมื่อเส้นด้ายที่เขากำลังทอ ช่างหูกทอไปได้เท่าใด ส่วนที่ต้องทอต่อไป โยมก็พึงทราบว่า เหลืออยู่น้อยเท่านั้นฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น

             [๑๐๗] ห้วงน้ำที่เต็มฝั่งเมื่อไหลไปย่อมไม่ไหลกลับฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลายเมื่อผ่านไป ก็ย่อมไม่หวนกลับคืนฉันนั้น

             [๑๐๘] ห้วงน้ำที่เต็มฝั่งย่อมพัดพาเอาต้นไม้ ที่เกิดอยู่ริมฝั่งให้หักโค่นไปฉันใด สัตว์ทั้งปวงย่อมถูกชราและมรณะพัดพาไปฉันนั้น

             (พระราชาสดับธรรมกถาของพระเตมีย์โพธิสัตว์แล้ว จะเชิญให้ครองราชสมบัติอีก จึงตรัสว่า)

             [๑๐๙] ลูกเอ๋ย โยมขอมอบกองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ กองพลราบ เหล่าทหารผูกโล่ และพระราชนิเวศน์ที่น่ารื่นรมย์แก่ลูก

             [๑๑๐] อนึ่ง โยมขอมอบพระสนมกำนัลใน ผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง ลูกเอ๋ย จงปกครองพระสนมกำนัลในเหล่านั้น ลูกจักเป็นพระราชาของโยมทั้งหลาย

             [๑๑๑] หญิงทั้ง ๔ คนผู้ฉลาดในการฟ้อนรำและการขับร้อง ศึกษาดีแล้วในหน้าที่ของหญิงอื่นๆ จักทำลูกรักให้รื่นรมย์ในกามได้ ลูกจะทำอะไรในป่าเล่า

             [๑๑๒] โยมจักนำราชกัญญาจากพระราชาอื่นๆ ผู้ประดับแล้วมาให้แก่ลูก ลูกให้หญิงเหล่านั้นกำเนิดพระโอรสแล้ว จึงบวชในภายหลังเถิด

             [๑๑๓] ลูกยังหนุ่มแน่นอยู่ในปฐมวัย มีผมดำสนิท จงครอบครองราชย์สมบัติก่อนเถิด ขอลูกจงมีความเจริญ ลูกจักทำอะไรในป่าเล่า

             [๑๑๔] ลูกเอ๋ย โยมขอมอบฉางหลวง พระคลัง พาหนะ พลนิกาย และพระราชนิเวศน์อันน่ารื่นรมย์แก่ลูก

             [๑๑๕] ลูกจงแวดล้อมด้วยแวดวงราชกัญญาที่งามพร้อม จงแวดล้อมด้วยหมู่พระสนมกำนัลใน จงครอบครองราชสมบัติก่อนเถิด ขอลูกจงมีความเจริญ ลูกจักทำอะไรในป่าเล่า

             (พระเตมีย์โพธิสัตว์เมื่อจะประกาศความที่ตนไม่ปรารถนาราชสมบัติ จึงทูลว่า)

             [๑๑๖] มหาบพิตรจะให้อาตมภาพเสื่อมไปเพราะทรัพย์ทำไม บุคคลจักตายเพราะภรรยาทำไม ประโยชน์อะไรด้วยความเป็นหนุ่มสาวที่แก่เฒ่า เพราะถูกชราครอบงำ

             [๑๑๗] ในโลกสันนิวาสที่มีชราและมรณะเป็นธรรมดานั้น จะเพลิดเพลินไปทำไม จะเล่นหัวไปทำไม จะยินดีไปทำไม จะแสวงหาทรัพย์ไปทำไม จะมีประโยชน์อะไรด้วยลูกและเมียแก่อาตมภาพ อาตมภาพเป็นผู้หลุดพ้นแล้วจากเครื่องผูก ขอถวายพระพร

             [๑๑๘] มัจจุราชย่อมไม่ย่ำยีอาตมภาพผู้รู้ชัดอย่างนี้ว่า เมื่อบุคคลถูกมัจจุราชครอบงำแล้ว จะยินดีไปทำไม จะแสวงหาทรัพย์ไปทำไม

             [๑๑๙] ภัยของผลไม้ที่สุกแล้วทั้งหลาย ย่อมมีเพราะหล่นลงเป็นนิตย์ฉันใด ภัยของเหล่าสัตว์ผู้เกิดมาแล้ว ย่อมมีเพราะความตายอยู่เป็นนิตย์ฉันนั้น

             [๑๒๐] คนเป็นจำนวนมากที่ได้พบกันในตอนเช้า ตกตอนเย็นบางพวกก็ไม่เห็นกัน คนเป็นจำนวนมากที่ได้พบกันในตอนเย็น ตกตอนเช้าบางพวกก็ไม่เห็นกัน

             [๑๒๑] ควรรีบทำความเพียรเสียแต่ในวันนี้ ใครเล่าจะพึงรู้ได้ว่า ความตายจะมีในวันพรุ่งนี้ เพราะความผ่อนผันกับมัจจุราชที่มีเสนาหมู่ใหญ่นั้น ไม่มีแก่เราทั้งหลายเลย

             [๑๒๒] พวกโจรย่อมปรารถนาทรัพย์ มหาบพิตร อาตมภาพเป็นผู้หลุดพ้นแล้วจากเครื่องผูก เชิญมหาบพิตรเสด็จกลับไปเถิด อาตมภาพไม่มีความต้องการด้วยราชสมบัติ ขอถวายพระพร

เตมิยชาดกที่ ๑ จบ

------------------

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

เตมิยชาดก

ว่าด้วย พระเจ้าเตมีย์ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภมหาภิเนกขัมมบารมี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               ความพิสดารว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกันอยู่ในโรงธรรมสภา พรรณนามหาภิเนกขัมมบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระศาสดาทรงสดับเรื่องนั้นด้วยทิพโสต เสด็จออกจากพระคันธกุฎีมายังโรงธรรมสภา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายประชุมเจรจากันถึงเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรามีบารมีเต็มแล้ว ทิ้งราชสมบัติออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่ในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์เลย เมื่อก่อนญาณยังไม่แก่กล้า เรากำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ ได้ทิ้งราชสมบัติออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่นั้น จึงน่าอัศจรรย์. ตรัสดังนี้แล้ว ทรงดุษณีภาพอยู่. ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลวิงวอนให้ทรงเล่าเรื่อง จึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่ากาสิกราช ครองราชสมบัติโดยธรรมโดยเสมอในกรุงพาราณสี พระองค์มีสนมนารีประมาณหนึ่งหมื่นหกพันคน. บรรดาสนมนารีเหล่านั้น แม้สักคนหนึ่งก็ไม่มีโอรสหรือธิดาเลย. กาลนั้นชาวพระนครกล่าวกันว่า พระราชาของพวกเราไม่มีพระโอรส แม้องค์หนึ่งที่จะสืบพระวงศ์ จึงประชุมกันที่พระลานหลวงโดยนัยอันมาแล้วในกุสราชชาดกนั่นแล กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงทรงปรารถนาพระโอรสเถิด พระราชาทรงสดับคำแห่งชาวเมืองนั้นแล้ว ตรัสเรียกสนมนารีหนึ่งหมื่นหกพันมาในขณะนั้น แล้วมีพระราชดำรัสสั่งว่า เจ้าทั้งหลายจงปรารถนาบุตร. สนมนารีเหล่านั้นทำกิจเป็นต้นว่า วิงวอนและบำรุงเทวดาทั้งหลายมีพระจันทร์เป็นต้น แม้ปรารถนาก็หาได้โอรสหรือธิดาไม่.
               ฝ่ายอัครมเหสีของพระเจ้ากาสิกราช ผู้เป็นพระธิดาแห่งพระเจ้ามัททราช พระนามว่าจันทาเทวี เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสีลาจารวัตร. พระราชามีพระราชดำรัสสั่งว่า แน่ะนางผู้เจริญ แม้เธอก็จงปรารถนาพระโอรส. พระเทวีได้สดับพระราชดำรัสของพระราชสวามีแล้ว ทรงทูลรับว่า สาธุ แล้วจึงสมาทานอุโบสถในวันเพ็ญ เปลื้องสรรพาภรณ์ บรรทมเหนือพระยี่ภู่น้อย ทรงอาวัชนาการถึงศีลของพระองค์ ได้ทรงกระทำกิริยาว่า ถ้าข้าพเจ้ารักษาศีลไม่ขาด ขอบุตรของข้าพเจ้าจงเกิดขึ้นด้วยสัจจาวาจานี้.
               ด้วยเดชานุภาพแห่งศีลของพระนางจันทาเทวีนั้น. บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกเทวราชแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะเมื่อทรงอาวัชนาการก็ทรงทราบเหตุนั้นว่า พระนางจันทาเทวีปรารถนาโอรส ตกลงเราจักให้โอรสแก่พระนางนั้น. ทรงพิจารณาถึงโอรสที่สมควรแก่พระนางก็ทรงเห็นพระโพธิสัตว์.
               กาลนั้น พระโพธิสัตว์ครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสีได้ยี่สิบปี เคลื่อนจากมนุษยโลกนั้น บังเกิดในอุสสุทนรก เสวยทุกข์อยู่ในนรกนั้นแปดหมื่นปี เคลื่อนจากนรกนั้น บังเกิดในพิภพดาวดึงส์ ตั้งอยู่ในดาวดึงส์นั้นตลอดอายุ เคลื่อนจากดาวดึงส์นั้น ประสงค์จักไปเทวโลกชั้นสูง. ครั้งนั้น ท้าวสักกะเสด็จไปสู่สำนักของพระโพธิสัตว์ ตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ เมื่อท่านเกิดในมนุษยโลก บารมีทั้งหลายของท่านจักเต็มเปี่ยม ความเจริญจักมีแก่ท่านและแก่พระชนกชนนีของท่าน ด้วยว่า พระอัครมเหสีของพระเจ้ากาสิกราช พระนามว่าจันทาเทวี ปรารถนาโอรส. ท่านจงอุบัติในพระครรภ์ของพระนางนั้น แล้วท้าวสักกะทรงถือเอาซึ่งปฏิญญาแก่พระโพธิสัตว์นั้น และแก่เทวบุตรทั้งหลายประมาณ ๕๐๐ องค์ผู้จักจุติ แล้วเสด็จกลับไปยังที่ประทับของพระองค์ทีเดียว. พระโพธิสัตว์นั้นรับคำว่า สาธุ แล้วจุติพร้อมกับเทวบุตร ๕๐๐ องค์. พระองค์เองถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางจันทาเทวี ส่วนเทวบุตรประมาณ ๕๐๐ องค์นอกนี้ ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของภริยาอมาตย์ทั้งหลาย.
               กาลนั้น พระครรภ์ของพระนางจันทาเทวี เป็นประหนึ่งเต็มไปด้วยแก้ววิเชียร. พระนางทรงทราบว่าตั้งครรภ์ จึงกราบทูลแด่พระราชา พระราชาทรงทราบดังนั้น จึงได้พระราชทานครรภ์บริหารแก่พระนาง. พระนางมีพระครรภ์ครบกำหนดแล้ว ก็ประสูติพระโอรส ซึ่งสมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะอันอุดม ภรรยาอมาตย์ทั้งหลายก็คลอดกุมาร ๕๐๐ ในเรือนอมาตย์ ในวันนั้นเหมือนกัน. ขณะนั้น พระราชาประทับอยู่ในที่เสด็จออก แวดล้อมไปด้วยหมู่อมาตย์ราชบริพาร. ลำดับนั้น เจ้าหน้าที่ทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบว่า พระราชโอรสของพระองค์ประสูติแล้ว พระเจ้าข้า. พระเจ้ากาสิกราชได้ทรงสดับคำของเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ทรงมีความรักในพระโอรสเป็นครั้งแรกเกิดขึ้น ตัดพระฉวีจดพระอัฐิมิญชะ ดำรงอยู่เกิดพระปีติซาบซ่านภายในพระกมล แม้หทัยของอมาตย์ราชบริพารทั้งหลายก็เกิดเยือกเย็นทั่วกัน พระราชาตรัสถามเหล่าอมาตย์ว่า ท่านทั้งหลายดีใจหรือ? เมื่อลูกชายของเราเกิด. อมาตย์เหล่านั้นกราบทูลว่า พระองค์ตรัสถามไย? พระเจ้าข้า เมื่อก่อนพวกข้าพระองค์ไร้ที่พึ่ง บัดนี้พวกข้าพระองค์มีที่พึ่ง ได้เจ้านายแล้ว.
               พระเจ้ากาสิกราชได้ทรงสดับคำของเหล่าอมาตย์ ก็เกิดพระปีติปลื้มพระทัย จึงตรัสเรียกมหาเสนาบดีมาตรัสสั่งว่า ท่านมหาเสนาบดีผู้เจริญ ลูกชายของฉันควรจะได้บริวาร ท่านจงไปตรวจดูว่า ในเรือนอมาตย์มีทารกเกิดในวันนี้เท่านี้. มหาเสนาบดีรับพระราชบัญชาแล้ว ไปตรวจดูเห็นทารกในเรือนอมาตย์ ๕๐๐ คน จึงกราบทูลให้ทรงทราบ พระราชาได้ทรงสดับคำของอมาตย์เหล่านั้นก็เกิดพระปิติ จึงมีรับสั่งให้พระราชทานเครื่องประดับสำหรับกุมารแก่ทารกทั้ง ๕๐๐ คน และให้พระราชทานนางนม ๕๐๐ คน. แต่สำหรับพระมหาสัตว์ พระราชาพระราชทานนางนม ๖๔ นาง ล้วนแต่เป็นนางนมผู้เว้นโทษมีสูงนักเป็นต้น นมไม่ยาน น้ำนมมีรสหวาน เว้นนางนมที่มีโทษเช่นนั้น เพราะเหตุไร เพราะเมื่อทารกนั่งดื่มนมข้างสตรีที่สูงนัก คอทารกจักยืดยาวเกินไป เมื่อทารกนั่งดื่มนมข้างสตรีเตี้ยนัก กระดูกคอทารกจักหดสั้น. เมื่อทารกนั่งดื่มนมข้างสตรีผอมนัก ขาทั้งสองของทารกจักเสียดสีกัน. เมื่อทารกนั่งดื่มนมข้างสตรีอ้วนนัก เท้าทั้งสองของทารก จักเพลีย. สตรีมีผิวดำนัก น้ำนมเย็นเกินไป สตรีมีผิวขาวนัก น้ำนมร้อนเกินไป. เมื่อทารกดื่มนมของสตรีนมยาน จมูกจักแฟบ. สตรีเป็นโรคหืด มีน้ำนมเปรี้ยวนัก. เมื่อทารกดื่มโรคมองคร่อ น้ำนมจักมีรสวิการต่างๆ มีเผ็ดจัด เป็นต้น. เพราะเหตุนั้น พระเจ้ากาสิกราชทรงเว้นโทษทั้งปวงเหล่านั้น พระราชทานนางนม ๖๔ คนที่เว้นจากโทษมีสูงนักเป็นต้น นมไม่ยาน น้ำนมมีรสหวาน. ทรงทำสักการะใหญ่ ได้พระราชทานพร แม้แก่พระนางจันทาเทวี พระนางรับพระพรแล้วถวายคืนไว้ก่อน
               ในวันขนานพระนามพระโพธิสัตว์ พระเจ้ากาสิกราชทรงทำสักการะ เป็นอันมากแก่เหล่าพราหมณ์ ผู้รู้ลักษณะพยากรณ์ แล้วตรัสถามถึง อันตรายของพระมหาสัตว์. พราหมณ์ผู้รู้ลักษณะพยากรณ์เหล่านั้น เห็นพระลักษณสมบัติแห่งพระโพธิสัตว์ จึงกราบทูลว่า พระโอรสของพระองค์สมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะอันอุดม อย่าว่าแต่ทวีปหนึ่งเลย พระโอรสของพระองค์ทรงสามารถครองราชสมบัติ ในมหาทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ เป็นบริวาร (จักรพรรดิ) อันตรายอะไรๆ จะไม่ปรากฎแก่พระโอรสเลย. พระเจ้ากาสิกราชได้ทรงสดับคำของพราหมณ์เหล่านั้น ก็ดีพระหฤทัย. เมื่อทรงขนานพระนามพระกุมารได้ทรงขนานพระนามว่าเตมิยกุมาร เพราะเหตุในวันที่พระกุมารประสูติ ฝนตกทั่วกาสิกรัฐ และเพราะพระกุมารประสูติ เป็นเหมือนยังพระหฤทัยแห่งพระราชา และหัวใจแห่งหมู่อมาตย์ และมหาชนให้ชุ่มชื่น. ลำดับนั้น นางนมทั้งหลายยังพระโพธิสัตว์ ผู้มีพระชนม์ได้หนึ่งเดือนให้สนานประดับองค์ แล้วนำขึ้นเฝ้าพระราชบิดา พระราชาทอดพระเนตรเห็นพระปิโยรส ทรงสวมกอดจุมพิตที่พระเศียรแล้ว ให้พระทับบนพระเพลา ประทับนั่งรื่นรมย์อยู่ด้วยพระกุมาร ขณะนั้น พวกราชบุรุษนำโจร ๔ คนมาหน้าที่นั่ง. พระราชาทอดพระเนตรเห็นโจรเหล่านั้นแล้ว มีพระราชดำรัสสั่งให้ลงพระอาญาโจรเหล่านั้น ให้เอาหวายทั้งหนามเฆี่ยนโจรคนหนึ่ง ๑,๐๐๐ ที ให้จำโจรคนหนึ่งด้วยโซ่ตรวนแล้วส่งเข้าเรือนจำ ให้เอาหอกแทงที่สรีระของโจรคนหนึ่ง ให้เอาหลาวเสียบโจรคนหนึ่ง.
               ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ได้ทรงฟังพระดำรัสของพระบิดา ทั้งกลัวทั้งสะดุ้ง ทรงจินตนาการว่า โอ พระชนกของเราอาศัยราชสมบัติ ทำกรรมอันหนักเกินซึ่งจะไปสู่นรก. วันรุ่งขึ้น พระพี่เลี้ยงนางนมทั้งหลายให้ พระมหาสัตว์บรรทมเหนือพระแทนที่สิริไสยาสน์ ซึ่งตกแต่งแล้วภายใต้เศวตฉัตร. พระโพธิสัตว์บรรทมหน่อยหนึ่ง ตื่นบรรทมลืมพระเนตรทั้งสอง ทอดพระเนตรเศวตฉัตรเห็นสิริราชสมบัติอันยิ่งใหญ่. ลำดับนั้น ความกลัวอย่างเหลือเกินได้เกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์ ผู้ทั้งกลัวทั้งสะดุ้งอยู่เป็นปกติแล้ว พระองค์ทรงดำริว่า เราจากที่ไหนมาสู่พระราชมณเฑียรนี้ เมื่อทรงใคร่ครวญดูก็ทรงทราบโดยทรงระลึกชาติได้ว่ามาจากเทวโลก เมื่อทรงทอดพระเนตร ต่อจากนั้นไปอีก ก็ทอดพระเนตรเห็นว่า ไปไหม้อยู่ในอุสสุทนรก เมื่อทรงทอดพระเนตรต่อจากนั้นไปอีก ก็ทรงทราบว่า พระองค์เป็นพระราชาในพระนครนั้นเทียว เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาอยู่ว่า เราได้ครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี ๒๐ ปี แล้วไหม้อยู่ในอุสสุทนรก ๘๐,๐๐๐ ปี. บัดนี้เราเกิดในเรือนหลวงดุจเรือนโจรนี้อีก เมื่อวานนี้ เมื่อเขานำโจร ๔ คนมา พระบิดาของเราได้กล่าวผรุสวาจาเช่นนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้ตกนรก หากว่าเราครองราชสมบัติ ก็จักบังเกิดในนรกเสวยทุกข์ใหญ่อีก ดังนี้ ได้เกิดความกลัวเป็นอันมาก พระสรีระซึ่งมีวรรณะดุจทองของพระโพธิสัตว์ ได้เหี่ยวมีวรรณะเศร้าหมอง ราวกะว่าดอกปทุมที่ถูกขยำด้วยมือ ฉะนั้น พระองค์บรรทมจินตนาการอยู่ว่า ทำอย่างไร เราจึงจะพ้นจากพระราชมณเฑียรซึ่งดุจเรือนโจรนี้เสียได้.
               คราวนั้น เทพธิดาผู้สิงอยู่ที่เศวตฉัตร เคยเป็นมารดาพระโพธิสัตว์ในอัตภาพ ในระหว่างอัตภาพหนึ่ง ปลอบพระโพธิสัตว์ให้สบายพระทัยแล้วกล่าวว่า พ่อเตมิยกุมาร พ่ออย่าเศร้าโศก อย่าคิด อย่ากลัวเลย ถ้าพ่อประสงค์จะพ้นจากพระราชมณเฑียรนี้ พ่อไม่เป็นคนง่อยเปลี้ยเลย ก็จงเป็นเหมือนคนง่อยเปลี้ย พ่อไม่เป็นคนหนวก ก็จงเป็นเหมือนคนหนวก พ่อไม่เป็นคนใบ้ ก็จงเป็นเหมือนคนใบ้เถิด พ่อจงอธิษฐานองค์สามเหล่านี้ อย่างนี้แล้ว อย่าประกาศความที่พ่อเป็นคนฉลาด.
               เทพธิดากล่าวแล้ว จึงกล่าวคาถาที่หนึ่งว่า
               พ่ออย่าแสดงว่า เป็นคนฉลาด. จงให้ชนทั้งปวงรู้กันว่า พ่อเป็นคนโง่. ชนในที่นั้นทั้งหมดจะได้ดูหมิ่นพ่อว่า เป็นคนกาลกรรณี. ความปรารถนาของพ่อจักสำเร็จได้ ด้วยอุบายอย่างนี้.
              พระโพธิสัตว์กลับได้ความอุ่นพระหฤทัย เพราะคำของเทพธิดานั้น จึงกล่าวคาถาที่สองว่า
               ดูก่อนเทพธิดา ข้าพเจ้าจะทำตามคำของท่าน ที่ท่านกล่าวกะข้าพเจ้า ข้าแต่แม่เทพธิดา ท่านเป็นผู้ใคร่ประโยชน์ เป็นผู้ใคร่เกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า.
               ครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว พระโพธิสัตว์ได้อธิษฐานองค์สามเหล่านั้น เทพธิดานั้นก็อันตรธานหายไป.
               ลำดับนั้น พระเจ้ากาสิกราชมีพระดำริว่า ลูกควรจะได้กุมาร ๕๐๐ เหล่านั้นเป็นบริวาร เพื่อเป็นที่พอใจ จึงรับสั่งให้กุมารทั้ง ๕๐๐ เหล่านั้น นั่งอยู่ในสำนักของพระโพธิสัตว์ ทารกเหล่านั้นร้องไห้อยากดื่มน้ำนม. ส่วนพระมหาสัตว์ถูกความกลัวนรกคุกคาม ทรงดำริว่า จำเดิมแต่วันนี้ กายของเราแม้เหือดแห้งตายเสียเลยยังประเสริฐกว่า ดำริดังนี้ จึงไม่ทรงกันแสง นางนมทั้งหลายกราบทูลประพฤติเหตุนั้นแด่พระนางจันทาเทวี พระนางก็กราบทูลแด่พระราชา พระราชารับสั่งให้เรียกเหล่าพราหมณ์ผู้รู้ทำนายนิมิตมาตรัสถาม พราหมณ์ทั้งหลายได้กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ นางนมควรจะถวายน้ำนมแด่พระกุมาร ให้ล่วงเวลาตามปกติ เมื่อทำอย่างนี้ พระกุมารจะทรงกันแสง จับนมมั่นเสวยเองทีเดียว. ตั้งแต่นั้น นางนมทั้งหลายเมื่อถวาย ก็ถวายน้ำนมแด่พระโพธิสัตว์ ล่วงเวลาตามปกติ บางคราวถวายล่วงเวลาวาระหนึ่ง บางคราวไม่ถวายน้ำนมตลอดทั้งวัน. พระโพธิสัตว์ถูกความกลัวนรกคุกคาม แม้พระกายเหี่ยวแห้ง ก็ไม่ทรงกันแสงอยากเสวยนม. ลำดับนั้น พระนางจันทาเทวีเห็นพระโพธิสัตว์ไม่ทรงกันแสง ก็ทรงพระดำริว่า ลูกเราหิวจึงให้ดื่มน้ำพระถันของพระนางเอง บางคราวนางนมทั้งหลายให้ดื่มน้ำนม เหล่าทารกที่เหลือต่างร้องไห้ ไม่นอนในเวลาไม่ได้ดื่มน้ำนม. พระโพธิสัตว์ไม่ทรงกันแสง ไม่ทรงคร่ำครวญ ไม่บรรทม ไม่คู้พระหัตถ์และพระบาท ไม่เปล่งพระวาจา.
               ครั้งนั้น นางนมทั้งหลายคิดกันว่า ธรรมดามือและเท้าของคนง่อยเปลี้ยไม่เป็นอย่างนี้ ปลายคางของคนใบ้ไม่เป็นอย่างนี้ ช่องหูของคนหนวกก็ไม่เป็นอย่างนี้ จะต้องมีเหตุในพระกุมารนี้ พวกเราจักทดลองพระกุมาร จึงไม่ถวายน้ำนมแด่พระโพธิสัตว์นั้นตลอดทั้งวัน ด้วยประสงค์ว่า จักทดลองพระกุมารด้วยเรื่องนมก่อน. พระโพธิสัตว์แม้เหี่ยวแห้ง ก็ไม่ทรงกันแสง อยากเสวยนม. ครั้งนั้นพระชนนีของพระโพธิสัตว์ตรัสสั่งให้นางนมถวายนม ด้วยพระราชเสาวนีย์ว่า ลูกฉันหิว จงให้น้ำนมแก่เขา. นางนมเหล่านั้น แม้ทดลองไม่ถวายน้ำนมในระหว่างๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็ไม่เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์. ลำดับนั้น หมู่อมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารกอายุขวบหนึ่ง ชอบกินขนมและของเคี้ยว พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยขนม และของเคี้ยว กราบทูลดังนี้แล้วให้กุมารทั้ง ๕๐๐ คนเหล่านั้นนั่งใกล้ๆ พระราชกุมาร นำขนมและของเคี้ยวต่างๆ เข้าไปวางไว้ใกล้ๆ พระมหาสัตว์ กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงถือเอาขนมและของเคี้ยวเหล่านั้นตามชอบใจ แล้วพากันยืนแอบดูอยู่ พวกทารกที่เหลือทะเลาะยื้อแย่งกันและกัน ถือเอาขนมและของเคี้ยวมาเคี้ยวกิน. ฝ่ายพระมหาสัตว์ทรงโอวาทพระองค์ว่า แน่ะ พ่อเตมิยกุมาร ถ้าเจ้าประสงค์นรก ก็จงประสงค์ขนมและของเคี้ยว เป็นผู้กลัวภัยในนรก จึงไม่ทอดพระเนตรดูขนมและของเคี้ยวเลย แม้ทดลองด้วยขนมและของเคี้ยวในระหว่างๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็ไม่เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.
               แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช ธรรมดาทารกสองขวบชอบผลไม้น้อยใหญ่ พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยผลไม้ กราบทูลดังนี้แล้ว นำผลไม้น้อยใหญ่ต่างๆเข้าไปวางไว้ใกล้ๆ พระโพธิสัตว์ แล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงถือเอา ผลไม้น้อยใหญ่เหล่านั้น ตามชอบใจเถิด แล้วพากันยืนแอบดูอยู่ เหล่าทารกที่เหลือต่างต่อสู้ทุบตีกันและกัน ถือเอาผลไม้เหล่านั้นเคี้ยวกินอยู่. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็โอวาทพระองค์ว่า แน่ะพ่อเตมิยกุมาร ถ้าเจ้าประสงค์นรก ก็จงประสงค์ผลไม้น้อยใหญ่ทั้งหลาย เป็นผู้ถูกภัยในนรกคุกคาม ไม่ทอดพระเนตรดูผลไม้น้อยใหญ่เลย แม้ทดลองด้วยผลไม้น้อยใหญ่ในระหว่างๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็ไม่เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.
               แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ธรรมดาทารกสามขวบชอบของเล่น พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยของเล่น กราบทูลดังนี้แล้ว จึงให้ทำรูปช้าง เป็นต้นสำเร็จด้วยทอง เป็นต้น วางไว้ใกล้ๆ พระโพธิสัตว์ เหล่าทารกที่เหลือต่างแย่งกันและกันถือเอา ฝ่ายพระมหาสัตว์ ไม่ทรงทอดพระเนตรดูอะไรๆ เลย แม้ทดลองด้วยของเล่นในระหว่างๆ อย่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปี ก็ไม่เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.
               แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช ธรรมดาทารกสี่ขวบชอบโภชนาหาร พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยโภชนาหาร กราบทูลดังนี้แล้ว จึงน้อมโภชนาหารต่างๆ เข้าถวายพระมหาสัตว์ แม้เหล่าทารกที่เหลือต่างก็ทำเป็นคำๆ บริโภค. ฝ่ายพระมหาสัตว์ทรงโอวาทพระองค์ว่า แน่ะ พ่อเตมิยกุมาร อัตภาพของเจ้าที่ไม่ได้โภชนะบริโภคนับไม่ถ้วน ทรงกลัวภัยนรก มิได้ทอดพระเนตรดูโภชนาหารนั้น. ลำดับนั้น พระชนนีของพระโพธิสัตว์ เป็นผู้เหมือนมีพระหฤทัยแตกทำลาย ให้พระโอรสเสวยโภชนาหารด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แม้ทดลองด้วยโภชนาหารในระหว่างๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็ไม่เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.
               แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ธรรมดาทารกห้าขวบย่อมกลัวไฟ พวกข้าพระองค์ จักทดลองพระกุมารด้วยไฟ กราบทูลด้วยนี้แล้ว ให้ทำเรือนใหญ่มีหลายประตู ที่พระลานหลวง มุงด้วยใบตาล ให้พระมหาสัตว์ซึ่งแวดล้อมด้วยเหล่าทารกที่เหลือ นั่งท่ามกลางทารกเหล่านั้นแล้วจุดไฟ เหล่าทารกที่เหลือเห็นเรือนไฟลุกโพลง ทั้งกลัวทั้งสะดุ้ง ต่างร้อนลั่นวิ่งหนีไป. ฝ่ายพระมหาสัตว์ทรงดำริว่า ความร้อนแห่งเพลิงนี้ ยังดีกว่าไหม้ด้วยไฟนรก. พระมหาสัตว์มิได้มีความหวั่นไหวเลย เหมือนพระมหาเถระผู้เข้านิโรธสมาบัติ. ครั้นเมื่อเพลิงลุกลามมา อมาตย์ทั้งหลายก็อุ้มพระโพธิสัตว์ออกไป แม้ทดลองด้วยไฟในระหว่างๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็ไม่เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.
               แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช ธรรมดาทารกหกขวบย่อมกลัวช้างตกมัน พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยช้างตกมัน กราบทูลดังนี้แล้ว ให้ฝึกช้างเชือกหนึ่งซึ่งฝึกอย่างดี ให้พระโพธิสัตว์ซึ่งแวดล้อมด้วยเหล่าทารกที่เหลือ ประทับนั่ง ณ พระลานหลวง แล้วปล่อยช้าง. ช้างนั้นบันลือเสียงโกญจนาท เอางวงตีพื้นดินสำแดงภัยมา เหล่าทารกที่เหลือเห็นช้างตกมัน ก็กลัวมรณภัย จึงวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง. ฝ่ายพระมหาสัตว์เห็นช้างตกมันนั้นมา ทรงคิดว่า เราตายเสียที่งาช้างตกมัน ตัวดุร้าย ยังประเสริฐกว่า ไหม้ในนรกอันร้ายกาจ. พระมหาสัตว์ถูกภัยนรกคุกคาม ประทับนั่งตรงนั้นเอง ไม่หวั่นไหวเลย. ลำดับนั้น ช้างที่ฝึกดีแล้วนั้นเล่นเข้ามาจับพระมหาสัตว์ เหมือนจับกำดอกไม้ วิ่งไปวิ่งมาทำให้พระมหาสัตว์ลำบากยิ่ง. มหาชนรับพระมหาสัตว์จากงวงช้างแล้วนำออกไป แม้ทดลองด้วยช้างตกมันในระหว่างๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็ไม่เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์. พระราชตรัสถามพวกราชบุรุษว่า พวกท่านรับพระกุมารนำออกไปในเวลามา พระกุมารไหวมือหรือเท้าบ้างหรือไม่? ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า หามิได้เลย พระเจ้าข้า. ทรงหารือว่า พวกเราจะทำอย่างไร.
               แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารกเจ็ดขวบย่อมกลัวงู พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยงู กราบทูลดังนี้แล้ว จึงให้พระมหาสัตว์กับเหล่าทารกที่เหลือ นั่งที่พระลานหลวง ปล่อยงูทั้งหลายซึ่งถอดเขี้ยวแล้ว เย็บปากแล้ว ในกาลที่พระโพธิสัตว์ประทับนั่งแวดล้อมไปด้วยเหล่าทารกที่เหลือ ทารกที่เหลือทั้งหลายเห็นงูดุร้ายเหล่านั้น ก็ร้องลั่นวิ่งหนีไป. ฝ่ายพระมหาสัตว์ทรงพิจารณาภัยในนรก ทรงดำริว่า ความพินาศไปในปากของงูดุร้ายยังดีกว่าตายในนรกอันร้ายกาจ ดังนี้แล้ว จึงทรงนิ่งเฉยเหมือนเข้านิโรธสมาบัติ. คราวนั้น งูทั้งหลายก็เลื้อยมารัดพระสกลกายของพระมหาสัตว์ แผ่พังพานอยู่บนพระเศียรของพระมหาสัตว์. แม้ในกาลนั้น พระมหาสัตว์ก็มิได้หวั่นไหวเลย แม้ทดลองด้วยงูในระหว่างๆ อย่างนี้ เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์. พระราชาตรัสถามพวกราชบุรุษว่า พวกท่านรับพระกุมารนำออกไปในเวลามา พระกุมารไหวมือหรือเท้าบ้างหรือไม่? ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า หามิได้เลย พระเจ้าข้า. ทรงหารือว่า พวกเราจะทำอย่างไร.
               แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารกแปดขวบย่อมชอบมหรสพ ฟ้อนรำ. พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยมหรสพ ฟ้อนรำ กราบทูลดังนี้แล้ว ให้พระกุมารประทับนั่ง ณ พระลานหลวงกับทารก ๕๐๐ คน แล้วให้แสดงมหรสพฟ้อนรำ เหล่าทารกที่เหลือเห็นมหรสพ ฟ้อนรำแล้ว ต่างกล่าวว่า ดี ดี พากันหัวเราะเฮฮา. ส่วนพระมหาสัตว์ทรงพิจารณาภัยในนรกว่า ในเวลาที่เราบังเกิดในนรก ความรื่นเริงหรือโสมนัส ไม่มีแม้ชั่วขณะหนึ่ง จึงนิ่งเฉยมิได้ทอดพระเนตรดูอะไรๆนั้นเลย แม้ทดลองด้วยมหรสพฟ้อนรำในระหว่างๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์. พระราชาตรัสถามพวกราชบุรุษว่า พวกท่านรับพระกุมารนำออกไปในเวลามา พระกุมารไหวมือหรือเท้าบ้างหรือไม่? ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า หามิได้เลย พระเจ้าข้า. ทรงหารือว่า พวกเราจะทำอย่างไร.
               แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารกเก้าขวบย่อมกลัวศัสตรา พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยศัสตรา จึงให้พระมหาสัตว์ประทับนั่ง ณ พระลานหลวงกับทารก ๕๐๐ คน ในเวลาที่ทารก ๕๐๐ คนกำลังเล่นกันอยู่ บุรุษผู้หนึ่งถือดาบมีสีดังแก้วผลึก กวัดแกว่ง บันลือ โห่ร้อง โลดเต้น ปรบมือ ยักเยื้องท่าทาง ขู่ตวาดว่า ได้ยินว่า ราชโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้ากาสิกราช เป็นกาลกรรณี เขาอยู่ไหน เราจักเอาดาบตัดศีรษะเขา วิ่งกล่าวอยู่ดังนี้ เหล่าทารกที่เหลือเห็นดังนั้น ทั้งกลัวทั้งสะดุ้ง ร้องลั่นวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง. ส่วนพระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาภัยในนรก ทรงเห็นว่า พินาศเสียในคมดาบอันร้ายกาจ ยังดีกว่า ตายในอุสสุทนรก ดังนี้ ประทับนั่งเหมือนไม่ทรงทราบ. ลำดับนั้น บุรุษนั้นเอาดาบจดลงที่ศีรษะ แล้วกล่าวกะพระมหาสัตว์ว่า เราจักตัดศีรษะท่าน แม้ทำให้พระมหาสัตว์สะดุ้ง ก็ไม่สามารถจะให้สะดุ้งได้ จึงหลีกไป. แม้ทดลองด้วยดาบในระหว่างๆ อย่างนี้ เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์. พระราชาตรัสถามพวกราชบุรุษอย่างนี้ว่า พวกท่านรับพระกุมารนำออกไปในเวลามา พระกุมารไหวมือหรือเท้าบ้างหรือไม่? ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า หามิได้เลย พระเจ้าข้า. ทรงหารือว่า พวกเราจะทำอย่างไร.
               แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารกสิบขวบย่อมกลัวเสียง ควรจะใช้เสียงทดลองพระกุมารว่า หนวกหรือไม่ กราบทูลดังนี้แล้ว จึงให้แวดวงที่บรรทมด้วยม่าน ทำช่องไว้สี่ข้าง ให้คนเป่าสังข์นั่งอยู่ใต้ที่บรรทมไม่ให้พระโพธิสัตว์เห็นตัว ให้เป่าสังข์ขึ้นพร้อมกันได้มีเสียงกังวานพร้อมกัน นางนมทั้งหลายให้พระมหาสัตว์ บรรทมเหนือที่บรรทม อมาตย์ ๔ คน ยืนอยู่ที่ข้างทั้ง ๔ แลดูอิริยาบถของพระมหาสัตว์ตามช่องม่าน มิได้เห็นวิการแห่งพระหัตถ์พระบาท หรือเพียงกระดิกไหว อันเผลอพระสติของพระมหาสัตว์ แม้วันหนึ่ง. พระราชาตรัสถามพวกราชบุรุษว่า ลูกของเราไหวมือหรือเท้าบ้างหรือไม่? ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า หามิได้เลย พระเจ้าข้า. ทรงหารือว่า พวกเราจะทำอย่างไร. แม้ทดลองด้วยเป่าสังข์ ในระหว่างๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์เลย.
               แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารกสิบเอ็ดขวบ ย่อมกลัวเสียงกลอง ควรจะทดลองพระกุมารด้วยเสียงกลอง (เมื่อล่วงไปหนึ่งปี). อมาตย์ทั้งหลาย แม้ทดลองด้วยเสียงกลองในระหว่างๆ อย่างนั้นแลเป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.
               แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารกสิบสองขวบ ย่อมกลัวประทีป พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยประทีป กราบทูลดังนี้แล้ว ให้พระโพธิสัตว์บรรทมในที่มืดเวลาราตรี คิดว่า พระกุมารจะยังพระหัตถ์หรือพระบาทให้ไหวหรือไม่หนอ ทำประทีปให้ลุกโพลงในหม้อทั้งหลาย ให้ดับประทีปอื่นๆ เสีย ให้พระโพธิสัตว์บรรทมหน่อยหนึ่ง ในที่มืด แล้วยกหม้อประทีปน้ำมันทั้งหลายขึ้น ทำให้สว่างพร้อมกันทีเดียว พิจารณาดูอิริยาบถของพระโพธิสัตว์ ก็มิได้เห็นแม้สักว่า ความไหวพระกายของพระมหาสัตว์. แม้ทดลองด้วยประทีปในระหว่างๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นแม้เพียงความไหวอะไรๆ ของพระโพธิสัตว์. พระราชาตรัสถามพวกราชบุรุษว่า ลูกของเราไหวมือหรือเท้าบ้างหรือไม่? ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า หามิได้เลย พระเจ้าข้า. ทรงหารือว่า พวกเราจะทำอย่างไร.
               แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารกสิบสามขวบย่อมกลัวแมลงวัน พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยน้ำอ้อย กราบทูลดังนี้แล้ว จึงเอาน้ำอ้อยทาทั่วพระสรีระพระโพธิสัตว์ แล้วให้บรรทมในสถานที่มีแมลงวันชุกชุม เลี้ยงบำรุงแมลงวันทั้งหลาย แมลงวันเหล่านั้นก็ตอมพระสรีระทั้งสิ้นแห่งพระโพธิสัตว์ กินน้ำอ้อย ดุจแทงด้วยเข็มเป็นอันมาก. พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า เราตายในปากแมลงวันทั้งหลายดีกว่าตายในนรกอเวจี จึงอดกลั้นทุกขเวทนา ไม่หวั่นไหวเลย ดุจพระมหาเถระเข้านิโรธสมาบัติ. แม้ทดลองด้วยน้ำอ้อยในระหว่างๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็น แม้เพียงความไหวอะไรๆ ของพระโพธิสัตว์. พระราชาตรัสถามพวกราชบุรุษว่า ลูกของเราไหวมือหรือเท้าบ้างหรือไม่? ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า หามิได้เลย พระเจ้าข้า. ทรงหารือว่า พวกเราจะทำอย่างไร.
               แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ เมื่อเวลาทารกมีอายุได้สิบสี่ขวบ ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว บัดนี้พระกุมารนี้เป็นผู้ใหญ่ ใคร่ของสะอาด รังเกียจของโสโครก พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยของโสโครก กราบทูลดังนี้แล้ว ตั้งแต่นั้นมาไม่สรงสนานพระโพธิสัตว์ ไม่จัดให้ลงบังคน ไม่ช่วยให้ลุกจากที่บรรทม. พระโพธิสัตว์ก็ลงบังคนหนักเบาบรรทมเกลือกกลั้วอยู่ในที่นั้นนั่นเอง ก็เพราะกลิ่นเหม็น. กาลนั้นได้เป็นเสมือน กาลสำแดงพระอัธยาศัยภายในแห่งพระโพธิสัตว์ออกมาภายนอก แมลงวันทั้งหลายก็มาตอมกิน อยู่ที่พระสรีระของพระโพธิสัตว์. คราวนั้นพระชนกพระชนนีประทับนั่งล้อม พระโพธิสัตว์ ตรัสอย่างนี้ว่า พ่อเตมิยกุมาร บัดนี้พ่อก็โตแล้ว ใครเขาจะประคับประคองพ่อเสมอไป พ่อไม่ละอายหรือ พ่อนอนอยู่ทำไม ลุกขึ้นชำระร่างกายซิ แล้วตรัสตัดพ้อบริภาษ พระโพธิสัตว์ แม้จมอยู่ในกองคูลซึ่งปฏิกูลอย่างนั้น ก็ทรงวางพระอารมณ์เป็นกลาง เพราะทรงพิจารณาเห็นความมีกลิ่นเหม็นของคูถนรก ซึ่งสามารถฟุ้งตลบขึ้นในใจของผู้ที่แม้ยืนอยู่ในที่สุด ของร้อยโยชน์ เพราะมีกลิ่นเหม็น แม้ทดลองด้วยของโสโครกในระหว่างๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.
               แต่นั้น คณะอมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ธรรมดาทารก สิบห้าขวบย่อมกลัวความร้อน พวกข้าพระองค์จักทดลองพระกุมารด้วยถ่านเพลิง. ลำดับนั้น อมาตย์ทั้งหลายได้วางกระเบื้องเต็มด้วยไฟไว้ใต้พระแท่นของพระโพธิสัตว์ด้วยคิดว่า อย่างไรเสีย พระกุมารถูกความร้อนเบียดเบียน เสวยทุกขเวทนา เมื่ออดกลั้นทุกขเวทนาไม่ได้ ก็พึงแสดงความกระดิกไหวพระหัตถ์หรือพระบาทบ้าง. นางนมทั้งหลายให้พระมหาสัตว์บรรทมเหนือพระแท่นแล้วออกมาเสีย พระมหาสัตว์ถูกความร้อนเบียดเบียน เปลวไฟปรากฎเหมือนลุกโพลงทั่วพระสรีระของพระมหาสัตว์ แม้พระมหาสัตว์ก็ทรงโอวาทพระองค์เองว่า แน่ะ พ่อเตมิยกุมาร ความร้อนในนรกอเวจีแผ่ไปตั้งร้อยโยชน์ ทำลายนัยน์ตาของบรรดาสัตว์ที่อยู่ในที่ร้อยโยชน์ได้ ความร้อนแห่งเพลิงนี้ยังดีกว่าความร้อนในนรกนั้นตั้งร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า ดังนี้แล้วทรงอดกลั้น ความร้อนนั้นเสีย มิได้หวั่นไหวเลย เหมือนผู้เข้านิโรธสมาบัติ. ลำดับนั้น พระชนกพระชนนีของพระโพธิสัตว์ ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ถูกความทุกข์เบียดเบียน ก็เป็นเหมือนพระหฤทัยจักแตก จึงแหวกฝูงชนเข้าไปนำพระโพธิสัตว์ออกมาจากความร้อนของไฟนั้น แล้วตรัสวิงวอนพระโพธิสัตว์ว่า พ่อเตมิยกุมาร พวกเรารู้ว่า มิใช่คนง่อยคนเปลี้ยเป็นต้น เพราะคนพิการเหล่านั้นมิได้มีมือ เท้า ปากและช่องหูอย่างนี้ พ่อเป็นบุตรที่พวกเราปรารถนาจึงได้ พ่ออย่าให้พวกเราฉิบหายเลย พ่อจงเปลื้องพวกเราจากครหาแต่สำนักพระราชาทั่วชมพูทวีปเถิด. แม้พระชนกพระชนนีวิงวอนถึงอย่างนี้ พระโพธิสัตว์ก็บรรทมนิ่ง เหมือนมิได้ทรงสดับพระวาจานั้น. ลำดับนั้น พระชนกพระชนนีของพระโพธิสัตว์ก็ทรงกันแสงเสด็จหลีกไป บางคราวพระชนกของพระโพธิสัตว์ แต่พระองค์เดียวเสด็จเข้าไปวิงวอนพระโพธิสัตว์ บางคราวก็พระชนนี แต่พระองค์เดียวเสด็จเข้าไปวิงวอนพระโพธิสัตว์ บางคราวทั้งสองพระองค์เสด็จเข้าไปวิงวอนด้วยกัน. แม้ทดลองด้วยถ่านเพลิงในระหว่างๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.
               ลำดับนั้น กาลเมื่อพระโพธิสัตว์มีพระชนม์ได้สิบหกพรรษา หมู่อมาตย์และพราหมณ์เป็นต้น คิดกันว่าพระกุมารเป็นง่อยเปลี้ยก็ตาม เป็นใบ้ก็ตาม เป็นคนหนวกก็ตาม หรือไม่เป็นก็ตาม จงยกไว้. เมื่อวัยเปลี่ยนแปรไป บุคคลชื่อว่าไม่กำหนัดในอารมณ์ที่น่ากำหนัด ย่อมไม่มี. ชื่อว่าไม่ดูในอารมณ์ที่น่าดู ย่อมไม่มี. ชื่อว่าไม่ยินดีในอารมณ์ที่น่ายินดี ย่อมไม่มี. เมื่อถึงคราวแล้ว ความกำหนัดยินดีนี้ย่อมมีเป็นธรรมดา เหมือนความแย้มบานของดอกไม้ ฉะนั้น. พวกเราจักให้เหล่านางสนมนักฟ้อนรำบำเรอพระกุมาร ทดลองพระกุมารด้วยนางสนมนักฟ้อนรำเหล่านั้น. ลำดับนั้น พระเจ้ากาสิกราชมีรับสั่งให้เรียกหญิงฟ้อนรำ ทรงรูปอันอุดม สมบูรณ์ด้วยความงามดังเทพอัปสร ตรัสกะหญิงทั้งหลายว่า บรรดาเธอทั้งหลาย หญิงใดสามารถทำให้พระกุมารร่าเริง หรือผูกพันไว้ด้วยอำนาจกิเลสได้ หญิงนั้นจักได้เป็นอัครมหสีของพระกุมารนั้น. นางนมทั้งหลายสรงสนานพระกุมารด้วยน้ำหอม ตกแต่งพระกุมารราวกะเทพบุตร ให้บรรทมบนพระที่สิริไสยาสน์ที่ตกแต่งไว้ดีแล้ว ในห้องมีสิริเช่นกับเทพวิมาน ทำให้เป็นที่ลุ่มหลงเพราะกลิ่นหอมอย่างเอกภายในห้อง ด้วยพวงของหอม พวงระเบียบดอกไม้ พวกบุปผชาติ และจุรณ์แห่งธูป และเครื่องอบเป็นต้น แล้วหลีกไป. ลำดับนั้น หญิงเหล่านั้นพากันแวดล้อมพระโพธิสัตว์ พยายามให้พระโพธิสัตว์อภิรมย์ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้องบ้าง ด้วยกล่าวคำไพเราะเป็นต้นบ้าง มีประการต่างๆ เพราะความที่พระโพธิสัตว์เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยพระปรีชา พระองค์จึงมิได้ทอดพระเนตรดูหญิงเหล่านั้น ทรงอธิษฐานว่า หญิงเหล่านี้อย่าได้ถูกต้องสรีระของเรา แล้วทรงกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ. ครั้งนั้น พระสรีระของพระโพธิสัตว์แข็งกระด้างหญิงเหล่านั้น เมื่อไม่ได้ถูกต้องพระสรีระของพระโพธิสัตว์ คิดว่า พระกุมารนี้มีสรีระแข็งกระด้าง คงไม่ใช่มนุษย์จักเป็นยักษ์ ทั้งกลัวทั้งสะดุ้ง ไม่อาจที่จะดำรงตนอยู่ได้ จึงพากันหนีไป แม้ทดลองด้วยหญิงทั้งหลายในระหว่างๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็มิได้เห็นความพิรุธของพระโพธิสัตว์.
               หมู่อมาตย์ พราหมณ์ พระราชา แม้ทดลองด้วยการทดลองอย่างใหญ่สิบหกครั้ง และด้วยการทดลองอย่างน้อยมากครั้งอย่างนี้ ก็ไม่สามารถจะกำหนดจับพิรุธของพระโพธิสัตว์นั้นได้. ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามหญิงทั้งหลายว่า แม่มหาจำเริญทั้งหลาย ลูกของเราหัวเราะกับพวกเธอบ้างหรือไม่? หญิงทั้งหลายกราบทูลว่า หามิได้เลย พระเจ้าข้า. พระราชาทรงสดับคำของหญิงเหล่านั้นแล้ว ทรงร้อนพระหฤทัย เพราะเหตุนั้น มีรับสั่งให้เรียกพวกพราหมณ์ ผู้ทำนายลักษณะมาตรัสว่า ท่านพราหมณ์ผู้เจริญทั้งหลาย เมื่อพระกุมารประสูติ พวกท่านบอกแก่เราว่า พระกุมารนี้สมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะอันอุดม อันตรายไม่มีแก่พระกุมารนี้ บัดนี้ พระกุมารนั้นเป็นทั้งง่อยเปลี้ย เป็นทั้งใบ้ทั้งหนวก ถ้อยคำของพวกท่านไม่ทำให้เรายินดีเลย. ลำดับนั้น พราหมณ์ทั้งหลายกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช ขึ้นชื่อว่า นิมิต ที่อาจารย์ทั้งหลายของพวกข้าพระองค์ไม่เห็น ย่อมไม่มี อีกประการหนึ่ง พระกุมารนี้เป็นโอรสที่ราชตระกูลทั้งหลาย ปรารถนาจึงได้มา เมื่อพวกข้าพระองค์กราบทูลว่า เป็นกาลกรรณี ความโทมนัสก็จะพึงมีแด่พระองค์ เพราะเหตุนั้นพวกข้าพระองค์จึงไม่กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ถ้าเมื่อพระกุมารอยู่ในราชมณเฑียรนี้ จะปรากฏอันตราย ๓ อย่าง คือ อันตรายแห่งชีวิต อันตรายแห่งเศวตฉัตร อันตรายแห่งพระอัครมเหสี เพราะฉะนั้น ควรที่พระองค์จะชักช้าไม่ได้ โปรดให้จัดรถอวมงคล เทียมม้าอวมงคล ให้พระกุมารบรรทมบนรถนั้น นำออกทางประตูทิศตะวันตก ฝังเสียในป่าช้าผีดิบ. พระราชาได้ทรงสดับคำของ พราหมณ์เหล่านั้น ทรงกลัวภยันตราย จึงโปรดให้ทำอย่างนั้น.
               กาลนั้น พระนางจันทาเทวีได้ทรงสดับประพฤติเหตุนั้น จึงรีบเสด็จเข้าเฝ้าพระราชาแต่พระองค์เดียว ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พระองค์ได้พระราชทานพรแก่หม่อมฉันไว้ หม่อมฉันรับแล้ว ถวายฝากพระองค์ไว้ ขอพระองค์โปรดพระราชทานพรนั้น แก่หม่อมฉัน ในบัดนี้. พระราชาตรัสว่า จงรับเอาซิ พระเทวี. พระนางกราบทูลว่า ขอพระองค์ โปรดพระราชทานราชสมบัติแก่ลูกของหม่อมฉันเถิด. ตรัสว่า ให้ไม่ได้. พระเทวีทูลถามว่า เพราะเหตุไร. ตรัสว่า ลูกของเราเป็นกาลกรรณี. ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ถ้าไม่พระราชทานตลอดชีวิต ขอได้โปรดพระราชทานราชสมบัติเจ็ดปี. ตรัสว่า ให้ไม่ได้. พระเทวีทูลว่า ถ้าเช่นนั้น ขอได้โปรดพระราชทานราชสมบัติหกปี พระเจ้าข้าตรัสว่า ให้ไม่ได้. พระเทวีทูลว่า ถ้าเช่นนั้น ขอได้โปรดพระราชทานราชสมบัติห้าปี พระเจ้าข้า. ตรัสว่า ให้ไม่ได้ พระเทวี. พระนางจันทาเทวีทูลขอราชสมบัติลดเวลาลงเป็นลำดับ คือ สี่ปี สามปี สองปี ปีเดียว เจ็ดเดือน หกเดือน ห้าเดือน สี่เดือน สามเดือน สองเดือน เดือนเดียว ครึ่งเดือน จนถึงเจ็ดวัน พระราชาจึงพระราชทานอนุญาต. พระนางจึงให้ตกแต่งพระโอรสแล้วอภิเษกว่า ราชสมบัตินี้เป็นของเตมิยกุมาร ให้ป่าวร้องทั่วพระนคร ให้ประดับพระนครทั้งสิ้น ให้พระโอรสประทับบนคอช้าง ให้ยกเศวตฉัตรเบื้องบนพระเศียรพระโอรส ทำประทักษิณพระนคร ให้พระโอรสผู้เสด็จมาบรรทมบนพระยี่ภู่อันมีสิริ ตรัสวิงวอนตลอดคืนและวัน ถึงห้าวันว่า พ่อเตมิยะ แม่ไม่เป็นอันหลับนอนร้องไห้อยู่ ถึงสิบหกปีเพราะพ่อ ดวงตาทั้งสองของแม่ฟกช้ำ หัวใจของแม่เหมือนจะแตกด้วยความโศก แม่รู้ว่า พ่อไม่ใช่ง่อยเปลี้ย เป็นต้นเลย พ่ออย่าทำให้แม่หาที่พึ่งมิได้เลย. ครั้นถึงวันที่หก พระราชารับสั่งให้หานายสารภี ชื่อสุนันทะ มาตรัสสั่งว่า พ่อสุนันทสารถี พรุ่งนี้ เจ้าจงเทียมม้าอวมงคลคู่หนึ่ง ที่รถอวมงคลแต่เช้าทีเดียว ให้พระกุมารนอนบนรถนั้น นำออกทางประตูทิศตะวันตก ประกาศว่า คนกาลกรรณี จงขุดหลุมสี่เหลี่ยมที่ป่าช้าผีดิบ ใส่พระกุมารในหลุมนั้นแล้ว เอาสันจอบทุบศีรษะให้ตาย กลบดินข้างบนทำดินให้พูนขึ้น อาบน้ำแล้วกลับมา นายสารถีทูลรับพระราชดำรัสว่า ดีแล้ว.
               พระเทวีได้สดับดังนั้น ก็เป็นเหมือนพระหฤทัยแตกทำลาย เสด็จไปสำนักพระโอรส วิงวอนพระกุมารตลอดราตรี ตรัสว่า พ่อเตมิยะ พระเจ้ากาสิกพระราชบิดาของพ่อ มีพระราชดำรัสสั่ง ให้ฝั่งพ่อในป่าช้าผีดิบในวันพรุ่งนี้แต่เช้าทีเดียว พ่อจะตายแต่เช้าพรุ่งนี้นะลูก พระมหาสัตว์ได้สดับดังนั้น ก็มีพระมนัสยินดี ทรงดำริว่า พ่อเตมิยะ ความพยายามที่เจ้าทำมาสิบหกปี จะถึงที่สุดแห่งมโนรถของเจ้า ในวันพรุ่งนี้แล้ว. เมื่อพระมหาสัตว์ทรงดำริอยู่อย่างนี้ ก็เกิดปิติขึ้นในภายในพระกมล ส่วนพระหฤทัยของพระมารดาพระมหาสัตว์ ได้เป็นทุกข์เหมือนจะแตกทำลาย แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น พระมหาสัตว์ ก็ทรงดำริว่า ถ้าเราจักพูด มโนรถของเราก็จักไม่ถึงที่สุด ดังนี้จึงไม่ตรัสกับพระชนนี้นั้น. ลำดับนั้น ครั้นราตรีนั้นล่วงไปรุ่งขึ้นเช้า พระเทวีสรงสนานพระมหาสัตว์ ตกแต่งองค์แล้ว ให้ประทับนั่งบนพระเพลาประทับ นั่งสวมกอดพระมหาสัตว์นั้น. ครั้งนั้น นายสุนันทสารถีเทียมรถแต่เช้าทีเดียว เทวดาดลใจให้เทียมม้ามงคล ที่รถมงคล ด้วยอานุภาพแห่งพระมหาสัตว์หยุดรถไว้แทบพระราชทวาร ขึ้นยังพระราชนิเวศน์ เข้าสู่ห้องอันเป็นสิริ ถวายบังคมพระเทวี แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระเทวี ขอพระแม่เจ้าอย่าได้กริ้วข้าพระบาท ข้าพระบาทรับพระราชบัญชามา กราบทูลดังนี้แล้ว เอาหลังมือกันให้พระเทวีผู้นั่งสวมกอดพระโอรสอยู่หลีกไป อุ้มพระกุมารดุจกำดอกไม้ลงจากปราสาท. กาลนั้น พระนางจันทาเทวีสยายพระเกศา ข้อนพระทรวง ทรงปริเทวนาการดังสนั่นอยู่กับหมู่นางสนมในประสาท.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทอดพระเนตรเห็นพระมารดา ทรงกันแสง ก็เป็นเหมือนมีพระหฤทัยแตกทำลายเป็นเจ็ดเสี่ยง ทรงดำริว่า เมื่อเราไม่พูดกับพระชนนี พระชนนีของเราจักมีพระหฤทัยทำลายวายพระชนม์ จึงทรงใคร่จะพูดด้วย แต่ทรงดำริต่อไปว่า ถ้าเราจักพูดกับพระมารดา ความพยายามที่เราทำมาสิบหกปี ก็จักหาประโยชน์มิได้ แต่เมื่อไม่พูด เราจักเป็นประโยชน์แก่ตนเอง แก่พระชนกพระชนนี และแก่มหาชน ทรงดำริดังนี้จึงทรงกลั้นโศกาดูรเสียได้ ไม่ตรัสกับพระชนนี.
               ลำดับนั้น นายสุนันทสารถีให้พระมหาสัตว์ขึ้นรถแล้ว แม้คิดว่า เราจักขับรถตรงไปประตูทิศตะวันตก ถูกเทวดาดลใจด้วยอานุภาพแห่งพระมหาสัตว์ ยังรถให้กลับแล้วขับรถตรงไปประตูทิศตะวันออก ครั้งนั้น ล้อรถกระทบธรณีประตู พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับเสียงนั้น ทรงดำริว่า มโนรถของเราถึงที่สุดแล้ว ได้มีพระมนัสแช่มชื่นเป็นอย่างยิ่ง รถแล่นออกจากพระนครไปถึงสถานที่สามโยชน์ ชัฏป่าในที่ตรงนั้น ปรากฏแก่นายสารถีดุจป่าช้าผีดิบ นายสารถีกำหนดว่า ที่นี้ผาสุก จึงแวะรถจากทางเข้าที่ข้างทาง ลงจากรถเปลื้องเครื่องแต่งองค์ของพระมหาสัตว์ ห่อวางไว้ แล้วถือจอบลงมือขุดหลุมสี่เหลี่ยมในที่ไม่ไกลรถ แต่นั้นพระมหาสัตว์ทรงดำริว่า กาลนี้เป็นกาลพยายามของเรา ก็เราพยายามถึงสิบหกปี ไม่ไหวมือและเท้า กำลังของเรายังมีอยู่ หรือว่าไม่มีหนอ? ดังนี้แล้วลุกขึ้น ลูบมือขวาด้วยมือซ้าย ลูบมือซ้ายด้วยมือขวา นวดพระบาททั้งสองด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง เกิดดวงจิตคิดจะลงจากรถ ขณะนั้นแผ่นดินได้สูงขึ้นจดท้ายรถ ตรงที่ประดิษฐานพระบาทแห่งพระมหาสัตว์ ดุจผิวฝุ่นที่เต็มด้วยลมฟุ้งขึ้น ฉะนั้น.
               พระมหาสัตว์เสด็จลงจากรถ ทรงดำเนินไปมาสิ้นเวลาเล็กน้อย ก็ทรงทราบโดยนิยามนี้ว่า เรายังมีกำลังที่จะเดินทางไกลถึงร้อยโยชน์ได้ ในวันเดียว. เมื่อทรงพิจารณาพระกำลังว่า หากนายสารถีประทุษร้ายเรา กำลังของเราที่จะต่อสู้กับนายสารถีมีอยู่ หรือหนอ. จึงทรงจับท้ายรถยกขึ้น ประทับยืนกวัดแกว่งรถนั้น ดุจจับยานเครื่องเล่นของพวกเด็ก ฉะนั้น. เมื่อทรงกำหนดว่า กำลังที่จะต่อสู้กับนายสารถีของพระองค์ยังมีอยู่ จึงมีพระประสงค์จะได้เครื่องประดับองค์. ในขณะนั้นเองพิภพแห่งท้าวสักกเทวราชได้แสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงอาวัชนาการก็ทรงทราบเหตุนั้น ทรงดำริว่า ความปรารถนาของเตมิยกุมารถึงที่สุดแล้ว. บัดนี้ เธอต้องการเครื่องประดับ เครื่องประดับของมนุษย์เธอจะต้องการทำไม. เราจักให้เตมิยกุมารประดับองค์ด้วยเครื่องประดับทิพย์ จึงตรัสเรียกพระวิสสุกรรมเทวบุตรมา มอบเครื่องประดับทิพย์แล้ว ทรงส่งไปโดยตรัสสั่งว่า ไปเถิด พ่อจงประดับเตมิยกุมารราชโอรสของพระเจ้ากาสิกราช ด้วยเครื่องประดับทิพย์. พระวิสสุกรรมเทพบุตร ฟังคำท้าวสักกะ รับเทวโองการแล้วไปมนุษยโลก ไปยังสำนักพระมหาสัตว์ โพกพระเศียรพระมหาสัตว์ด้วยผ้าทิพย์หมื่นรอบ ประดับพระมหาสัตว์ให้เป็นเหมือนท้าวสักกะ ด้วยเครื่องประดับทั้งเป็นของทิพย์ และของมนุษย์ แล้วกลับไปที่อยู่ของตน. พระมหาสัตว์เสด็จไปยังที่ขุดหลุมของนายสารถี ด้วยการเยื้องกรายของท้าวสักกเทวราช ประทับยืนที่ริมหลุม.
               เมื่อจะตรัสถามนายสารถีนั้น ได้ตรัสคาถาที่สามว่า
               แน่ะนายสารถี ท่านจะรีบขุดหลุมไปทำไม เราถามท่านแล้ว ท่านจงบอกแก่เราเถิดเพื่อน ท่านจะใช้หลุมทำประโยชน์อะไร.
               นายสารถีได้ฟังดังนั้น ขุดหลุมมิได้เงยหน้าขึ้นดู กล่าวคาถาที่สี่ทูลตอบว่า
               พระโอรสของพระราชา เป็นใบ้เป็นหนวกเป็นง่อยเปลี้ย เหมือนไม่มีพระมนัส พระราชาตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า ฝังลูกเราเสียในป่า.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวกะนายสารถีว่า
               ดูก่อนนายสารถี ข้าพเจ้ามิได้เป็นคนหนวก มิได้เป็นคนใบ้ มิได้เป็นคนง่อยเปลี้ย มิได้มีอินทรีย์วิกลวิการ ถ้าท่านฝังข้าพเจ้าในป่า ท่านก็ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เชิญท่านดูขาและแขนของข้าพเจ้า และเชิญฟังคำภาษิตของข้าพเจ้า ถ้าท่านฝังข้าพเจ้าเสียในป่า ท่านก็ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม.
               แต่นั้น นายสารถีคิดว่า นี่ใครหนอ ตั้งแต่มาก็สรรเสริญแต่ตนเท่านั้น เขาหยุดขุดหลุมเงยหน้าขึ้นดู ได้เป็นรูปสมบัติของพระมหาสัตว์ เมื่อยังไม่รู้จักพระมหาสัตว์ว่า ชายคนนี้เป็นมนุษย์หรือเทวดาหนอ
               จึงกล่าวคาถานี้ว่า
               ท่านเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกเทวราชผู้ให้ทานในก่อน ท่านเป็นใคร หรือเป็นบุตรของใคร พวกเราจะรู้จักท่านได้อย่างไร?
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะสำแดงตนให้แจ้งและแสดงธรรม จึงตรัสคาถาว่า
               เรามิใช่เทวดา มิใช่คนธรรพ์ มิใช่ท้าวสักกะผู้ให้ทานในก่อน เราที่ท่านจะฆ่าเสียในหลุม เป็นโอรสของพระเจ้ากาสิกราช เราเป็นโอรสของพระราชา ผู้ที่ท่านพึงพระบารมีเลี้ยงชีพอยู่เสมอ แน่ะนายสารถี ถ้าท่านฝังเราเสียในป่า ท่านก็ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม บุคคลนั่งหรือนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นคนลามก พระราชาเป็นเหมือนต้นไม้ เราเป็นเหมือนกิ่งไม้ ตัวท่านเป็นเหมือนคนอาศัยร่มเงา ถ้าท่านฝังเราเสียในป่า ท่านก็ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม.
               เมื่อพระโพธิสัตว์ แม้ตรัสถึงอย่างนี้ นายสารถีก็ยังไม่เชื่ออยู่นั่นเอง. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงดำริว่า เราจักทำให้นายสารถีนั้นเชื่อ ทรงทำป่าชัฏให้บันลือลั่นด้วยเสียงสาธุการของเหล่าเทวดา และด้วยคำโฆษณาของพระองค์.
               เมื่อจะตรัสคาถาบูชามิตร ๑๐ คาถา จึงตรัสว่า

๑. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร ชนเป็นอันมากอาศัยบุคคลผู้นั้นเลี้ยงชีพ บุคคลผู้นั้นจากเรือนของตนไปที่ไหนๆ ย่อมมีภักษาหารมากมาย.

๒. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคลผู้นั้นไปสู่ชนบท นิคม ราชธานีใดๆ ย่อมเป็นผู้อันหมู่ชนในที่นั้นๆ ทั้งหมดบูชา.

๓. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร โจรทั้งหลายไม่ข่มเหงบุคคลผู้นั้น กษัตริย์ก็มิได้ดูหมิ่นบุคคลผู้นั้น บุคคลผู้นั้นย่อมข้ามพ้นหมู่อมิตรทั้งปวง.

๔. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคลผู้นั้นจะมาสู่เรือนของตนด้วย มิได้โกรธเคืองใครๆ มาได้ความยินดีปรีดาในสภาที่ประชุม เป็นผู้สูงสุดของหมู่ญาติ.

๕. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคลผู้นั้นสักการะคนอื่น ก็จะเป็นผู้อันคนอื่นสักการะตน เคารพคนอื่น ก็จะเป็นผู้อันคนอื่น เคารพตน ย่อมเป็นผู้ได้รับความยกย่องและเกียรติคุณ.

๖. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหลามิตร บุคคลผู้นั้นบูชาผู้อื่น ก็ย่อมได้บูชาตอบ ไหว้ผู้อื่น ก็ย่อมได้ไหว้ตอบ และย่อมถึงยศและเกียรติ.

๗. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคลผู้นั้นย่อมรุ่งเรืองดุจกองเพลิง ย่อมไพโรจน์ดุจเทวดา มีสิริประจำตัว.

๘. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร โคทั้งหลายของบุคคลผู้นั้นย่อมเกิด พืชที่หว่านไว้ในนาย่อมงอกงาม บุคคลผู้นั้นย่อมได้บริโภคผลของพืชที่หว่านไว้.

๙. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร บุคคลผู้นั้นตกเหว ตกภูเขา หรือตกต้นไม้ ย่อมได้ที่พึ่งอาศัยไม่เป็นอันตราย.

๑๐. บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายเหล่ามิตร เหล่าอมิตรย่อมย่ำยีบุคคลผู้นั้นไม่ได้ ดุจต้นไทรมีรากและย่านงอกงาม พายุไม่อาจพัดพานให้ล้มได้ ฉะนั้น.

               สุนันทสารถีได้ฟังดังนั้น แม้พระมหาสัตว์ทรงแสดงธรรม ด้วยคาถามีประมาณเท่านี้ ก็ยังจำพระองค์ไม่ได้ หยุดขุดหลุมด้วยคิดว่า คนนี้ใครหนอแล้วลุกขึ้นเดินไปใกล้รถ ไม่เห็นพระมหาสัตว์และห่อเครื่องประทับทั้งสองอย่าง จึงกลับมาแลดูพระองค์ ก็จำพระองค์ได้ จึงหมอบลงแทบพระบาทแห่งพระมหาสัตว์ ประคองอัญชลีทูลวิงวอน กล่าวคาถานี้ว่า
               ขอพระองค์เสด็จมาเถิด ข้าพระบาทจักนำพระองค์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสกลับสู่มณเฑียรของพระองค์ ขอพระองค์จงครองราชสมบัติ ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ พระองค์จักทรงทำอะไรในป่า.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงตรัสกะนายสารถีว่า
               แน่ะนายสารถี เราไม่ต้องการด้วยราชสมบัติ ที่เราจะพึงได้ด้วยการประพฤติอธรรม พร้อมด้วยญาติและทรัพย์.
               นายสารถีกราบทูลว่า
               ข้าแต่พระราชบุตร พระองค์เสด็จกลับจากที่นี้ จะทำให้ข้าพระองค์ได้รางวัลเครื่องยินดี. เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว พระชนกและพระชนนี จะพระราชทานรางวัลเครื่องยินดีแก่ข้าพระองค์. ข้าแต่พระราชบุตร เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว นางสนม กุมาร พ่อค้า และพราหมณ์เหล่านั้นจะยินดีให้รางวัลแก่ข้าพระองค์ . ข้าแต่พระราชบุตร เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว กองทัพช้าง กองทัพม้า กองทัพรถ กองทัพราบ แม้เหล่านั้นจะยินดีให้รางวัลแก่ข้าพระองค์. ข้าแต่พระราชบุตร เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปแล้ว ชาวชนบท ชาวนิคม ผู้มีธัญญาหารมาก จะประชุมกันให้เครื่องบรรณาการแก่ข้าพระองค์.
               พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้นแล้ว ตรัสว่า
               พระชนกและพระชนนี สละเราแล้ว. ชาวแว่นแคว้น ชาวนิคมและกุมารทั้งปวง ก็สละเราแล้ว. เราไม่มีเหย้าเรือนของตน พระชนนีทรงอนุญาตเราแล้ว พระชนกก็ทรงสละเราจริงๆแล้ว เราจะบวชอยู่ในป่าคนเดียว ไม่ปรารถนากามคุณทั้งหลาย.
               เมื่อพระมหาสัตว์ตรัสคุณธรรมของพระองค์อยู่อย่างนี้ พระปีติได้เกิดขึ้นแล้ว แต่นั้นเมื่อทรงเปล่งพระอุทาน ด้วยกำลังพระปีติ จึงตรัสว่า
               ความหวังผลของเหล่าบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมสำเร็จแน่นอน เรามีพรหมจรรย์สำเร็จแล้ว ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด นายสารถี ประโยชน์โดยชอบของเหล่าบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมให้ผลแน่นอน เรามีพรหมจรรย์สำเร็จแล้ว ออกบวชแล้ว จะมีภัยแต่ไหนเล่า.
               นายสารถีกราบทูลว่า
               พระองค์มีพระดำรัสไพเราะ และมีพระวาจาสละสลวยอย่างนี้ เหตุไฉนจึงไม่ตรัสในสำนักแห่งพระชนกและพระชนนี ในกาลนั้นเล่า.
               แต่นั้น พระมหาสัตว์ตรัสว่า
               เราเป็นง่อยเปลี้ย เพราะไม่มีเครื่องติดต่อก็หาไม่ เราเป็นหนวก เพราะไม่มีช่องหูก็หาไม่ เราเป็นใบ้ เพราะไม่มีลิ้นก็หาไม่ ท่านอย่าเข้าใจว่า เราเป็นใบ้.
               เราระลึกชาติปางก่อนที่เราเสวยราชสมบัติได้ เราได้เสวยราชสมบัติในกาลนั้นแล้ว ต้องไปตกนรกอันกล้าแข็ง เราได้เสวยราชสมบัติในกาลนั้นยี่สิบปี ต้องหมกไหม้อยู่ในนรก ๘๐,๐๐๐ ปี เรากลัวจะต้องเสวยราชสมบัตินั้น ขอชนทั้งหลายอย่าพึงอภิเษกเราในราชสมบัติเลย เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่พูดในสำนักของพระชนกและพระชนนีในกาลนั้น.
               พระชนกทรงอุ้มเราให้นั่งบนพระเพลา แล้วตรัสสั่งข้อความว่า จงฆ่าโจรคนหนึ่ง จงจองจำโจรคนหนึ่ง จงเอาหอกแทงโจรคนหนึ่ง แล้วเอาน้ำแสบราดแผล จงเสียบโจรคนหนึ่งบนหลาว ตรัสสั่งเจ้าหน้าที่นั้นอย่างนี้ เราได้ฟังพระวาจาอันหยาบคายที่พระชนกตรัสนั้น จึงกลัวการเสวยราชสมบัติ เรามิได้เป็นใบ้ ก็ทำเหมือนเป็นใบ้ มิได้เป็นง่อยเปลี้ย ก็ให้คนเข้าใจว่า ง่อยเปลี้ย แกล้งนอนเกลือกกลิ้งอยู่ในปัสสาวะ และอุจจาระของตน
               ชีวิตนั้นเป็นของลำบาก เป็นของน้อย ทั้งประกอบด้วยทุกข์ ใครเล่าจะอาศัยชีวิตนี้ ทำเวรด้วยเหตุการณ์หน่อยหนึ่ง ใครเล่าจะอาศัยชีวิตนี้ ทำเวรด้วยเหตุการณ์หน่อยหนึ่ง เพราะไม่ได้ปัญญา เพราะไม่เห็นธรรม. ความหวังผลของเหล่าบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมสำเร็จแน่นอน. เรามีพรหมจรรย์สำเร็จแล้ว ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด นายสารถี ประโยชน์โดยชอบของเหล่าบุคคลผู้ไม่รีบร้อน ย่อมให้ผลแน่นอน เรามีพรหมจรรย์สำเร็จแล้ว ออกบวชแล้ว จะมีภัยแต่ไหนเล่า.
               พระมหาสัตว์ได้ตรัสอุทานคาถาซ้ำอีก เพื่อประกาศความประสงค์ ไม่เสด็จกลับไปพระนคร เป็นมั่นคง.
               สุนันทสารถีได้ฟังดังนั้น คิดว่า พระกุมารนี้ทิ้งสิริราชสมบัติเห็นปานนี้ เหมือนทิ้งซากศพ ไม่ทำลายความตั้งใจมั่นของพระองค์ เข้าป่าด้วยหวังว่า จักผนวช เราจะต้องการอะไรด้วยชีวิตอันไม่สมประกอบนี้ แม้เราก็จักบวชกับด้วยพระกุมารนั้น คิดดังนี้แล้ว
               จึงกล่าวคาถาว่า
               ข้าแต่พระราชบุตร แม้ข้าพระองค์ก็จักบวชในสำนักของพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดตรัสเรียกให้ข้าพระองค์บวชด้วยเถิด ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ข้าพระองค์ชอบบวช.
               แม้นายสารถีทูลวิงวอนอย่างนี้ พระมหาสัตว์ทรงพระดำริว่า หากเราให้นายสารถีบวช ในบัดนี้ทีเดียว พระชนกพระชนนีของเราก็จักไม่เสด็จมาในที่นี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ความเสื่อมจักมีแก่พระชนกและพระชนนีทั้งสอง ม้า รถ และเครื่องประดับเหล่านี้ก็จักพินาศ แม้ความครหาก็จักเกิดขึ้นแก่เราว่า นายสารถีนั้นถูกพระราชกุมาร ผู้เป็นยักษ์กินเสียแล้ว ทรงพิจารณาเพื่อจะเปลื้องความครหาของพระองค์ และพิจารณาถึงความเจริญแห่งพระชนกและพระชนนี
               เมื่อทรงแสดงม้ารถและเครื่องประดับ ทำให้เป็นหนี้ของนายสารถีนั้น จึงตรัสคาถาว่า
               แน่ะนายสารถี ท่านจงไปมอบคืนรถ แล้วเป็นผู้ไม่มีหนี้เถิด เพราะผู้ไม่มีหนี้จึงบวชได้ การบวชนั้น ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งสรรเสริญแล้ว.
               นายสารถีได้ฟังดังนั้นคิดว่า เมื่อเราไปสู่พระนคร ถ้าพระกุมารนี้จะพึงเสด็จไปที่อื่น พระราชบิดาได้ทรงสดับข่าวนี้ แล้วเสด็จมาตรัสว่า จงแสดงลูกของเรา มิได้ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารนี้ จะพึงลงราชทัณฑ์แก่เรา เพราะฉะนั้น เราจะกล่าวคุณของตนแก่พระกุมารนี้ จักถือเอาคำปฏิญญาเพื่อไม่เสด็จไปที่อื่น คิดดังนี้แล้ว
               จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
               ข้าพระองค์ได้ทำตามพระดำรัส ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ พระองค์ควรจะทรงทำตามคำที่ข้าพระองค์ทูลวิงวอน ขอพระองค์จงประทับรออยู่ ณ ที่นี้ จนกว่าข้าพระองค์จะนำพระราชาเสด็จมา อย่างไรเสีย พระราชบิดาของพระองค์ทอดพระเนตรเห็นแล้ว คงทรงพระปีติโสมนัสเป็นแน่.
               แต่นั้น พระมหาสัตว์ตรัสว่า
               แน่ะนายสารถี เราจะกระทำตามคำของท่าน ที่ท่านกล่าวกะเรา แม้ตัวเราก็อยากเห็นพระชนกของเราเสด็จมาในที่นี้ จงกลับไปเถิดเพื่อนรัก ท่านจงทูลแก่พระญาติทั้งหลายด้วยก็เป็นการดี ท่านเป็นผู้ที่เราสั่งแล้ว จงกราบทูลถวายบังคมพระชนกพระชนนีของเรา.
               ครั้นตรัสดังนี้แล้ว พระมหาสัตว์ได้น้อมพระองค์ดุจลำต้นกล้วยทองคำ ผินพระพักตร์ไปทางกรุงพาราณสี ถวายบังคมพระชนกและพระชนนี ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วได้ประทานข่าวสาส์นแก่นายสารถี.
               นายสารถีรับข่าวสาส์นแล้ว ทำประทักษิณพระกุมาร ถวายบังคมแทบพระยุคลบาทของพระกุมาร ขึ้นรถแล้วขับตรงไปยังกรุงพาราณสี.
               พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความข้อนั้น ตรัสว่า
               นายสารถีจับพระบาททั้งสองของพระกุมาร และกระทำประทักษิณพระกุมารแล้ว ขึ้นรถเข้าไปสู่ประตูพระราชวัง.
               ในขณะนั้น พระนางจันทาเทวีเผยพระแกลคอยแล ดูการมาของนายสารถี ด้วยใคร่จะทรงทราบว่า ความเป็นไปของลูกเราเป็นอย่างไรหนอ พอทอดพระเนตรเห็น นายสารถีกลับมาแต่ผู้เดียว ก็เป็นประหนึ่งพระหฤทัยจะแตกทำลายไป ทรงคร่ำครวญแล้ว.
               พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความข้อนั้น ตรัสว่า
               พระชนนีทอดพระเนตรเห็นรถเปล่า มีแต่นายสารถีมาคนเดียว ก็มีพระเนตรทั้งสองนองไป ด้วยพระอัสสุชลทรงกันแสง ทอดพระเนตรดูนายสารถีนั้น ด้วยเข้าพระหฤทัยว่า นายสารถีนี้ฝังโอรสของเราเสียแล้ว โอรสของเรานายสารถีฝังเสียในแผ่นดิน ถมแผ่นดินแล้วเป็นแน่ ปัจจามิตรทั้งหลายจะยินดี ศัตรูทั้งหลายจะอิ่มใจเป็นแน่ เพราะเห็นนายสารถีมาแล้ว เพราะฝังโอรสของเราแล้ว.
               พระชนนีทอดพระเนตรเห็นรถเปล่า นายสารถีกลับมาแต่ผู้เดียว ก็มีพระเนตรทั้งสองนองไป ด้วยพระอัสสุชลทรงกันแสง ตรัสสอบถามนายสารถีนั้นว่า โอรสของเราเป็นใบ้หรือ เป็นง่อยหรือ ตรัสอะไรบ้างหรือ ในเวลาที่ถูกท่านฝังในแผ่นดิน จงบอกเนื้อความนั้นแก่เราเถิด นายสารถี โอรสของเราเป็นใบ้เป็นง่อย เขากระดิกมือเท้าอย่างไรบ้างไหม ในเมื่อถูกท่านฝังในแผ่นดิน เราถามท่านแล้ว ขอท่านจงบอกความนั้นแก่เรา.
               ลำดับนั้น นายสุนันทสารถีกราบทูลพระนางว่า

     ข้าแต่พระแม่เจ้า ขอพระแม่เจ้าโปรดประทานอภัยแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอกราบทูลตามที่ได้ฟังได้เห็นในสำนักพระราชโอรส แด่พระองค์.
               ลำดับนั้น พระนางจันทาเทวีจึงตรัสแก่นายสารถีนั้นว่า
               ดูก่อนนายสารถีผู้สหาย เราให้อภัยแก่ท่าน ท่านไม่ต้องกลัว จงกล่าวตามที่ท่านได้ฟัง หรือได้เห็นในสำนักของพระราชโอรส.
               แต่นั้น นายสารถีกราบทูลว่า
               พระราชโอรสนั้นมิได้เป็นใบ้ มิได้เป็นง่อยเปลี้ย พระองค์มีพระวาจาสละสลวย ได้ยินว่า พระองค์กลัวราชสมบัติ จึงได้ทรงทำการลวงเป็นอันมาก พระองค์ทรงระลึกถึงชาติก่อน ที่พระองค์ได้เสวยราชสมบัติ พระองค์เสวยราชสมบัติในกาลนั้นแล้ว ต้องไปตกนรกอันกล้าแข็ง พระองค์เสวยราชสมบัติ ในกาลนั้น ๒๐ ปี แล้วต้องหมกไหม้อยู่ในนรก ๘๐,๐๐๐ ปี. พระองค์กลัวจะต้องเสวยราชสมบัตินั้น ทรงอธิษฐานว่า ขอชนทั้งหลายอย่าถึงอภิเษกเราในราชสมบัติเลย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงไม่ตรัสในสำนักของพระชนกและพระชนนีในกาลนั้น. พระราชโอรสทรงสมบูรณ์ด้วยองคาพยพ มีพระรูปงดงามสมส่วน มีพระวาจาสละสลวย มีพระปัญญา ทรงดำรงอยู่ในมรรคาแห่งสวรรค์ ถ้าพระแม่เจ้ามีพระราชประสงค์ จะทอดพระเนตรเห็นพระราชโอรสของพระองค์ ก็ขอเชิญเสด็จเถิด ข้าพระองค์จะนำเสด็จพระแม่เจ้าไปให้ถึงที่ ที่พระเตมิยราชโอรสประทับอยู่.
               ฝ่ายเตมิยกุมาร ครั้นส่งนายสารถีไปแล้ว ใคร่จะทรงผนวช ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงทราบพระหฤทัยของพระกุมารนั้น จึงตรัสสั่งพระวิสสุกรรมเทพบุตรว่า พ่อวิสุกรรม พระเตมิยกุมารใคร่จะทรงผนวช ท่านจงไปสร้างบรรณศาลา และเครื่องบริขารแห่งบรรพชิตแก่พระกุมารนั้น. พระวิสสุกรรมเทพบุตรรับเทวโองการ แล้วลงมาจากสวรรค์ เนรมิตอาศรมขึ้นในราวป่าสามโยชน์ เนรมิตที่พักกลางคืน และกลางวัน และสระโบกขรณี ทำสถานที่นั้นให้สมบูรณ์ด้วยต้นไม้มีผลไม้ไม่จำกัดกาล เนรมิตที่จงกรมประมาณ ๒๕ ศอก ในที่ใกล้บรรณศาลา เกลี่ยทรายมีสี ดังแก้วผลึกภายในที่จงกรม และเนรมิตเครื่องบริขาร สำหรับบรรพชิตทุกอย่าง แล้วเขียนอักษรบอกไว้ที่ฝาว่า กุลบุตรผู้ใดผู้หนึ่งใคร่จะบวช จงถือเอาเครื่องบริขารสำหรับบรรพชิตเหล่านี้ บวชเถิด. แล้วให้เนื้อและนกใกล้อาศรมหนีไป เสร็จแล้วกลับไปยังที่อยู่ของตน.
               ขณะนั้น พระมหาสัตว์ทอดพระเนตรเห็นอาศรมบทนั้น ทรงอ่านหนังสือแล้ว ก็ทรงทราบว่า ท้าวสักกราชประทานให้ จึงแสดงเข้าบรรณศาลา เปลื้องภูษาของพระองค์ ทรงนุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดง ทรงห่มผ้านั้นผืนหนึ่ง ทำหนังเสือเฉวียงพระอังสา ทรงผูกมณฑลชฎา ยกคานเหนือพระอังสา ทรงถือธารพระกร เสด็จออกจากบรรณศาลา เมื่อจะให้สิริแห่งบรรพชิตเกิดขึ้น จึงเสด็จจงกรมกลับไปกลับมา ทรงเปล่งอุทานขึ้นว่า การบรรพชาที่เราได้แล้ว เป็นสุข เป็นสุขยิ่งหนอ แล้วเสด็จเข้าบรรณศาลา ประทับนั่งบนที่ลาดด้วยใบไม้ ยังอภิญญาห้า และสมาบัติแปดให้เกิด เสด็จออกจากบรรณศาลาในเวลาเย็น เก็บใบหมากเม่าที่เกิดอยู่ท้ายที่จงกรม นึ่งในภาชนะที่ท้าวสักกะประทานด้วยน้ำร้อนอันไม่มีรสเค็ม ไม่มีรสเปรี้ยว ไม่เผ็ด เสวย ดุจบริโภคอมฤตรส เจริญพรหมวิหารที่สำเร็จอิริยาบถอยู่ในที่นั้น.
               ฝ่ายพระเจ้ากาสิกราชได้ทรงสดับคำของสุนันทสารถี จึงตรัสสั่งให้เรียกมหาเสนาคุต รีบร้อนใคร่ให้ทำการตระเตรียมเสด็จ ตรัสว่า
               เจ้าหน้าที่ทั้งหลายจงเทียบรถเทียบม้า จงผูกเครื่องประดับช้าง จนกระทั่งสังข์และบัณเฑาะว์ จงตีกลองหน้าเดียว จงตีกลองสองหน้า และรำมะนาอันไพเราะ ขอชาวนิคมจงตามเรามา เราจักไปให้โอวาทแก่ลูกชาย. นางสนม กุมาร พ่อค้า และพราหมณ์ทั้งหลาย จงรีบเตรียมยาน เราจักไปให้โอวาทแก่ลูกชาย. พวกกองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ กองพลราบ จงรีบเตรียมยาน เราจักไปให้โอวาทแก่ลูกชาย. ชาวชนบทและชาวนิคม จงมาประชุมรีบเตรียมยาน เราจักไปให้โอวาทแก่ลูกชาย.
               นายสารถีทั้งหลาย ที่พระราชาตรัสสั่งอย่างนี้แล้ว ก็เทียมม้าจอดรถไว้ แทบประตูพระราชวัง แล้วกราบทูลให้ทรงทราบ.
               พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความข้อนั้น ตรัสว่า
               นายสารถีทั้งหลาย จูงม้าที่เทียมรถและม้าสินธพ ซึ่งเป็นพาหนะว่องไว มายังประตูพระราชวัง แล้วกราบทูลว่า ม้าทั้งสองพวกนี้เทียมเสร็จแล้ว.
               แต่นั้น พระราชาตรัสว่า
               ม้าอ้วนเสื่อมความว่องไว ม้าผอมเสื่อมถอยเรี่ยวแรง จงเว้นม้าผอมและม้าอ้วนเสีย จัดเทียมแต่ม้าที่สมบูรณ์.
               ลำดับนั้น พระราชา เมื่อเสด็จไปสำนักพระราชโอรส ตรัสสั่งให้ประชุมวรรณะ ๔ เสนี ๑๘ และพลนิกายทั้งหมด ประชุมอยู่สามวัน ในวันที่สี่ พระเจ้ากาสิกราชเสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยเสนา ให้เอาทรัพย์ที่พอจะเอาไปได้ไปด้วย เสด็จถึงอาศรมแห่งเตมิยราชฤาษี ทรงยินดีกับพระราชฤาษีผู้เป็นราชโอรส ทรงทำปฏิสันถารแล้ว.
               แต่นั้น พระราชารีบเสด็จขึ้นประทับบนม้าสินธพอันเทียมแล้ว ได้ตรัสกะนางข้างในว่า จงตามเราไปทุกคน เตรียมเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ๕ คือ พัด วาลวิชนี พระอุณหิส พระขรรค์ เศวตฉัตร และฉลองพระบาททอง ให้ขนขึ้นรถไปด้วย แต่นั้นพระราชาตรัสสั่ง ให้นายสารถีนำทางเสด็จเคลื่อนขบวน เข้าไปถึงสถานที่ ที่พระเตมิยราชฤาษีประทับอยู่โดยพลัน.
               พระเตมิยราชฤาษี ทอดพระเนตรเห็นพระราชบิดากำลังเสด็จมา ทรงรุ่งเรืองด้วยพระเดชานุภาพ ทรงแวดล้อมไปด้วยหมู่อมาตย์ จึงถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตรทรงปราศจากพระโรคาพาธหรือ ทรงเป็นสุขสำราญดีหรือ ราชกัญญาของพระองค์ และโยมมารดาของอาตมภาพ ไม่มีพระโรคาพาธหรือ.
               พระราชาตรัสตอบว่า
               พระลูกรัก ดิฉันไม่มีโรคาพาธ สุขสำราญดี ราชกัญญาทั้งปวงของดิฉัน และโยมมารดาของพระลูกรัก หาโรคภัยมิได้.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทูลถามพระราชาว่า
               ขอถวายพระพร มหาบพิตรไม่เสวยน้ำจัณฑ์ ไม่ทรงโปรดน้ำจัณฑ์หรือ พระหฤทัยของมหาบพิตรทรงยินดีในสัจจะ ในธรรม และในทานบ้างหรือ.
               ลำดับนั้น พระราชาตรัสตอบว่า
               พระลูกรัก ดิฉันไม่ดื่มน้ำจัณฑ์ ไม่โปรดน้ำจัณฑ์ อนึ่ง ใจของดิฉันยินดีในสัจจะ ในธรรมและในทาน.
               พระมหาสัตว์ทูลถามว่า
               พาหนะมีม้าและโคเป็นต้นของมหาบพิตร ที่เขาเทียมในยาน ไม่มีโรคหรือ นำอะไรๆ ไปได้หรือ มหาบพิตรไม่มีพยาธิที่เข้าไปแผดเผาพระสรีระหรือ.
               พระราชาตรัสตอบว่า
               พาหนะมีม้าและโคเป็นต้นของดิฉัน ที่เขาเทียมในยาน ไม่มีโรค อนึ่ง พาหนะนำอะไรๆ ไปได้ และดิฉันไม่มีพยาธิที่เข้าไปแผดเผาสรีระ.
               พระมหาสัตว์ทูลถามว่า
               ปัจจันตชนบทของมหาบพิตรยังเจริญดีอยู่หรือ คามนิคมในท่ามกลางรัฐสีมาของมหาบพิตร ยังเป็นปึกแผ่นดีหรือ ฉางหลวงและพระคลังของมหาบพิตรยังบริบูรณ์ดีอยู่หรือ.
               พระราชาตรัสว่า
               ปัจจันตชนบทของดิฉันยังเจริญดีอยู่ คามนิคมในท่ามกลางรัฐาสีมาของดิฉันยังเป็นปึกแผ่นดีอยู่ ฉางหลวงและพระคลังของดิฉันทั้งหมดยังบริบูรณ์ดีอยู่.
               พระมหาสัตว์ทูลถามว่า
               ขอถวายพระพร มหาบพิตรเสด็จมาดีแล้ว พระองค์เสด็จมาไกลก็เหมือนใกล้ ราชบุรุษทั้งหลาย จงทอดราชบัลลังก์ให้ประทับเถิด.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ตรัสว่า ถ้าพระราชาไม่ประทับนั่งบนบัลลังก์ ท่านทั้งหลายจงปูลาดเครื่องปูลาดใบไม้ให้ทีเถิด เมื่อทรงเชื้อเชิญพระราชาให้ประทับนั่งบนเครื่องปูลาดที่ปูลาดไว้นั้น ตรัสคาถาว่า
               ขอเชิญมหาบพิตรประทับนั่ง บนเครื่องปูลาดใบไม้ ที่เขากำหนดลาดไว้ เพื่อพระองค์ในที่นี้ จงทรงเอาน้ำแต่ภาชนะนี้ ล้างพระบาทของมหาบพิตรเถิด.
               ด้วยความเคารพต่อพระมหาสัตว์ พระราชามิได้ประทับนั่งบนเครื่องปูลาดใบไม้ ประทับนั่ง ณ พื้นดิน พระมหาสัตว์เสด็จเข้าบรรณศาลา นำใบหมากเม่านั้นออกมา เมื่อจะเชิญพระราชาให้เสวย จึงตรัสคาถาว่า
               มหาบพิตร ใบหมากเม่าของอาตมภาพนี้เป็นของสุก ไม่มีรสเค็ม ขอมหาบพิตรผู้เสด็จมาเป็นแขกของอาตมภาพจงเสวยเถิด.
               ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะพระมหาสัตว์ว่า
               ดิฉันไม่บริโภคใบหมากเม่า โภชนะของดิฉันไม่ใช่อย่างนี้เลย ดิฉันบริโภคข้าวสุกแห่งข้าวสาลี ที่ปรุงด้วยมังสะอันสะอาด.
               ก็แลครั้นตรัสห้ามแล้ว พระราชาทรงสรรเสริญโภชนะของพระองค์ แล้วทรงหยิบใบหมากเม่าหน่อยหนึ่ง วางไว้ในฝ่าพระหัตถ์ ด้วยทรงเคารพในพระมหาสัตว์ แล้วตรัสถามว่า พ่อเสวยโภชนะ อย่างนี้ดอกหรือ. พระมหาสัตว์ทูลรับว่า ใช่ มหาบพิตร. พระราชาประทับนั่งรับสั่งพระวาจาเป็นที่รักกับพระโอรส.
               ขณะนั้น พระนางจันทาเทวีแวดล้อมไปด้วยหมู่นางสนมเสด็จมา ทรงจับพระบาททั้งสองของพระปิโยรส ทรงไหว้แล้วกันแสง มีพระเนตรทั้งสองนองไปด้วยพระอัสสุชล ประทับนั่ง ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง. ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะพระนางว่า ที่รัก เธอจงดูโภชนาหารของลูกเธอ แล้วทรงหยิบใบหมากเม่าหน่อยหนึ่ง วางในพระหัตถ์ของพระนาง แล้วประทานแก่นางสนมอื่นๆ คนละหน่อย นางสนมทั้งปวงเหล่านั้นกล่าวว่า พระองค์เสวยโภชนะเห็นปานนี้ หรือพระเจ้าข้า. แล้วรับใบหมากเม่านั้นมาวางไว้บนศีรษะของตนๆ กล่าวว่า พระองค์ทำสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง พระเจ้าข้า แล้วถวายนมัสการนั่งอยู่.
               ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะพระมหาสัตว์ว่า ลูกรัก เรื่องนี้ปรากฏเป็นอัศจรรย์แก่ดิฉัน แล้วตรัสคาถาว่า
               ความอัศจรรย์ย่อมแจ่มแจ้งแก่ดิฉัน เพราะได้เห็นลูกรักอยู่ในที่ลับ แต่ผู้เดียว บริโภคอาหารเช่นนี้ เหตุไร จึงมีผิวพรรณผ่องใส.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เมื่อจะทูลตอบแด่พระราชา จึงตรัสว่า
               มหาบพิตร อาตมภาพนอนผู้เดียวบนเครื่องลาดใบไม้ที่ปูลาดไว้ เพราะการนอนผู้เดียวนั้น ผิวพรรณของอาตมภาพจึงผ่องใส. การรักษาทางราชการที่ผูกเหน็บดาบของอาตมภาพไม่มี เพราะการนอนผู้เดียวนั้น ผิวพรรณของอาตมภาพจึงผ่องใส. ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่ตามเศร้าโศกถึงอารมณ์ที่ล่วงไปแล้ว ไม่ปรารถนาถึงอารมณ์ที่ยังไม่มาถึง ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เพราะเหตุนั้น ผิวพรรณจึงผ่องใส. คนพาลทั้งหลายย่อมเหี่ยวแห้ง เพราะเหตุ ๒ อย่างนั้น คือ เพราะปรารถนาอารมณ์ที่ยังไม่มาถึง เพราะตามเศร้าโศกถึงอารมณ์ที่ล่วงไปแล้ว ดุจไม้อ้อที่ยังเขียวสด ถูกถอนทิ้งไว้ที่แดดฉะนั้น.
               ลำดับนั้น พระราชามีพระดำริว่า เราจักอภิเษกลูกของเราในที่นี้ แล้วพากลับไปพระนคร เมื่อจะเชิญพระมหาสัตว์ให้ครองราชสมบัติ จึงตรัสว่า
               ลูกรัก ดิฉันขอมอบกองพลช้าง กองพลรถ กองพลม้า กองพลราบ และกองพลผูกเกราะ ตลอดถึงพระราชนิเวศน์อันเป็นที่รื่นรมย์แก่พ่อ และขอมอบนางสนมกำนัลใน ผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพแก่พ่อ พ่อจงปฏิบัติในนางเหล่านั้น จงเป็นพระราชาของดิฉันทั้งหลาย สตรี ๔ คนเป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำและการขับร้อง ศึกษามาดีแล้ว จักทำให้ลูกรื่นรมย์ในกาม พ่อจักทำอะไรในป่า. ดิฉันจักนำราชกัญญาจากพระราชาเหล่าอื่น ที่ตกแต่งแล้วมาเพื่อพ่อ พ่อจงให้นางเหล่านั้นมีโอรสมากๆ แล้วจึงผนวชต่อภายหลัง พ่อยังเยาว์เป็นหนุ่มแน่น ตั้งอยู่ในปฐมวัย มีเกศาดำสนิท จงครองราชสมบัติเถิด ขอพ่อจงเจริญ จักทำอะไรในป่า.
               ตั้งแต่นี้ไป เป็นธรรมกถาของพระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์ เมื่อทรงแสดงธรรมถวายพระราชา ตรัสว่า
               คนหนุ่มควรประพฤติพรหมจรรย์ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ควรเป็นคนหนุ่ม การบรรพชาควรเป็นของคนหนุ่ม ข้อนั้นท่านผู้แสวงหาคุณธรรมทั้งหลายสรรเสริญแล้ว. คนหนุ่มควรประพฤติพรหมจรรย์ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ควรเป็นหนุ่ม อาตมภาพจักประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ต้องการราชสมบัติ.
               อาตมภาพเห็นเด็กชายของท่านทั้งหลายผู้เรียกมารดาบิดา ซึ่งเป็นบุตรที่รักอันได้มาโดยยาก ยังไม่ทันแก่ก็ตายเสียแล้ว. อาตมภาพเห็นเด็กหญิงของท่านทั้งหลายซึ่งเป็นเด็กหญิงที่สวยงามน่าชมสิ้นชีวิต เหมือนหน่อไม้ไผ่ยังอ่อนที่ถูกถอนฉะนั้น.
               จริงอยู่ นรชนจะเป็นชายหนุ่มหรือหญิงสาวก็ตาม ตายทั้งนั้น. ใครเล่าจะพึงวางใจในชีวิตว่า เรายังหนุ่มอยู่ อายุของคนเราเป็นของน้อยนัก เพราะวันคืนล่วงไปๆ เหมือนอายุของฝูงปลาในน้ำน้อย ความเป็นหนุ่มสาวในวัยนั้น จักทำอะไรได้.
               สัตว์โลกถูกครอบงำและถูกห้อมล้อมอยู่เป็นนิตย์ เมื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เป็นไปอยู่ มหาบพิตรจะอภิเษกอาตมภาพในราชสมบัติทำไม.
               พระราชาตรัสถามว่า
               สัตว์โลกถูกอะไรครอบงำไว้ และถูกอะไรห้อมล้อมไว้ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรเป็นไปอยู่ ดิฉันถามแล้ว พ่อจงบอกข้อนั้นแก่ดิฉัน.
               พระมหาสัตว์ตรัสว่า
               สัตว์โลกถูกความตายครอบงำไว้ ถูกความแก่ห้อมล้อมไว้ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ คือคืนวันเป็นไปอยู่. มหาบพิตรจงทรงทราบอย่างนี้ ขอถวายพระพร เมื่อด้ายที่เขากำลังทอ ช่างหูกทอไปได้เท่าใด ส่วนที่จะต้องทอก็ยังเหลืออยู่น้อยเท่านั้น แม้ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น.
               แม่น้ำที่เต็มฝั่ง ย่อมไม่ไหลไปสู่ที่สูง ฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่กลับไปสู่ความเป็นเด็กอีก ฉันนั้น. แม่น้ำที่เต็มฝั่ง ย่อมพัดพาเอาต้นไม้ที่เกิดอยู่ริมฝั่งให้หักโค่นไป ฉันใด สัตว์ทั้งปวงย่อมถูกชราและมรณะพัดพาไป ฉันนั้น.
               พระราชาทรงสดับธรรมกถาของพระมหาสัตว์แล้ว ไม่ทรงคิดผูกพัน ด้วยการครองเรือน มีพระราชประสงค์จะทรงผนวช ตรัสว่า เราจักไม่ไปพระนครอีก จักบรรพชาในที่นี้แหละ ถ้าลูกของเราไปพระนคร เราจะให้เศวตฉัตรแก่เขา ดังนี้
               เพื่อจะทรงทดลองพระมหาสัตว์ จึงตรัสเชื้อเชิญด้วยราชสมบัติอีกว่า
               ลูกรัก ดิฉันขอมอบกองพลช้าง กองพลรถ กองพลม้า กองพลราบ และ กองพลผูกเกราะ ตลอดถึงพระราชนิเวศอันเป็นที่รื่นรมย์แก่พ่อ และขอมอบนางสนมกำนัลใน ผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพแก่พ่อ พ่อจงปฏิบัติในนางเหล่านั้น จงเป็นพระราชาของดิฉันทั้งหลาย สตรี ๔ คนเป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำและการขับร้อง ศึกษามาดีแล้ว จักทำให้ลูกรื่นรมย์ในกาม พ่อจะทำอะไรในป่า ดิฉันจักนำราชกัญญาจากพระราชาเหล่าอื่น ที่ตกแต่งแล้วมาเพื่อพ่อ พ่อจงให้นางเหล่านั้นมีโอรสมากๆ แล้วจึงผนวชต่อภายหลัง ลูกรัก ดิฉันขอให้ฉางหลวงพระคลัง พาหนะ และกองพลทั้งหลาย ตลอดถึงพระราชนิเวศน์ อันเป็นที่รื่นรมย์แก่พ่อ พ่อจงแวดล้อมด้วยราชกัญญาอันงดงามเป็นปริมณฑล มีหมู่บริจาริกานารีห้อมล้อม จงครองราชสมบัติเถิด ขอพ่อจงเจริญ จักทำอะไรในป่า.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เป็นประกาศความที่พระองค์ไม่ต้องการราชสมบัติ ตรัสว่า
               มหาบพิตรจะให้อาตมภาพเสื่อมไป เพราะทรัพย์ทำไม. บุคคลจักตาย เพราะภริยาทำไม. ประโยชน์อะไรด้วยความเป็นหนุ่มสาว ซึ่งต้องแก่. ทำไมจะต้องให้ชราครอบงำ ในโลกสันนิวาสซึ่งมีชราและมรณะเป็นธรรมดานั้น จะเพลิดเพลินไปทำไม จะเล่นหัวไปทำไมจะยินดีไปทำไม จะมีประโยชน์อะไรด้วยการแสวงหาทรัพย์ จะมีประโยชน์อะไรด้วยบุตรและภริยาแก่อาตมภาพ.
               มหาบพิตร อาตมภาพเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูก มัจจุราชย่อมไม่ประมาทในอาตมภาพผู้รู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลเมื่อถูกมัจจุราชครอบงำแล้ว จะยินดีไปทำไม จะประโยชน์อะไรด้วยการแสวงหาทรัพย์.
               ผลไม้ที่สุกแล้ว ย่อมเกิดภัย แต่การหล่นเป็นนิตย์ ฉันใด สัตว์ทั้งหลายที่เกิดแล้วย่อมมีภัยแต่ความตายเป็นนิตย์ ฉันนั้น.
               ชนเป็นอันมากเห็นกันอยู่ในเวลาเช้า บางพวกพอตกเวลาเย็นก็ไม่เห็นกัน ชนเป็นอันมากเห็นกันอยู่ในเวลาเย็น บางพวกพอถึงเวลาเช้าก็ไม่เห็นกัน.
               ภูมิประเทศที่ตั้งกองช้าง กองรถ กองราบ ย่อมไม่มีในสงคราม คือมรณะนั้น ไม่อาจจะต่อสู้เอาชัยชนะต่อมฤตยู ด้วยเวทมนต์ หรือยุทธวิธี หรือสินทรัพย์ได้.
               มฤตยูมิได้เว้นกษัตริย์ พราหมณ์ พ่อค้า ลูกจ้าง คนจัณฑาล และคนเทหยากเยื่อไรๆ ย่อมย่ำยีทั้งหมดทีเดียว ควรรีบทำความเพียรในวันนี้ทีเดียว ใครเล่าจะพึงรู้ว่าตายพรุ่งนี้ เพราะความผลัดผ่อนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ไม่มีเลย.
               โจรทั้งหลายย่อมปรารถนาทรัพย์ อาตมภาพเป็นผู้พ้นจากเครื่องผูก ขอถวายพระพร เชิญมหาบพิตรเสด็จกลับไปเถิด อาตมภาพไม่ต้องการราชสมบัติ.
               นางสนมหมื่นหกพันคน และประชาชนมีเหล่าอมาตย์เป็นต้น นับตั้งแต่พระราชา และพระนางจันทาเทวีเป็นต้น ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระมหาสัตว์นั้นแล้ว ได้มีความประสงค์จะบรรพชาในคราวนั้น ครั้งนั้น พระราชาโปรดให้ตีกลองประกาศในพระนครว่า ชนใดๆปรารถนาจะบวชในสำนักของลูกเรา ชนนั้นๆ จงบวชเถิด และโปรดให้เปิดประตูพระคลังทองเป็นต้นทั้งหมด แล้วให้จารึกในแผ่นทองผูกไว้ที่เสาท้องพระโรงว่า หม้อขุมทรัพย์ใหญ่มีอยู่ในที่โน้นด้วยในที่โน้นด้วย ผู้ที่ต้องการจงถือเอาเถิด
               ฝ่ายชาวพระนครทั้งหลาย ก็ละทิ้งร้านตลาดตามที่เปิดเสนอขายของกัน และทิ้งบ้านเรือนซึ่งเปิดประตูไว้ ไปสู่สำนักแห่งพระราชา พระราชาทรงผนวชในสำนักของพระมหาสัตว์ พร้อมด้วยประชาชนเป็นจำนวนมาก. อาศรมสถานสามโยชน์ที่ท้าวสักกเทวราชถวาย เต็มไปหมด. พระมหาสัตว์ทรงพิจารณาบรรณศาลาทั้งหลาย ทรงมอบบรรณศาลาทั้งหลายในที่ท่ามกลางแก่เหล่าสตรี เพราะเหตุไร เพราะสตรีเหล่านี้เป็นคนขลาด. พระมหาสัตว์ทรงพิจารณาแล้ว ทรงมอบบรรณศาลาหลังนอกๆ แก่เหล่าบุรุษ. บรรพชิตชายหญิงทั้งหมดเก็บผลไม้ ที่ต้นมีผลทั้งหลาย อันพระวิสสุกรรมเนรมิตไว้ ซึ่งหล่นลงที่พื้นดิน ในวันรักษาอุโบสถ มาบริโภคแล้วเจริญสมณธรรม. บรรดาบรรพชิตเหล่านั้น ผู้ใดตรึกกามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก พระมหาสัตว์ทรงทราบวาระจิตแห่งผู้นั้น เสด็จประทับนั่งแสดงธรรมสั่งสอนในอากาศ บรรพชิตเหล่านั้นทั้งหมดฟังพระโอวาทนั้นแล้ว ทำอภิญญาห้าและสมาบัติ(แปด) ให้เกิดพลันทีเดียว.
               กาลนั้น กษัตริย์สามนตราชองค์หนึ่งทรงสดับว่า ได้ยินว่าพระเจ้ากาสิกราชทรงผนวชแล้ว จึงทรงคิดว่า เราจักยึดเอาราชสมบัติในกรุงพาราณสีเสีย จึงเสด็จออกจากพระนคร (ของพระองค์) ถึงกรุงพาราณสี เสด็จเข้าสู่พระนคร ทอดพระเนตรเห็น พระนครซึ่งตกแต่งไว้ จึงเสด็จขึ้นพระราชนิเวศ ทอดพระเนตรดูรัตนะอันประเสริฐเจ็ดประการ ทรงจินตนาการว่า ภัยอย่างหนึ่งพึงมีเพราะอาศัยทรัพย์นี้ รับสั่งให้เรียกพวกนักเลงสุรามา ตรัสถามว่า แน่ะพ่อนักดื่มทั้งหลาย ในพระนครนี้ มีภัยเกิดขึ้นแก่พระราชาผู้เป็นเจ้านายของพวกท่านหรือ.
               พวกนักเลง. ไม่มีพระเจ้าข้า.
               กษัตริย์สามนตราช. ตรัสถามว่า เพราะเหตุไร?
               ก็ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ เตมิยกุมาร ผู้เป็นโอรสของพระราชาของพวกข้าพระองค์ ทรงเห็นว่า จักครองราชสมบัติในกรุงพาราณสีทำไม มิได้เป็นใบ้ก็แสร้งทำเป็นใบ้ เสด็จออกจากพระนครนี้เข้าป่า ทรงผนวชเป็นฤาษี เพราะเหตุนั้น แม้พระราชาของพวกข้าพระองค์พร้อมด้วยมหาชน ก็ได้เสด็จออกจากพระนครนี้ไปสำนักของเตมิยกุมาร ทรงผนวชแล้ว. พระเจ้าสามนตราชตรัสถามว่า พระราชาของพวกเจ้าเสด็จออกทางประตูไหน. เมื่อเขากราบทูลว่า เสด็จออกทางประตูทิศตะวันออก ก็เสด็จออกทางประตูนั้นเหมือนกัน ได้เสด็จไปตามฝั่งแม่น้ำ.
               พระมหาสัตว์ทรงทราบว่า พระเจ้าสามนตราชเสด็จมาทรงต้อนรับ แล้วประทับนั่งในอากาศแสดงธรรมแก่พระเจ้าสามนตราชนั้น พระราชาสามนตราชนั้นพร้อมด้วยบริษัท ทรงสดับธรรมแล้ว ทรงผนวชในสำนักของพระมหาสัตว์นั้น แม้พระราชาอื่นๆ อีกสามพระองค์ ต่างก็ทรงละทิ้งราชสมบัติทรงผนวชแล้วอย่างนั้นนั่นแล ด้วยประการฉะนี้ ประเทศตรงนั้นได้เป็นมหาสมาคม ช้างทั้งหลายก็กลายเป็นช้างป่า ม้าทั้งหลายก็กลายเป็นม้าป่า แม้รถทั้งหลายก็ชำรุดทรุดโทรมไปในป่านั่นเอง ภัณฑะเครื่องใช้สอย และกหาปณะทั้งหลายก็เรี่ยราดเกลื่อน ดุจทรายที่ใกล้อาศรมสถาน บรรพชิตทั้งหมดนั้นทำสมาบัติแปดให้บังเกิดในที่นั้นเอง เมื่อสิ้นชีวิตได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า แม้ช้างและม้าทั้งหลายซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉาน ยังจิตให้เลื่อมใสในหมู่ฤาษีทั้งหลาย ได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นกามาพจร ๖ ชั้น.
               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เราละราชสมบัติออกบวช. แม้ในกาลก่อน เราก็ได้ละราชสมบัติออกบวชเหมือนกัน ดังนี้แล้ว ทรงประกาศอริยสัจ ๔ 
               แล้วประชุมชาดก.
               เทพธิดาผู้สิงสถิตอยู่ที่เศวตฉัตรในกาลนั้น เป็น ภิกษุณี ชื่ออุบลวรรณา ในบัดนี้.
               นายสุนันทสารถี เป็น พระสารีบุตร.
               ท้าวสักกะ เป็น พระอนุรุทธ์.
               พระชนกและพระชนนี เป็น มหาราชสกุล.
               บริษัทนอกนี้ เป็น พุทธบริษัท.
               ส่วนบัณฑิตผู้ทำเป็นใบ้ ทำเป็นง่อยเปลี้ย คือ เราผู้สัมมาสัมพุทธ นี่เองแล.

               ---------------------------------

 

หมายเลขบันทึก: 717767เขียนเมื่อ 28 มีนาคม 2024 13:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 เมษายน 2024 16:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท