การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๒๔ อโยฆรจริยา


ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติแก่ข้าพระองค์. เพราะธรรมดาราชสมบัติเป็นที่ประชุมของอนัตตาทั้งปวง. ตั้งแต่เวลาที่ตั้งอยู่ในราชสมบัตินั้น เป็นอันออกไปได้ยาก เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จักไม่ครองราชสมบัติจักแสวงหาความดับ.

การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๒๔ อโยฆรจริยา

พลตรี มารวย  ส่งทานินทร์

๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖

เกริ่นนำ

             ข้าพระองค์ไม่ต้องการแม้ราชสมบัติ. ถึงแม้ข้าพระองค์จะพ้นจากเงื้อมมือของนางยักษิณี ก็จะไม่พ้นชราและมรณะไปได้เลย. ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติแก่ข้าพระองค์. เพราะธรรมดาราชสมบัติเป็นที่ประชุมของอนัตตาทั้งปวง. ตั้งแต่เวลาที่ตั้งอยู่ในราชสมบัตินั้น เป็นอันออกไปได้ยาก เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จักไม่ครองราชสมบัติจักแสวงหาความดับ.

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

 

๓. อโยฆรจริยา

ว่าด้วยพระจริยาของพระอโยฆรราชกุมาร

 

             [๒๔]   อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพระโอรสของพระเจ้ากาสี เจริญวัยในเรือนเหล็ก จึงมีนามว่าอโยฆระ

             [๒๕]   พระบิดาตรัสว่า เจ้าได้ชีวิตมาอย่างลำบาก ถูกเจ้านายเลี้ยงไว้ในที่แคบ ลูกเอ๋ย วันนี้จงปกครองแผ่นดินทั้งสิ้น

             [๒๖]   เราประนมมือไหว้กษัตริย์พร้อมทั้งชาวแว่นแคว้น พร้อมทั้งชาวนิคม และบริวารชน แล้วได้กราบทูลดังนี้ว่า

             [๒๗]   บรรดาสัตว์ในแผ่นดิน ทั้งชั้นต่ำ ทั้งชั้นสูง และปานกลาง สัตว์ทั้งหมดนั้นไม่มีอารักขา เจริญอยู่ ในเรือนของตนพร้อมด้วยหมู่ญาติของตน

             [๒๘]   การเลี้ยงดูข้าพระองค์ในที่คับแคบ นี้เป็นความยอดเยี่ยมในโลก ข้าพระองค์เติบโตอยู่ในเรือนเหล็ก เหมือนดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ที่ไม่มีแสงสว่าง

             [๒๙]   ข้าพระองค์ประสูติจากครรภ์พระมารดา อันเต็มด้วยซากศพที่เน่าแล้ว ยังถูกขังไว้ในเรือนเหล็ก ซึ่งมีทุกข์ร้ายกว่านั้นเสียอีก

             [๓๐]   ข้าพระองค์ได้รับความทุกข์ร้ายอย่างยิ่งเช่นนั้นแล้ว ถ้ายังยินดีในราชสมบัติ ก็จะเป็นผู้เลวทรามที่สุด แห่งคนที่เลวทรามทั้งหลายเสียอีก

             [๓๑]   ข้าพระองค์เป็นผู้เหนื่อยหน่ายทางกาย ไม่ต้องการราชสมบัติ ข้าพระองค์จะแสวงหาธรรมเครื่องดับทุกข์ ที่มัจจุราชย่ำยีข้าพระองค์ไม่ได้

             [๓๒]   เราคิดอย่างนี้แล้ว เมื่อมหาชนไม่เหนี่ยวรั้งไว้ ได้ตัดเครื่องผูกเสียแล้ว เข้าไปยังป่าใหญ่ เหมือนช้างทำลายปลอกหนีไปป่าใหญ่

             [๓๓]    พระมารดาและพระบิดาจะเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับเราก็หาไม่ ยศศักดิ์อันยิ่งใหญ่จะเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับเราก็หาไม่ แต่เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ฉะนี้แล

อโยฆรจริยาที่ ๓ จบ

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น

๓. อโยฆรจริยา

               อรรถกถาอโยฆรจริยาที่ ๓     

          

               เพราะความเป็นผู้เกิดและเจริญในเรือนเหล็ก จึงปรากฏชื่อว่าอโยฆรกุมาร.
               ความโดยย่อมีว่า
               ในกาลนั้น ในอัตภาพก่อนทางพระอัครมเหสีของพระเจ้ากาสี หญิงร่วมสามี ตั้งความปรารถนาว่า เราพึงกินบุตรที่เกิดแล้วๆ ของเจ้า แล้วเกิดในกำเนิดนางยักษิณี ครั้นได้โอกาสในการที่อัครมเหสีนั้นประสูติ จึงกินพระโอรสเสีย ๒ ครั้ง.
               แต่ในครั้งที่ ๓ พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีนั้น.
               พระราชาทรงปรึกษากับพวกมนุษย์ว่า นางยักษิณีตนหนึ่งกินโอรสที่เกิดแล้วของพระเทวี. เราควรทำอย่างไรดี.
               เมื่อพวกมนุษย์ทูลว่า ธรรมดาอมนุษย์ย่อมกลัวเรือนเหล็ก จึงรับสั่งให้ช่างเหล็กสร้างเรือนเหล็กใหญ่เป็นโรง ๔ เหลี่ยม ด้วยเครื่องปรุงเรือนทั้งหมดสำเร็จด้วยเหล็ก ตั้งแต่เสาเป็นต้นให้สำเร็จ แล้วทรงให้พระเทวีซึ่งทรงพระครรภ์แก่ ประทับอยู่ ณ เรือนเหล็กนั้น.
               พระเทวีประสูติพระโอรสมีบุญลักษณะดี ณ เรือนเหล็กนั้น. ขนานพระนามว่าอโยฆรกุมาร.
               พระราชาทรงให้พระกุมารนั้นแก่พวกแม่นมจัดการอารักขาใหญ่โต ทรงนำพระเทวีเข้าไปประทับภายใน.
               แม้นางยักษิณีถึงวาระตักน้ำ นำน้ำไปให้ท้าวเวสสวัณก็สิ้นชีวิตไปแล้ว.
               พระมหาสัตว์ทรงเจริญอยู่ในเรือนเหล็กนั้นเอง ถึงความเป็นผู้รู้ เรียนศิลปะทั้งปวง ณ เรือนเหล็กนั้น.
               พระราชาทรงทราบว่า พระโอรสมีพระชนม์ ๑๖ พรรษา จึงมีรับสั่งกะพวกอำมาตย์ว่า เราจักมอบราชสมบัติให้ พวกท่านจงนำโอรสของเรามาเถิด.
               พวกอำมาตย์กราบทูลรับพระบัญชาแล้วทรงให้ตกแต่งพระนคร นำมงคลหัตถีประดับด้วยเครื่องสรรพาลังการไป ณ ที่นั้น ตกแต่งพระกุมารให้ประทับนั่งที่คอมงคลหัตถี กระทำประทักษิณพระนคร แล้วนำมาเฝ้าพระราชา.
               พระราชาทอดพระเนตรเห็นพระวรกายของพระโอรสงดงาม จึงทรงกอดพระโอรสนั้นด้วยความสิเนหาอย่างแรง รับสั่งกะพวกอำมาตย์ว่า พวกเจ้าจงอภิเษกโอรสของเราในวันนี้แหละ.
               พระมหาสัตว์ถวายบังคมพระชนกแล้วทูลว่า หม่อมฉันไม่ต้องการสมบัติ หม่อมฉันจักบวช ขอจงทรงอนุญาตให้หม่อมฉันบวชเถิด พระเจ้าข้า.
               พระบิดาตรัสว่า ลูกเอ๋ย พี่ชายของลูก ๒ คนถูกนางยักษิณีตนหนึ่งกิน. ลูกได้ความทุกข์ความลำบากที่ทำเพื่อป้องกันลูกจากภัยของอมนุษย์นั้นตั้งแต่เกิด.
               ลูกเจริญเติบโตมาในที่คับแคบตั้งแต่คลอดในเรือนเหล็กอันคับแคบเพื่อป้องกันอมนุษย์หลายๆ อย่างจนกระทั่งอายุได้ ๑๖.
               วันนี้ ลูกจงปกครองแผ่นดินทั้งสิ้นนี้.
               ลูกได้อภิเษกด้วยสังข์ ๓ สังข์ วางอยู่บนกองรัตนะภายใต้เศวตฉัตรประดับด้วยมาลัยทอง วันนี้จงปกครองมหาปฐพีนี้ พร้อมทั้งแว่นแคว้นอันมีมหาสมุทรเป็นที่สุดทั้งสิ้นอย่างเดียว อันเป็นของตระกูลนี้ พร้อมทั้งชาวนิคมอันเป็นหมู่บ้านใหญ่ พร้อมทั้งบริวารชนมากมาย.
               ลูกจงเสวยราชสมบัติเถิด.
               เราถวายบังคมจอมกษัตริย์พระชนกของเราผู้เป็นราชาแห่งแคว้นกาสี ประคองอัญชลีแด่พระองค์แล้วจึงได้กล่าวคำนี้ 
               สัตว์ทั้งหลายบางพวกในมหาปฐพีนี้.  สัตว์ทั้งหมดเหล่านั้นเจริญในเรือนของตน. พร้อมด้วยญาติของตน คือสัตว์ทั้งหลายบันเทิง คุ้นเคย ไม่ลำบากย่อมเจริญด้วยสมบัติกับญาติของตน.
               การเลี้ยงดูนี้ไม่มีใครเหมือนในโลกเป็นพิเศษเฉพาะข้าพระองค์. การเลี้ยงดูข้าพระองค์ในที่คับแคบ คือความเจริญเติบโตของข้าพระองค์ในที่คับแคบนั้นเป็นอย่างไร. เป็นความเจริญเติบโตในเรือนเหล็ก ปราศจากแสงจันทร์และดวงอาทิตย์.
               ทารุณยิ่งกว่าอยู่ในครรภ์ เป็นทุกข์เพราะอยู่ไม่ดีเลย. เป็นดุจขังไว้ในเรือนจำ.
               ข้าพระองค์ได้รับทุกข์ทารุณอย่างยิ่ง เช่นที่กล่าวไว้แล้วในครั้งก่อน ถ้ายังยินดีในราชสมบัติ. เมื่อเป็นอย่างนั้น ข้าพระองค์ก็จะเลวทรามยิ่งกว่าคนเลวทรามชั่วช้าลามกไป.
               ข้าพระองค์เบื่อหน่ายด้วยกายอันเน่ามียังไม่พ้นจากการอยู่ในครรภ์เป็นต้น.
               ข้าพระองค์ไม่ต้องการแม้ราชสมบัติ. ถึงแม้ข้าพระองค์จะพ้นจากเงื้อมมือของนางยักษิณี ก็จะไม่พ้นชราและมรณะไปได้เลย. ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติแก่ข้าพระองค์. เพราะธรรมดาราชสมบัติเป็นที่ประชุมของอนัตตาทั้งปวง. ตั้งแต่เวลาที่ตั้งอยู่ในราชสมบัตินั้น เป็นอันออกไปได้ยาก เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จักไม่ครองราชสมบัติจักแสวงหาความดับ.
               ข้าพระองค์จักแสวงหาธรรมเครื่องดับ คืออมตมหานิพพาน ซึ่งเป็นที่ที่มัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่พึงย่ำยี พึงท่วมทับข้าพระองค์ผู้ตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว.
               เราคิดโดยแยบคายด้วยการพิจารณาถึงโทษในสงสารมีประการต่างๆ ดังได้กล่าวไว้แล้วนี้อย่างนี้ และด้วยการเห็นอานิสงส์ในนิพพาน.
               เมื่อมหาชนมีพระชนกชนนีเป็นหัวหน้า ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ด้วยอดกลั้นถึงทุกข์ที่ต้องพลัดพรากจากเราไปไม่ได้.
               เราได้ตัดเครื่องผูกด้วยการตัดเครื่องผูกคือตัณหา ในชนนั้นมีญาติสงเคราะห์เป็นต้น แล้วเข้าสู่ป่าใหญ่ด้วยการเข้าถึงบรรพชา เหมือนคชสารมีกำลังมากตัดเครื่องผูก คือเชือกอันไม่มีความแข็งแรง ได้โดยง่ายฉะนั้น.
               ลำดับนั้น พระชนกของพระมหาสัตว์ทรงดำริว่า กุมารนี้ใคร่จะบวช ก็เราเล่าจะอยู่ไปทำไม แม้เราก็ไม่ต้องการราชสมบัติ. จึงทรงสละราชสมบัติเสด็จออกบรรพชา.
               เมื่อพระราชาเสด็จออกบรรพชา ชาวพระนครทั้งสิ้นมีพระเทวี อำมาตย์ พราหมณ์ คฤหบดีเป็นต้น ก็ทิ้งโภคสมบัติออกบวช. ได้เป็นมหาสมาคม มีบริษัทประมาณ ๑๒ โยชน์. พระมหาสัตว์ทรงพาชนเหล่านั้นเสด็จเข้าสู่หิมวันตประเทศ.
               ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่า พระมหาสัตว์เสด็จออกบวชจึงทรงส่งพระวิษณุกรรมให้สร้างอาศรมบท ยาว ๑๒ โยชน์กว้าง ๗ โยชน์ ทรงมอบบริขารบรรพชิตครบ.
               ในจริยานี้ การบรรพชาของพระมหาสัตว์ การให้โอวาท การไปสู่พรหมโลก และการปฏิบัติโดยชอบของบริษัททั้งหมด พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในมหาโควินทจริยานั่นแล.
               พระชนกชนนีในครั้งนั้นได้เป็นราชตระกูลใหญ่ในครั้งนี้.
               บริษัททั้งหลายคือพุทธบริษัท.
               อโยฆรบัณฑิต คือพระโลกนาถ.
               

               จบอรรถกถาอโยฆรจริยาที่ ๓               
               -----------------------------------------------------               

 

หมายเลขบันทึก: 713265เขียนเมื่อ 24 มิถุนายน 2023 16:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2023 16:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท