กว่าจะจัดโครงการ “สัมมนาผู้นำองค์กรนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประจำปีการศึกษา 2564” ขึ้นมาได้ก็ใช้เวลามากโข เพราะสาเหตุหลายประการ แต่หลักๆ คือรอให้มีการประกาศแต่งตั้งชมรมและกลุ่มนิสิตใหม่อย่างเป็นทางการ และการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019
โดยเฉพาะประเด็นหลังนั้นทรงอิทธิพลมาก ทำให้ต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก - รอแล้วรออีก เพราะต้องการจัดในมิติ “ออนไซด์” มากกว่า “ออนไลน์”
ในระยะเตรียมการ ทั้งผมและทีมงานได้ตระเตรียมกระบวนการบนฐานคิดของ “การมีส่วนร่วม” ของ “ผู้ที่เกี่ยวข้อง” (ผู้นำนิสิต/ผู้นำองค์กรนิสิต) มาเป็นระยะๆ ยกตัวอย่างเช่น ประชุมหารือในประเด็นสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นวันเวลา สถานที่ รูปแบบกิจกรรม ประเด็นที่มีความสนใจ สัดส่วนของผู้เข้าร่วมงาน
นอกจากนั้นยังสำรวจออนไลน์ถึงประเด็นเอกสารว่าผู้นิสิตประสงค์จะให้จัดทำเป็นรูปเล่มแจกจ่าย หรือแขวนไฟล์ให้ดาวน์โหลดตามนโยบายผู้บริหาร ที่ต้องการลดต้นทุนการผลิตเอกสารประกอบการเรียนรู้ ซึ่งผลการโหวตของผู้นำนิสิตก็ชี้ชัดว่า “ต้องการทั้ง 2 รูปแบบ” นั่นคือ ทั้งเอกสารที่เป็นเล่มและไฟล์การดาวน์โหลด แต่จนแล้วจนรอด เมื่อเสนอขออนุมัติประเด็นการผลิตเอกสารก็ไม่ได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการ –
การจัดสัมมนาครั้งนี้ ผมเริ่มทยอยส่งเอกสารบางประเด็นให้ผู้นำองค์กรนิสิตอ่าน หรือทำความเข้าใจล่วงหน้าเป็นระยะๆ บางเรื่องใช้เวลาล่วงหน้า 2-3 วัน บางเรื่องใช้เวลาส่งให้อ่านล่วงหน้า 1 วัน โดยส่งผ่านเจ้าหน้าที่ หรือบุคลากร เพื่อให้ติดตามหนุนเสริมผู้นำองค์กรนิสิตไปในตัว หรือแม้แต่การกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ได้ตื่นตัวในการที่จะขับเคลื่อนกิจกรรม พร้อมๆ กับการกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ได้ทบทวนชุดความรู้ในตัวเอง ไปพร้อมๆ กับ
การสัมมนาผู้นำนิสิตในครั้งนี้ จัดขึ้น 2 วันผ่านระบบออนไลน์ ณ อาคารพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (วันที่ 18-19 กันยายน 2564) ประกอบด้วยกลุ่มเป้าหมายหลัก 175 คน กลุ่มแรกจัดขึ้นในวันที่18 กันยายน 2564 กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ สภานิสิต องค์การนิสิต สโมสรนิสิตคณะ จำนวน 85 คน ส่วนในวันที่ 19 กันยายน 2564 เป็นกลุ่มชมรมและกลุ่มนิสิต จำนวน 90 คน
ผมและทีมงานยังคงเลือกที่จะเปิดเวทีการสัมมนา (ออนไลน์) ผ่านกระบวนการตั้งคำถามในแบบฉบับ (Before Action Review : BAR) โดยสร้างประเด็นคำถามผ่านระบบแบบฟอร์มออนไลน์ (Google Form)
และแทนที่จะสำรวจเพียงประเด็นเดียวที่ว่าด้วย “ความคาดหวังที่มีต่อการสัมมนา” ผมและทีมงานได้กำหนดประเด็นคำถามเพิ่มมา 2 ข้อ นั่นคือ 1) ความคาดหวังต่อมหาวิทยาลัย /สิ่งที่อยากให้มหาวิทยาลัยพัฒนานิสิต 2) เหตุผลของการเข้ามาร่วมกิจกรรมนิสิต/เป็นผู้นำองค์กรนิสิต
และนี่คือข้อมูลอัเป็นส่วนหนึ่งที่ผู้นำองค์กรนิสิตได้สะท้อนออกมา
1) การส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องกิจกรรมนอกหลักสูตร
…………………………………………………..
จะว่าไปแล้ว ผมเชื่อว่าหลายคนอาจรู้สึกว่า คำถามเช่นนี้ เป็นคำถามง่ายๆ เป็นคำถามตามครรลอง (ธรรมเนียมนิยม) ของการจัดการเรียนรู้อยู่แล้ว ซึ่งผู้จัดสามารถคาดเดาล่วงหน้าได้ว่า "ผู้เข้าร่วมกิจกรรมคงตอบกลับมาไม่ต่างจากครั้งก่อนๆ”
หรือแม้แต่คำถามที่แว่วยินมาเนืองๆ ว่า "ทำ BAR แล้วได้อะไร -ทำ BAR แล้วนำมาใช้อย่างไร"
แต่สำหรับผมและทีมงาน ยืนยันว่าให้ความสำคัญต่อทั้ง 3 ประเด็นเป็นอย่างมาก เพราะทำให้เรารู้ข้อมูลพื้นฐานของผู้เข้าร่วมกิจกรรม (คนหน้างาน) ว่ารู้สึกอย่างไร ปรารถนาสิ่งใด -
บางประเด็นผมและทีมงานนำมาปรับในเวทีทันทีเพื่อให้สอดคล้องกับเจตารมณ์ของผู้นำนิสิต บางประเด็นส่งให้วิทยากรได้รับรู้เพื่อปรับจูนประเด็นการบรรยาย ขณะที่บางประเด็น ผมและทีมงานหาโอกาสสอดแทรกเติมเต็มเป็นช่วงๆ เท่าที่โอกาสจะอำนวย
หรือแม้แต่การส่งต่อเข้าสู่ระบบไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับรู้ รับทราบ และพิจารณาขับเคลื่อนในส่วนที่เป็นไปได้
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงยืนยันว่า คำถามทั้ง 3 ประเด็นมีความสำคัญเสมอ แม้จะเป็นคำถามเชยๆ ก็เถอะ แต่สิ่งที่ผู้นำนิสิตได้สะท้อนกลับมานั้น ผมเชื่อว่าผู้นำนิสิตได้ทำการสื่อสารออกมาจากใจ -
ครับ, ผมเชื่อว่าผู้นำนิสิตได้ทำการ “สื่อสารสร้างสรรค์" จาก "ต้นทุน” ที่เขามีอยู่ในตัวเอง ดังนั้นจึงควรให้ความเคารพต่อข้อมูลดังกล่าว โดยยอมรับว่าเป็นข้อมูล หรือประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม และควรนำมาต่อยอดเพื่อสร้างการเรียนรู้และพัฒนานิสิตอย่างจริงจัง
กิจกรรมละเอียดมากๆเลยครับ
ขอบพระคุณครับอาจารย์ขจิต
ตอน BAR ก็อธิบายกับนิสิตว่าคืออะไร สำคัญอย่างไร และมันช่วยให้นิสิตได้ทบทวน หรือมีสติกับการเรียนรู้อย่างไร
รวมถึง การนำข้อมูลนี้มาแชร์กับวิทยากร หรือแม้แต่ส่งค่อไปยังผู้บริหารมหาวิทยาลัย สำหรับผมแล้ว ยืนยันว่าผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากครับ