หุ่นยนต์
Robot
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
[email protected]
9 กุมภาพันธ์ 2562
บทความเรื่องหุ่นยนต์ ( Robot ) ดัดแปลงมาจากบทความที่ค้นคว้ามาจากทางเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น Wikipedia, http://robotics.sciencemag.org/content/4/26/eaaw1826 , ฝ่ายวิจัยนโยบาย สวทช. เป็นต้น
ผู้ที่สนใจเอกสารนี้แบบ PowerPoint (PDF file) สามารถ Download ได้ที่ https://www.slideshare.net/maruay/robot-131095839
เกริ่นนำ
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา หุ่นยนต์ถูกนำมาใช้งานแทนมนุษย์ โดยเฉพาะงานที่มีความยากลำบาก มีระดับความเสี่ยง และอันตรายสูง โดยเฉพาะในทางด้านอุตสาหกรรม เช่น การเชื่อมโลหะ การพ่นสี การประกอบรถยนต์ เป็นต้น
ในปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีในด้านต่างๆ เช่น ระบบเซ็นเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง, ระบบปัญญาประดิษฐ์, ความสามารถในการติดต่อกันระหว่างเครื่องจักรกับเครื่องจักร, และอื่นๆ ส่งผลให้หุ่นยนต์มีราคาถูกลง ในขณะเดียวกัน มีความสามารถสูงขึ้น ฉลาดขึ้น มีความอ่อนตัวในการทำงานร่วมกับมนุษย์ หรือทดแทนมนุษย์ได้มากขึ้น
หุ่นยนต์
หุ่นยนต์ มาจากคำว่า robot หรือ robota ในภาษาเช็ก ซึ่งแปลว่า ทาส หรือผู้ถูกบังคับใช้แรงงาน
ในปี ค.ศ.1921 นักประพันธ์ชาวเช็กKarel Capek ได้ประพันธ์ละครเวทีเรื่อง R.U.R. : Rossum's Universal Robots โดยในละครนั้น มีเนื้อหาเกี่ยวกับมนุษย์ที่ต้องการทาสรับใช้ จึงสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาช่วยทำงาน ซึ่งต่อมา หุ่นยนต์ได้พัฒนาตัวเองให้มีความฉลาดมากขึ้น จึงเกิดความคิดต่อต้านมนุษย์ ไม่ยอมให้กดขี่ข่มเหงอีกต่อไป ละครเรื่องนี้โด่งดังมาก จนทำให้คำว่า “ Robot” เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
ต่อมาในปี ค.ศ.1942 นักวิทยาศาสตร์และนักประพันธ์ ชาวอเมริกันเชื้อสายรัสเซีย Isaac Asimov ได้ประพันธ์นวนิยายเชิงวิทยาศาสตร์เรื่อง Runaround โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับหุ่นยนต์ และกำหนดกฎ 3 ข้อของหุ่นยนต์ ประกอบด้วย
1. หุ่นยนต์ห้ามทำร้ายมนุษย์ หรือนิ่งเฉยปล่อยให้มนุษย์ตกอยู่ในอันตราย
2. หุ่นยนต์ต้องเชื่อฟังคำสั่งมนุษย์ ยกเว้นคำสั่งนั้นขัดแย้งกับกฎข้อแรก
3. หุ่นยนต์ปกป้องตัวเองได้ แต่ต้องไม่ขัดกับกฎข้อแรกหรือกฎข้อที่สอง
หุ่นยนต์คืออะไร
หุ่นยนต์ คือเครื่องกลชนิดหนึ่งที่มีลักษณะโครงสร้างและรูปร่างแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์
หุ่นยนต์ในแต่ละประเภทจะมีหน้าที่การทำงานในด้านต่าง ๆ ตามการควบคุมโดยตรงของมนุษย์ หรืออาจมีการตั้งค่าให้หุ่นยนต์สามารถตัดสินใจได้เองในระดับใดระดับหนึ่ง (การควบคุมระบบต่าง ๆ ในการสั่งงานระหว่างหุ่นยนต์และมนุษย์ สามารถทำได้โดยทางอ้อมและอัตโนมัติ)
ความหมายของ "หุ่นยนต์"
โดย สถาบันหุ่นยนต์อเมริกา (The Robotics Institute of America) ได้ให้ความหมายไว้ ดังนี้
"หุ่นยนต์ คือเครื่องจักรใช้งานแทนมนุษย์ ที่ออกแบบให้สามารถตั้งลำดับการทำงาน การใช้งานได้หลากหลายหน้าที่ ใช้เคลื่อนย้ายวัสดุอุปกรณ์ ส่วนประกอบต่าง ๆ เครื่องมือ หรืออุปกรณ์พิเศษ ตลอดจนการเคลื่อนที่ได้หลากหลาย ตามที่ตั้งลำดับการทำงาน เพื่อสำหรับใช้ในงานหลากหลายประเภท"
หุ่นยนต์ สามารถจำแนกระดับขั้นการทำงานได้ 6 ระดับ ตามเกณฑ์มาตรฐานของ สมาคมหุ่นยนต์อุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น ( JIRA : Japanese Industrial Robot Association) แต่ สถาบันหุ่นยนต์แห่งสหรัฐอเมริกา ( RIA : The Robotics Institute of America) พิจารณาเพียงระดับที่ 3-6 เท่านั้น ที่ถือว่าเป็นหุ่นยนต์
ระดับที่ 1 กลไกที่ถูกควบคุมด้วยมนุษย์ (manual-handling device)
ระดับที่ 2 หุ่นยนต์ที่ทำงานตามแผนล่วงหน้าที่กำหนดไว้ โดยไม่สามารถปรับเปลี่ยนแผนงานได้ (fixed-sequence robot)
ระดับที่ 3 หุ่นยนต์ที่ทำงานตามแผนล่วงหน้าที่กำหนดไว้ โดยสามารถปรับเปลี่ยนแผนงานได้ (variable-sequence robot)
ระดับที่ 4 ผู้ควบคุมเป็นผู้สอนงานให้กับหุ่นยนต์ หุ่นยนต์จะทำงานเล่นย้อนกลับ ตามที่หน่วยความจำบันทึกไว้ (playback robot)
ระดับที่ 5 ผู้ควบคุมบันทึกข้อมูลเชิงตัวเลขการเคลื่อนที่ให้กับหุ่นยนต์ หุ่นยนต์สามารถทำงานได้เอง โดยไม่ต้องทำการสอนงาน (numerical control robot)
ระดับที่ 6 หุ่นยนต์มีความฉลาด สามารถเรียนรู้สภาพแวดล้อม และตัดสินใจทำงานได้ด้วยด้วยเอง (intelligent robot)
หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ
หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ มีความคล้ายกันในแง่มุมของการเป็น เครื่องจักรอัตโนมัติ ( Automation Machine) โดยหุ่นยนต์สามารถเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในระบบอัตโนมัติได้ เนื่องจากมีองค์ประกอบและการทำงานที่คล้ายกัน
แต่หุ่นยนต์สามารถทำงานจากโปรแกรมการตัดสินใจ และสามารถปรับเปลี่ยนโปรแกรมการทำงานให้ทำงานหลากหลายหน้าที่ได้ ซึ่งระบบอัตโนมัติไม่สามารถทำได้
มูลค่าตลาดหุ่นยนต์
ปัจจุบัน ตลาดหุ่นยนต์ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งรวมถึงหุ่นยนต์แบบเป็นผู้ช่วยภายในบ้าน เช่น เครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติ หุ่นยนต์ที่ทำงานตามโรงงานหรือโกดังสินค้าต่างๆ และหุ่นยนต์ที่เป็นผู้ช่วยดูแลและคลายเหงาสำหรับผู้สูงอายุ ส่วนประกอบของหุ่นยนต์ ที่สำคัญ มีอยู่ 5 ส่วนได้แก่
1. โครงสร้าง ของหุ่นยนต์
2. ระบบกลไก การเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์
3. ระบบเซ็นเซอร์ ใช้รับข้อมูลและส่งไปให้สมองกลทำการประมวลผล เพื่อที่จะสั่งการให้หุ่นยนต์ทำงานต่อไป
4. แหล่งจ่ายพลังงานให้แก่ระบบ ทั้งระบบกลไกการเคลื่อนไหว ระบบเซ็นเซอร์ และระบบสมองกล
5. ระบบสมองกล หรือหน่วยประมวลผลกลาง ทำหน้าที่วิเคราะห์และประมวลผล ที่ถูกส่งมาจากตัวเซ็นเซอร์ตามจุดต่าง ๆ เพื่อทำให้หุ่นยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. Industrial Robot
คือระบบที่ใช้ในงานการผลิตแบบอัตโนมัติ เช่น งานสร้างรูปทรงโดยตัดเฉือนเนื้อวัสดุออก, งานประกอบ, งานตรวจสอบ, งานหยิบจับวัสดุ เป็นต้น
โดยหุ่นยนต์เหล่านี้ สามารถทำงานได้อัตโนมัติตามโปรแกรมที่วางไว้ มีแขนขยับได้ 3 แกน และอาจจะเป็นแบบเคลื่อนที่ได้หรือไม่ได้ก็ได้
2. Service Robot
คือระบบที่ใช้ในโรงงานผลิตหรือโกดัง และใช้ในงานประเภทอื่นนอกเหนือจากงานการผลิตแบบอัตโนมัติ
โดยหุ่นยนต์ประเภทนี้ อาจมีแขนหรือไม่มีแขนก็ได้ โดยทั่วไปจะเคลื่อนไหวได้ และต้องทำงานร่วมกับมนุษย์มากกว่า Industrial Robot
3. Consumer Robot
คือระบบที่ใช้งานที่บ้าน เช่น ระบบHome Automation การศึกษา การช่วยเหลือและดูแลมนุษย์ และความบันเทิงในครอบครัว หุ่นยนต์และการใช้งาน
1. การหล่อความแม่นยำสูง ( Ultra-Precision Molds)
2. งานวิศวกรรมความเที่ยงตรง ( Precision Engineering)
3. งานผลิตยานยนต์ ( Automotive)
4. งานตรวจตราอุปกรณ์ ( Equipment Inspection)
5. งานไม้ ( Wood Processing)
6. งานจัดสินค้าในโกดัง ( Automated Warehouse)
1. การหล่อความแม่นยำสูง ประโยชน์ที่ได้รับคือ
ผลผลิตเพิ่มขึ้น 75% ต่อเดือน
คุณภาพการผลิตดีขึ้น
ระบบผลิตมีความเสถียรขึ้น
และลดต้นทุนแรงงานได้
2. งานวิศวกรรมความเที่ยงตรง ประโยชน์ที่ได้รับคือ
เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ
ผลผลิตเพิ่มขึ้น 40% โดยไม่ต้องจ้างแรงงานเพิ่ม
3. งานผลิตยานยนต์ ประโยชน์ที่ได้รับคือ
ผลประเมินโครงการเบื้องต้นระบุว่า ระดับผลิตภาพสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 4. งานตรวจตราอุปกรณ์ ประโยชน์ที่ได้รับคือ
สร้างระบบการตรวจตราที่มีความแม่นยำสูง โดยไม่ต้องจ้างแรงงานเพิ่ม
เพิ่มประสิทธิภาพในงานตรวจตรา ลดต้นทุน จึงทำให้มีกำไรเพิ่ม
สามารถทำการตรวจตรารอบโรงงานได้ตลอดเวลา
5. งานไม้ ประโยชน์ที่ได้รับคือ
ลดปริมาณแรงงานที่ใช้ โดยหุ่นยนต์ 1 ตัวสามารถทำงานได้เทียบเท่าแรงงานมนุษย์ 20 คน
เพิ่มความแม่นยำ และทำให้ใช้ชิ้นไม้ (ที่มีมูลค่าสูง) ได้ใช้ประโยชน์สูงสุด
เพิ่มความปลอดภัย โดยแรงงานสามารถหลีกเลี่ยงการสูดดมฝุ่นไม้ เสี้ยนไม้ และเสียงดังได้
6. งานจัดสินค้าในโกดัง ประโยชน์ที่ได้รับคือ
เพิ่มผลิตภาพ ลดความต้องการแรงงาน ลดต้นทุนแรงงาน
พื้นที่ที่เคยต้องการแรงงาน 500 คนในการปฏิบัติงาน กลับกลายเป็นต้องการแรงงานเพียง 1 คนที่จะควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของหุ่นยนต์เท่านั้น
ระบบนี้ สามารถรองรับการจัดเรียงพัสดุได้ 20,000 ชิ้นต่อชั่วโมง
รายงานการศึกษา เรื่อง อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ของประเทศไทย โดย ฝ่ายวิจัยนโยบาย สวทช.
หุ่นยนต์กับคุณภาพชีวิต
หุ่นยนต์ มีวิวัฒนาการและความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วต่อเนื่องมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา และได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตของมนุษย์ ทั้งในด้านการช่วยเพิ่มผลผลิตในกระบวนการผลิตสินค้า ช่วยดูแลในเรื่องคุณภาพชีวิต เช่น การรักษาพยาบาล การรักษาความปลอดภัย ไปจนถึงการสร้างความสะดวกสบายต่าง ๆหากมีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติต่าง ๆ เข้ามาใช้งานได้อย่างเหมาะสม จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการผลิต คุณภาพความเป็นอยู่ของคนในประเทศ ส่งเสริมทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษาให้ดีขึ้นต่อไป อุตสาหกรรมหุ่นยนต์
การใช้งานหุ่นยนต์ที่มากขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมหุ่นยนต์โลกถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ
จะมีตลาดใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับหุ่นยนต์เกิดขึ้นมากมายที่เป็นหุ่นยนต์ที่ไม่ได้ใช้งานในภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ ยานพาหนะอัตโนมัติไร้คนขับ หุ่นยนต์บริการสำหรับผู้บริโภคทั่วไป หุ่นยนต์สำหรับองค์กรธุรกิจ หุ่นยนต์ทางการแพทย์ หุ่นยนต์การทหาร และอากาศยานไร้คนขับ ( UAVs) เป็นต้น
ซึ่งในปี ค.ศ. 2020 ที่จะถึงนี้ จะเน้นความสำคัญที่การกำหนดรูปแบบและหน้าที่ของหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์( AI)
จากการศึกษาของบริษัท Tractica ของสหรัฐอเมริกา พบว่า จำนวนหุ่นยนต์ที่ผลิตจะเพิ่มขึ้นจาก 8.8 ล้านยูนิตในปี ค.ศ. 2015 เป็น 61.4 ล้านยูนิตในปี ค.ศ. 2020 โดยมากกว่าครึ่ง มาจากหุ่นยนต์สำหรับผู้บริโภคในครัวเรือน
และอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ทั่วโลก จะมีมูลค่าสูงกว่า 151 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี ค.ศ. 2020
ทิศทางการนำหุ่นยนต์มาใช้งานและวิทยาการหุ่นยนต์ในอนาคต อาศัยแนวทางในวิทยาการ 5 สาขาหลักดังต่อไปนี้
1. วิทยาการด้านปฏิสัมพันธ์ ( Interaction)
2. วิทยาการด้านการเคลื่อนที่ ( Locomotion)
3. วิทยาการด้านการนำทาง ( Navigation)
4. วิทยาการด้านการเคลื่อนย้ายชิ้นงาน ( Manipulation)
5. วิทยาการด้านอัจฉริยะ ( Intelligence)
1. วิทยาการด้านปฏิสัมพันธ์
เนื่องจากหุ่นยนต์จะต้องทำงานร่วมกับมนุษย์ การสื่อสารจึงถือเป็นขั้นพื้นฐานที่สุดที่หุ่นยนต์จะต้องมี ปัญญาประดิษฐ์ ( Artificial intelligence) ช่วยให้หุ่นยนต์เข้าใจความหมายเชิงกลุ่มคำหรือประโยค หรือการตีความหมายจากสัญญาณอื่นๆได้ด้วย
เทคโนโลยีการมองเห็นของหุ่นยนต์ ( Robot vision) ใช้กล้องเป็นตัวรับภาพโดยอาศัยความรู้เรื่องระบบภาพ( Vision system) และการประมวลผลภาพในคอมพิวเตอร์( Image processing), การรู้จำเสียง( Speech recognition), และเสียงสังเคราะห์( Synthesized sound) ผ่านทางลำโพง เป็นต้น
2. วิทยาการด้านการเคลื่อนที่
การเคลื่อนที่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญของหุ่นยนต์ ปัจจุบันหุ่นยนต์ที่ใช้ขา สามารถลุกขึ้น เดิน ยืน และวิ่งได้แล้ว โดยอาศัยความรู้ความเข้าใจด้านพลศาสตร์ ( Dynamics)
นอกจากนี้ การพัฒนาของอุปกรณ์ขับเคลื่อนที่ใช้บังคับแรงได้ ( Actuator) เป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ทำให้หุ่นยนต์มีประสิทธิภาพในการเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น
3. วิทยาการด้านการนำทาง
ในการกำหนดทิศทางการเคลื่อนที่ หรือการทำงานของหุ่นยนต์นั้น การรู้ตำแหน่งของตัวเองเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ยกตัวอย่างเช่น ในระบบยานยนต์อัตโนมัติ การรู้ตำแหน่ง ทิศทาง และการนำทางไปยังตำแหน่งนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง จึงมีความจำเป็นมาก 4. วิทยาการด้านการเคลื่อนย้ายชิ้นงาน
ในโรงงานอุตสาหกรรม การหยิบจับเคลื่อนย้ายชิ้นงานที่เหมาะสม จะช่วยร่นระยะเวลาในการทำงาน และลดความเสียหายของชิ้นงานได้
ในอนาคต หุ่นยนต์จะมีความสามารถในการหยิบจับเคลื่อนย้ายชิ้นงานได้หลายรูปแบบมากขึ้น โดยแขนของหุ่นยนต์ที่สามารถยืดหดและปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน ทำให้หุ่นยนต์สามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้มากขึ้น
5. วิทยาการด้านอัจฉริยะ
ปัจจุบัน หุ่นยนต์ได้รับการพัฒนาจนสามารถค้นหาคำตอบสำหรับปัญหาใหม่จากฐานข้อมูลเดิมที่มีอยู่( Deduction) โดยแนวโน้มที่หุ่นยนต์จะสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเองเช่นเดียวกับมนุษย์ มีความเป็นไปได้อย่างมากในอนาคต การคาดการณ์แนวโน้มการนำหุ่นยนต์มาใช้งานในภาคธุรกิจทั่วโลก มีดังนี้
1. การให้บริการหุ่นยนต์แบบ Robot as a Service ภายในปี ค.ศ. 2019 ร้อยละ 30 ของหุ่นยนต์สำหรับให้บริการต่างๆ จะเป็นรูปแบบธุรกิจในลักษณะ Robot as a Service ให้องค์กรได้เช่าใช้กันได้อย่างสะดวก และไม่ต้องลงทุนมากนักในตอนเริ่มต้น
2. มีตำแหน่ง Chief Robitics Officer ภายในปี ค.ศ. 2019 ร้อยละ 30 ขององค์กรชั้นนำต่างๆ จะเริ่มมีตำแหน่ง Chief Robotics Officer เพื่อคอยกำหนดทิศทาง การนำหุ่นยนต์มาใช้งานภายในธุรกิจองค์กร
3. มีผู้ผลิตหุ่นยนต์เกิดขึ้นมากมาย ภายในปี ค.ศ. 2020 องค์กรธุรกิจจะมีทางเลือกสำหรับเทคโนโลยีหุ่นยนต์จากผู้ผลิตหลายรายมากขึ้น จากการที่ผู้ผลิตหลากหลาย เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่มีมูลค่าสูงถึง 2.8 ล้านล้านบาทในตลาดหุ่นยนต์
4. ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์จะเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก ภายในปี ค.ศ. 2020 การเติบโตของตลาดหุ่นยนต์จะทำให้เกิดความต้องการบุคลากรผู้มีความรู้ด้านหุ่นยนต์เพิ่มขึ้น ในขณะที่เงินเดือนเฉลี่ยของผู้คนในวงการหุ่นยนต์จะสูงขึ้นร้อยละ 60
5. มีกฎหมายด้านหุ่นยนต์ ภายในปี ค.ศ. 2019 ทางภาครัฐของแต่ละประเทศ จะเริ่มมีการกำหนดกฎหมายเกี่ยวกับการนำหุ่นยนต์มาใช้งานในการทำงานรูปแบบต่างๆ กันไป โดยคำนึงถึงประเด็นทางด้านความมั่นคงปลอดภัย ความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมไปถึงความเป็นส่วนตัว
6. แนวคิด Software Defined Robot จะเกิดขึ้นภายในปี ค.ศ. 2020 ที่ร้อยละ 60 ของหุ่นยนต์ จะทำงานเชื่อมต่อกับระบบ Cloud เพื่อให้เสริมความสามารถใหม่ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และรองรับการทำงานรูปแบบใหม่ๆ รวมไปถึงทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ชนิดอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาดได้
7. หุ่นยนต์จะทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น ภายในปี ค.ศ. 2018 ร้อยละ 30 ของหุ่นยนต์ที่ติดตั้งในช่วงนั้น จะสามารถทำงานร่วมกันเองได้เร็วกว่าปัจจุบันถึง 3 เท่า และสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
8. เกิดเครือข่ายหุ่นยนต์ Intelligent RoboNet ภายในปี ค.ศ. 2020 ร้อยละ 40 ของหุ่นยนต์สำหรับใช้งานในภาคธุรกิจ จะมีการสื่อสารระหว่างกันแบบ Mesh เพื่อแบ่งปันข้อมูลระหว่างกัน ทำให้การทำงานของหุ่นยนต์ในภาพรวมในอนาคต มีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึงร้อยละ 200
9. การใช้งานหุ่นยนต์ภายนอกโรงงานจะเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ภายในปี ค.ศ. 2019 ร้อยละ 35 ของธุรกิจชั้นนำทางด้าน Logistics สาธารณสุข สาธารณูปโภค และทรัพยากร จะเริ่มมีการนำหุ่นยนต์ไปใช้ทำงานแทนมนุษย์กันเพิ่มขึ้น
10. มีหุ่นยนต์สาหรับระบบ E-Commerce ภายในปี ค.ศ. 2018 ร้อยละ 45 ของธุรกิจ E-Commerce และ Omni-channel Commerce ชั้นนำกว่า 200 แห่ง จะเริ่มมีการใช้งานหุ่นยนต์เพื่อจัดการ Warehouse และการขนส่งสินค้ามากขึ้น
อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ มีการลงทุนอย่างมากเกี่ยวกับหุ่นยนต์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับกระบวนการผลิต และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก
การเติบโตของตลาดหุ่นยนต์อุตสาหกรรมของไทยมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะมีการเติบโตสูงถึงร้อยละ 133 จาก 2,131 ยูนิต ในปี 2013 เป็น 7,500 ยูนิตในปี 2018
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สำคัญของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ไทยคือ การขาดตลาดภายในประเทศ เพราะผู้ใช้งานมักไม่ได้ให้ความสำคัญกับหุ่นยนต์ที่พัฒนาในประเทศเท่าที่ควร ดูจากการที่ผู้ผลิตรายใหญ่ๆ ที่มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตและการบริการเป็นระบบอัตโนมัติต่างๆ ล้วนนำเข้าหุ่นยนต์จากต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังขาดการส่งเสริมผู้ประกอบการหุ่นยนต์รุ่นใหม่ ที่มีศักยภาพในการคิดค้นนวัตกรรมให้เติบโต จนกลายเป็นวิสาหกิจเริ่มต้นทางด้านเทคโนโลยี ที่เป็นฐานเศรษฐกิจใหม่ของประเทศในอนาคต ทำให้ไทยยังต้องอาศัยการนำเข้าหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่มีมูลค่าสูงจากต่างประเทศเป็นหลัก
จากการสำรวจสัดส่วนความสามารถด้านเทคโนโลยีการผลิตของผู้ใช้งานหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติของผู้ประกอบการไทย พบว่า ส่วนใหญ่ยังเป็นระดับผู้ใช้งานเพียงอย่างเดียว (ร้อยละ 60)
มีเพียงประมาณร้อยละ 5 ของผู้ประกอบการไทยทั้งหมดเท่านั้น ที่สามารถเป็นผู้พัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติได้ โดยส่วนใหญ่เป็นความสามารถในการผลิตหุ่นยนต์บริการเท่านั้น เนื่องจากเรายังมีจำนวนผู้พัฒนาระบบในจำนวนน้อย และมีศักยภาพไม่มากนัก
ความท้าทายของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ไทย
ความท้าทายที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ไทยอาจจะต้องเผชิญคือ ความท้าทายจากประเทศจีนในเรื่องการผลิตหุ่นยนต์
สำหรับผู้ผลิตหุ่นยนต์อุตสาหกรรมไทย ควรเร่งสร้างเครือข่ายพันธมิตรกับผู้เล่นรายใหญ่ให้ครอบคลุมทั้งเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ถือว่าเป็นผู้เล่นสำคัญ ที่ผู้ผลิตไทยควรสร้างเครือข่ายในเชิงพันธมิตรไม่ใช่เชิงการแข่งขัน
ความท้าทายอีกประการหนึ่งของผู้ประกอบการหุ่นยนต์ไทยคือ การมีตลาดผู้ใช้ภายในประเทศที่ค่อนข้างใหญ่ โดยอุตสาหกรรมไทยมีกลุ่มที่ควรปรับปรุงกระบวนการผลิตเป็นระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมไทยร้อยละ 50 มีความพร้อมในการปรับเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติภายในระยะเวลา 1-3 ปีนี้ โดยในกลุ่มนี้ร้อยละ 47 เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่จะมีความพร้อมมากกว่าอุตสาหกรรมขนาดกลาง (ร้อยละ 26) และขนาดเล็ก (ร้อยละ 28)
ปัจจัยสู่ความสำเร็จ เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการพัฒนาไปสู่ Thailand 4.0 ควรเร่งดำเนินการด้านต่างๆ ดังนี้
(1) บุคลากร ควรเร่งพัฒนาบุคลากรสายเทคนิคด้านเครื่องจักร เช่น Mechatronics Robot และ Automation
(2) โครงสร้างพื้นฐาน เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพ( NQI) ที่เหมาะสม ได้แก่ Test lab, Robot service center, Training robot และ System application
(3) กฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ บูรณาการกฎหมาย กฎระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ไม่เกิดความซ้ำซ้อน และไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม
(4) นโยบายจากภาครัฐ เพื่อให้เกิดการพัฒนาในภาคอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว รัฐควรกำหนดนโยบายส่งเสริมอย่างตรงจุดและชัดเจน
(5) ผู้ใช้ ควรมีการกระตุ้นอุตสาหกรรมในประเทศปรับเปลี่ยนไปใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติให้มากขึ้น
(6) ผู้ผลิต เร่งยกระดับผู้ประกอบการในประเทศให้ผลิตหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่มีเทคโนโลยีสูงขึ้น
(7) บูรณาการความร่วมมือ พัฒนาศักยภาพและบูรณาการความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและสถาบันเครือข่ายไปสู่การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศ( Center of Excellence) เพื่อเป็นหน่วยงานที่จะทำหน้าที่พัฒนาบุคลากร และการพัฒนาเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นภายในประเทศต่อไป
ยุทธศาตร์ Thailand 4.0
เป็นการเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมการผลิต ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้เช่น สมาร์ทดีไวซ์ หุ่นยนต์ เมคคาทรอนิกส์ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง ระบบฝังตัว ระบบออโตเมชัน และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น ๆ โดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าและโทรคมนาคมของประเทศ
นโยบาย Super Cluster ซึ่งช่วยลดหย่อนภาษีให้กับบริษัทที่นำเงินลงทุนจากต่างประเทศ เข้ามาลงทุนในระบบหุ่นยนต์ออโตเมชัน
โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก เป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่ผสานอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เข้ากับโครงข่ายคมนาคมและโลจิสติกส์ที่ครอบคลุม เพื่อส่งเสริมลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนเครื่องบิน การซ่อมเครื่องบิน การพัฒนาบุคลากรด้านการบิน ปิโตรเคมีขั้นสูง ยานยนต์แห่งอนาคต เทคโนโลยีสารสนเทศและหุ่นยนต์ ด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง และสร้างเมืองวิทยาศาสตร์ที่จะเป็นศูนย์กลางในการวิจัย พัฒนา และสร้างนวัตกรรมต่อไป
สรุป
การพัฒนาหุ่นยนต์ในประเทศไทยให้ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการพัฒนางานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมในประเทศ
และจากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาประเทศไทยไปสู่ Thailand 4.0 โดยเน้นที่การยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้ง 10 กลุ่มนั้น เทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ นับเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ที่มีบทบาทในการช่วยพัฒนาและยกระดับกระบวนการผลิตและบริการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ แม่นยำ ลดความผิดพลาด และร่นระยะเวลาในการดำเนินงาน
Ten robotics technologies of the year
ดัดแปลงมาจาก Science Robotics, 16 Jan 2019: Vol. 4, Issue 26 ผู้ประพันธ์ประกอบด้วย Guang-Zhong Yang, Robert J. Full, Neil Jacobstein, Peer Fischer, James Bellingham, Howie Choset, Henrik Christensen, Paolo Dario, Bradley J. Nelson, และ Russell Taylor
ผู้ประพันธ์ ได้ระบุการพัฒนาเทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์ที่น่าตื่นเต้น 10 ประการ ตั้งแต่การวิจัยเริ่มต้นที่อาจเปลี่ยนอนาคตของหุ่นยนต์ ไปถึงผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่มีงานวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐาน ซึ่งใช้ขับเคลื่อนนวัตกรรมในวงการอุตสาหกรรมและการแพทย์
1. หุ่นยนต์ Atlas ของทีม Boston Dynamics
ประสิทธิภาพของ Atlas ซึ่งมีความสูง 1.5 ม. น้ำหนัก 75 กก. ที่สามารถกระโดดข้ามท่อนไม้ด้วยขาข้างหนึ่งขณะวิ่งจ๊อกกิ้ง และกระโดดข้ามกล่องไม้โดยไม่หยุดพักเหมือนนักกายกรรม
ทีม Boston Dynamics ของ Marc Raibert ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทรงตัวและการขับเคลื่อนของหุ่นยนต์
2. หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดแพลตฟอร์ม da Vinci SP ที่ใช้งานง่าย
การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์เป็นหนึ่งในนวัตกรรมการผ่าตัดที่สำคัญที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย
Da Vinci เป็นผู้บุกเบิกยุคแรก ๆ และเป็นผู้นำตลาดระดับโลก ด้วยการผ่าตัดที่ใช้งานง่าย และยังคงผลักดันการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์อย่างต่อเนื่อง
3. หุ่นยนต์แบบนุ่มที่นำทางผ่านวิธีการเติบโต
การออกแบบหุ่นยนต์แบบนุ่มช่วยหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและไม่มีโครงสร้าง
ซึ่งใช้สำหรับการนำทางในท่อและท่อร้อยสาย อุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงหุ่นยนต์สำรวจค้นหาและกู้ภัย
4. การพิมพ์แบบ 3 มิติด้วยอีลาสโตเมอร์ผลึกเหลวสำหรับหุ่นยนต์แบบนุ่ม
แม้ว่าจะมีการใช้ตัวบังคับแรงแบบอีลาสโตเมอร์ที่มีรูปร่างหลากหลาย( Versatile shape-morphing liquid crystal elastomeric actuators) มาก่อนหน้านี้
แต่เอกสารนี้แสดงให้เห็นว่า อีลาสโตเมอร์ สามารถประดิษฐ์ขึ้นด้วยการพิมพ์ 3 มิติได้ โดยใช้การพิมพ์ด้วยหมึกที่อุณหภูมิสูง
5. ตัวบังคับแรง ( actuators) ที่เลียนแบบกล้ามเนื้อโดยการปรับตัวเองด้วยระบบไฮดรอลิก
HASEL (hydraulically amplified self-healing electrostatic) เป็นตัวบังคับแรงที่ปรับตนเองแบบไฮดรอลิกด้วยไฟฟ้าสถิต ที่นุ่ม โปร่งใส และตรวจสอบตัวเองได้
ตัวบังคับแรงใช้หลักการไฟฟ้าสถิตและไฮดรอลิก เพื่อให้มีการหดตัวเชิงเส้นเมื่อมีแรงดันไฟฟ้า โดยไม่จำเป็นต้องยืดวัสดุไว้ล่วงหน้าหรือใช้โครงที่แข็งแต่ประการใด
6. หุ่นยนต์ระดับนาโนที่ประกอบตัวเองจาก DNA
ด้วยการควบคุมการสร้าง Origami DNA ที่ประกอบตัวเองได้ รวมกับระบบสลัก ที่ทำให้เกิดสาย DNAs ที่อยู่ในแนวเดียวกัน
โดยมีการเคลื่อนไหวของระดับนาโนที่แม่นยำ ภายใต้สนามไฟฟ้าที่ปรับได้จากภายนอก
7. หุ่นยนต์แมลงที่คล่องแคล่วว่องไว
เป็นการออกแบบหุ่นยนต์แมลงที่โดดเด่นโดยที่ไม่มีหาง, ไม่มีสายผูกมัด, เป็นอิสระ, ตั้งโปรแกรมได้, และมีขนาดเล็ก (28 กรัม)
เป็นยานพาหนะทางอากาศกระพือปีกที่มีความว่องไวเป็นพิเศษ สามารถทำการหมุนได้ 360 ° และมีระยะพิทช์ด้วยการเร่งเชิงมุม 5000° s− 2
8. หุ่นยนต์แบบสวมใส่ ( exosuit)
การใช้งานที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการช่วยเหลือผู้สูงอายุในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การสนับสนุนการเคลื่อนไหวและความเป็นอิสระ
ฟื้นฟูเด็กและผู้ใหญ่ที่มีความผิดปกติของการเคลื่อนไหวเนื่องจากโรคหลอดเลือดสมอง, เส้นโลหิตตีบ, หรือโรคพาร์กินสัน
9. หุ่นยนต์อเนกประสงค์ ( UR) e-Series Cobots
มีใช้ตั้งแต่ในห้องปฏิบัติการวิจัย สายการประกอบ โลจิสติกส์ จนถึงช่วยในการผ่าตัด แขนหุ่นยนต์ UR กำลังกลายเป็นที่แพร่หลาย แม้จะมีรูปลักษณ์ที่ไม่สวยงามก็ตาม
ด้วยคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นของการตรวจจับแรง/แรงบิด ทำให้หุ่นยนต์สามารถเรียนรู้และทำงานร่วมกับมนุษย์ผู้ปฏิบัติงานได้อย่างราบรื่น
10. หุ่นยนต์สุนัข aibo ของ Sony
การกลับมาอีกครั้งของ aibo สุนัขของเล่นของ Sony ที่ดีกว่าเดิมหลังจากเคยเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน
หุ่นยนต์นี้ ใช้เป็นของเล่นในการเรียนรู้ในวัยเด็ก หรือเป็นสหายสำหรับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาทเสื่อม
****************************