ผู้นำเชิงบวก สามารถนำองค์กรได้อย่างยั่งยืน ด้วยการสื่อสารและสร้างความผูกพันกับบุคลากร โดยใช้ การติดต่อที่มีคุณภาพสูง (High Quality Connection : HQC) และการมุ่งเน้นลูกค้า โดยการให้บุคลากรมีโอกาสพบปะกับลูกค้าโดยตรง (Outsource Inspiration) รวมถึงการที่ผู้นำเป็นแบบอย่างที่ดี (Role Model) ในการนำองค์กรอย่างมีคุณธรรม โดยการส่งเสริมและปฏิบัติตนอย่างมีคุณธรรมในทุกโอกาส
ผู้นำเชิงบวก
Positive Leader
พันเอก มารวย ส่งทานินทร์
[email protected]
2 กรกฎาคม 2561
บทความเรื่อง ผู้นำเชิงบวก (Positive Leader) นำมาจากหนังสือเรื่อง How to Be a Positive Leader: Small Actions, Big Impact มีบรรณาธิการคือ Jane E. Dutton และ Gretchen M. Spreitzer ได้รับการตีพิมพ์เมื่อ June 2nd 2014 โดย Berrett-Koehler Publisher
ผู้ที่สนใจเอกสารนี้แบบ PowerPoint (PDF file) สามารถ Download ได้ที่ https://www.slideshare.net/maruay/positive-leader
เกี่ยวกับบรรณาธิการ
-
Jane Dutton เป็น Robert L. Kahn Distinguished University Emerita Professor of Business Administration and Psychology ที่ University of Michigan และผู้ร่วมก่อตั้ง Center for Positive Organizations การวิจัยของเธอได้มุ่งเน้นที่ พลังของความสัมพันธ์ในเชิงบวกในที่ทำงาน การทำงาน และอัตลักษณ์ที่เป็นบวก
-
Gretchen Spreitzer เป็น Keith E. and Valerie J. Alessi Professor of Business Administration ที่ Ross School of Business at the University of Michigan (RSB) เธอยังเป็นผู้อำนวยการร่วมของ Ross Leadership Initiative การวิจัยของเธอมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มขีดความสามารถและการพัฒนาความเป็นผู้นำของพนักงาน โดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนแปลงและการถดถอยขององค์กร
สรุปหนังสือโดยย่อ
- ผู้นำบางคน สามารถที่จะเพิ่มความเป็นเลิศของตนเองและบุคลากรได้อย่างมาก โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล หรือความกล้าหาญที่มากมายนัก
- เช่นเดียวกับผีเสื้อในบราซิล ที่กระพือปีกแล้วทำให้เกิดไต้ฝุ่นในมลรัฐ Texas
- คุณสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในองค์กรของคุณ ผ่านการกระทำและการเปลี่ยนทัศนคติที่เรียบง่าย
-
Jane Dutton และ Gretchen Spreitzer รวมถึงเพื่อนร่วมงานของพวกเธอ ได้เสนอผลการศึกษาองค์กรที่มีประสิทธิผลเป็นเลิศ
- พวกเขาแสดงให้เห็นว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะปรับปรุงงานให้ตรงกับจุดแข็งของบุคลากร ทำให้บุคลากรสามารถปลดปล่อยพลังงาน มีความคิดริเริ่ม และมีเป้าหมายในการทำงานของพวกเขา
- ผู้ประพันธ์อธิบายถึงการสร้างความสัมพันธ์ในเชิงบวก ทั้งภายในและภายนอกองค์กร เช่นการนำลูกค้าพบปะกับบุคลากร ทำให้เกิดการเชื่อมต่อ และได้สัมผัสกับผลกระทบที่เกิดจากการทำงานของพวกเขาโดยตรง
- มีหลายบท ที่ได้กล่าวถึงประโยชน์หลายอย่างที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นผลมาจากการมีจริยธรรมขององค์กร ที่ยึดความดีงามและความเป็นธรรม
- ผู้ประพันธ์ได้เสนอวิธีการจัดการกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของผู้นำ ในการสร้างความหวังมากกว่าความกลัว โดยให้บุคลากรมีส่วนร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลง
- ในแต่ละบท มีตัวอย่างจากองค์กรจริงที่รู้จักกันดีเช่น Wells Fargo, Ford, Kelly Services และ Burt’s Bees จนถึงองค์กรที่คนรู้จักน้อยเช่น Griffin Hospital ในมลรัฐ Connecticut และ Zingerman’s community of businesses ในมลรัฐ Michigan
- เนื่องจากความเป็นผู้นำในเชิงบวก มีการดำเนินการที่เรียบง่าย ค่าใช้จ่ายไม่แพง จึงเป็นวิธีที่ยั่งยืนในการสร้างสิ่งที่ดีที่สุดของบุคลากรและองค์กร
- บทความต่าง ๆ เป็นการนำเสนอวิสัยทัศน์ของภาวะผู้นำ ที่ไม่เกี่ยวกับความร่ำรวยของทรัพยากร แต่มีความอุดมสมบูรณ์ของความเป็นไปได้
อาจารย์ระดับร็อกสตาร์
- ในหนังสือเล่มนี้ เป็นผลงานของ 17 นักคิดชั้นนำ และมีทั้งหมด 13 บท ที่จัดแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม
-
Shawn Achor แนะนำให้อ่านหนังสือเหมือนกับว่า "กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่น่าทึ่ง ของชั้นเรียนที่สอนโดยอาจารย์ระดับร็อกสตาร์"
กลุ่มที่ 1. Foster Positive Relationships มีดังนี้
-
Building high-quality connections (Jane Dutton)
-
Connecting workers to their impact on others (Adam Grant)
-
Negotiating mindfully (Shirli Kopelman and Ramaswami Mahalingam)
กลุ่มที่ 2. Unlock Resources from Within มีดังนี้
-
Enabling thriving at work so that people have energy and creativity (Gretchen Spreitzer and Christine Porath)
-
Cultivating positive identities (Laura Morgan Roberts)
-
Shaping jobs to draw out the strengths and passions of available workers (Amy Wrzesniewski)
กลุ่มที่ 3. Tap into the Good มีดังนี้
-
Activating virtuousness (Kim Cameron, includes a clear discussion of Everest goals)
-
Leading ethical organizations (David M. Mayer)
-
Imbuing organizations with higher purpose (Robert E. Quinn and Anjan Thakor)
กลุ่มที่ 4. Create Resourceful Change มีดังนี้
-
Cultivating hope (Oana Branzei)
-
Creating micro-moves for organizational change (Karen Golden-Biddle)
-
Treating employees as resources, not resistors (Scott Sonenshein)
-
Creating opportunities from crisis (Lynn Perry Wooten and Erika Haynes James)
เกริ่นนำ
- เวลาของการเป็นผู้นำที่เข้มงวดและจ้ำจี้จ้ำไชได้สิ้นสุดลงแล้ว พนักงานหลายคนไม่ยอมรับวิธีการจากบนลงล่างอีกต่อไป และยืนยันสิทธิของตน เพื่อความสมดุลในชีวิตการทำงานที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นสหภาพ หรือโดยการเปลี่ยนงาน เนื่องจากตอนนี้หลายอาชีพที่มีเงื่อนไขที่น่าสนใจ
-
ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น (startup) เช่น Buffer หรือ Zapier สามารถทำงานได้จากระยะไกล 100% ซึ่งหมายความว่า ทีมงานทั้งหมด ทำงานจากที่บ้าน และได้ทุกที่ในโลก!
ส่งเสริมความสัมพันธ์ในเชิงบวก
- ความจริงที่ว่า เราทุกคนมีการซึมซับวัฒนธรรมของบริษัท ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี! อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้นำอีกหลายคน จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนในการโต้ตอบกับผู้คน
- นี่คือที่มาของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งแนะนำการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คุณสามารถทำได้ เพื่อให้แน่ใจว่า คุณสามารถแผ่พลังงานที่ดีแก่ผู้คนรอบตัวคุณ (ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้จัดการทีมหรือไม่ก็ตาม)
สามบทเรียนจากหนังสือ
-
1. การเชื่อมต่อที่มีคุณภาพสูง โดยการให้ความสำคัญกับทุกคน (Have more high-quality connections by giving people your full attention)
-
2. การเชื่อมต่อกับผู้ที่ได้รับประโยชน์จากงานของคุณ เพื่อศึกษาความหมายของงาน (Connect to those, who benefit from your work, to see its meaning)
-
3. การปฏิบัติตามจรรยาบรรณของคุณ ด้วยคำถามง่าย ๆ (Stay true to your ethical code with one simple question)
ข้อที่ 1. การเชื่อมต่อที่มีคุณภาพสูง โดยการให้ความสำคัญกับทุกคน
- คุณรู้หรือไม่ว่า สมองของคนเราที่ใหญ่ขึ้น ทำให้คนเรามีการสังคมมากขึ้น?
- ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มนุษย์มีวิวัฒนาการให้เป็น สายพันธุ์แห่งการสังคมมากที่สุดในโลก (most social species on the planet)
- เราเติบโตขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และสิ่งที่ดี ๆ เหล่านี้ จะทำให้เรามีความมั่นใจ มีพลัง และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
- หากที่ทำงานของคุณเป็นศูนย์กลางของ การเชื่อมต่อที่มีคุณภาพสูง (high quality connections) การแลกเปลี่ยนระหว่างคนสองคนจะทำให้ทั้งสองคนมีพลังมากขึ้น ธุรกิจจะเจริญเติบโตได้ดี เนื่องจากผู้คนทำผลงานออกมาได้ดีที่สุด
- ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยหลังจากทานอาหารกลางวัน แต่การได้พูดคุยเกี่ยวกับเกมฟุตบอลเมื่อวานนี้ กับเพื่อนร่วมงานที่มีความชื่นชอบเท่าเทียมกัน เป็นการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพสูง ที่จะทำให้คุณมีพลังงานมากขึ้น และทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น
- บริษัทที่ยิ่งใหญ่ พยายามเพิ่มจำนวนของการพบปะในเชิงบวกเหล่านี้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
-
Google ทำเช่นนี้ โดยมีห้องอาหารที่ดีและไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งผู้คนสามารถมารับประทานอาหารและได้พูดคุยกัน
- ในการเป็นผู้นำที่ดี คุณควรช่วยผู้อื่นในการเชื่อมต่อเหล่านี้ให้มากขึ้น เริ่มต้นด้วยตัวคุณเอง
- ทำได้อย่างไร?
- ง่ายมาก ครั้งต่อไปที่คุณพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือสมาชิกในครอบครัว ให้ความสนใจอย่างเต็มที่ (give them your full attention) ปิดโทรศัพท์มือถือของคุณให้เงียบและตั้งใจฟัง อย่ามองไปที่คอมพิวเตอร์ของคุณหรือมองออกไปนอกหน้าต่าง ให้ความสนใจในขณะนั้นทั้งหมด พยายามทำความเข้าใจจริงๆ และทำตนให้เป็นประโยชน์กับพวกเขา
- แล้วความแตกต่างจะแสดงให้เห็น
ข้อที่ 2. การเชื่อมต่อกับผู้ที่ได้รับประโยชน์จากงานของคุณ เพื่อศึกษาความหมายของงาน
- ไม่มีอะไรกระตุ้นเรา ได้มากกว่าเห็นผลกระทบจากการทำงานของเรา
- เมื่อคุณรู้ว่างานที่คุณทำ มีความหมายถึงบางสิ่งบางอย่าง (means something) ที่จะเปลี่ยนแปลงคนและช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น คุณจะรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น ในการลุกจากเตียงในตอนเช้า
- ตัวอย่างเช่น นักศึกษาที่ทำงานในศูนย์บริการข้อมูลของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ที่ต้องโทรศัพท์หาศิษย์เก่าเพื่อขอรับบริจาคเงิน การที่พวกเขาได้พูดคุยกับผู้ที่เคยได้รับทุนมาก่อน ทำให้นักศึกษาเกิดแรงจูงใจ มีความพยายาม และได้ผลลัพธ์ที่สูงขึ้น
- จะเห็นได้ว่า การเชื่อมต่อกับผู้รับผลงานปลายทางของผลิตภัณฑ์หรือบริการ (Outsource Inspiration) เป็นสิ่งสำคัญ
- พยายามหาคนที่ได้รับประโยชน์จากงานของคุณมากที่สุด และเชื่อมต่อกับพวกเขา
- จากนั้น ให้แน่ใจว่า คุณแนะนำเพื่อนร่วมงานของคุณ และช่วยให้พวกเขาทำเช่นเดียวกัน เพื่อให้ทุกคนตื่นขึ้นมาอย่างตื่นเต้น สำหรับการทำงานในวันพรุ่งนี้!
ข้อที่ 3. การปฏิบัติตามจรรยาบรรณของคุณ ด้วยคำถามง่าย ๆ
- พวกเรามีโอกาสมากมายที่จะประพฤติผิดศีลธรรมทุกวัน และเราสามารถที่จะหลบเลี่ยงการผิดกฎหมายได้ ทั้งๆ ที่ทำผิดกฎหมาย
- แต่ส่วนมากเราไม่ได้ทำ เพราะเรามีจรรยาบรรณ เราทุกคนต้องการที่จะถูกมองว่าเป็นคนดี มีการตัดสินใจที่ถูกต้อง และการกระทำที่ไม่ดีเช่นการขโมยสิ่งของ เป็นการไม่ถูกต้อง
- เมื่อคุณธรรมมีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าอุปโภคบริโภค ความปรารถนานี้ได้ลุกลามไปสู่บริษัท ที่พนักงานต้องการให้ผู้นำของตนมีจริยธรรมเช่นกัน หากเจ้านายของคุณทำหน้าที่อย่างมีจริยธรรม จะก่อประโยชน์มากมายสำหรับคุณและพนักงานทุกคน เพราะเราปฏิบัติกับคนอื่นได้ดี เมื่อเราได้รับการปฏิบัติอย่างดี
- เช่นเดียวกัน หากเราเห็นผู้นำของเราเป็น แบบอย่างที่ดี (role models) ทำให้เราต้องการเลียนแบบพฤติกรรมที่ดีของพวกเขา
- ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ดูแลทีมการตลาด ลูกสาวสองคน หรือชมรมหนังสือท้องถิ่น คุณสามารถตรวจสอบให้แน่ใจว่า คุณปฏิบัติตามจรรยาบรรณของคุณ โดยการถามคำถามง่ายๆ สำหรับทุกการตัดสินใจของคุณคือ
- ฉันจะยังรู้สึกดีอยู่หรือไม่ ถ้าผลของการตัดสินใจของฉัน จะได้รับการตีพิมพ์ในหน้าแรกของ The New York Times ในวันพรุ่งนี้? (ประเทศไทยคงเป็นหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ)
- นี่เป็นวิธีการวัดจริยธรรม ที่ดูแล้วไม่เลวใช่หรือไม่?
- ถ้าคุณพอใจกับสิ่งที่คุณตัดสินใจ เชื่อมโยงไปถึงหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้ มีโอกาสที่คุณจะผ่านการทดสอบว่า นั่นเป็น การกระทำที่ถูกต้อง (the right thing to do)
สรุป
-
หนังสือเรื่อง “How To Be A Positive Leader” ได้แสดงให้เห็นว่า ผู้นำเชิงบวก สามารถนำองค์กรได้อย่างยั่งยืน ด้วยการสื่อสารและสร้างความผูกพันกับบุคลากร โดยใช้ การติดต่อที่มีคุณภาพสูง (High Quality Connection : HQC) และการมุ่งเน้นลูกค้า โดยการให้บุคลากรมีโอกาสพบปะกับลูกค้าโดยตรง (Outsource Inspiration) รวมถึงการที่ผู้นำเป็นแบบอย่างที่ดี (Role Model) ในการนำองค์กรอย่างมีคุณธรรม โดยการส่งเสริมและปฏิบัติตนอย่างมีคุณธรรมในทุกโอกาส
ส่งท้าย
-
การเป็นผู้นำเชิงบวก (How To Be A Positive Leader) ประพันธ์โดยผู้เชี่ยวชาญ 17 คน ที่เชี่ยวชาญด้านภาวะผู้นำ เพื่อแสดงให้เห็นว่า คุณสามารถเป็นผู้นำในเชิงบวกได้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้คนรอบตัว ไม่ว่าจะในที่ทำงานหรือที่บ้าน โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้เกิดผลกระทบใหญ่โต
- หนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่เฉพาะสำหรับผู้จัดการและผู้นำขององค์กรที่มีบุคลากรหลายพันคน แต่ใช้ได้สำหรับทุกคน
************************************