อนุทินล่าสุด


Wahoo_KrooKay
เขียนเมื่อ

อาหารไทยเรียบง่ายแต่มีคุณค่า.............(ต่อ)

คุณค่าที่เป็นศิลปะทางตา

คุณค่านี้ดูละเมียดละไม เอาใจใส่กับผู้รับประทาน สมัยนี้หาบุคคลที่จะมีฝีมือทำยากมาก เพราะใจที่ไม่ค่อยละเมียดละไม เอาแต่ความวู่วาม จึงได้ออกมาเพียงข้าวกะเพราไข่ดาว ที่แต่งให้เป็นศิลปะด้วยการโปะไข่ไว้ข้าง ๆ จาน (ฮ่า...)

คนสมัยก่อนโดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่ต้องเร่งรีบออกไปทำงานนอกบ้าน อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน จึงค่อย ๆ นำผัก ผลไม้มาแกะสลักบ้าง นำมาฝาน พอเป็นคำ ๆ ให้พอรับประทานพอดีกับปากมนุษย์ได้ (ที่ไม่ตะกละอย่างเรา... ^^ !) ทั้งที่เป็นเครื่องคาวและเครื่องหวาน ทั้งที่เป็นเพียงผักเครื่องเคียง หรือผลไม้ลอยแก้ว โอ้โห ! ทำได้อย่างไร ดูช่างงดงามละเมียดละไมและเอาใจใส่แก่คนที่รับประทานมาก ๆ

เมื่อปิดเทอมคราวที่แล้ว แค่คุณครูชาวต่างชาติเห็นขนมลูกชุบธรรมดา ๆ เท่านั้น ถามคำถามแรกเลย ไม่เสียดายบ้างหรือครูเก๋ ของเขาทำยากนะ กว่าจะทำได้เหมือนขนาดนี้ (อืม......จริง มิน่าคุณครูท่ายถ่ายรูปใหญ่เลย แล้วก็อุดหนุนลูกชุบที่ทำเลียนผลไม้บ้าง ผักบ้าง ครบทุกแบบทุกชนิด)  

น่าเสียดายที่เราเองคนไทยแท้ ๆ ละทิ้งและมองข้ามไป ทำให้กลับย้อนมานึกว่า ไม่ต้องเอายุคสมัย  ไม่ต้องเอาเวลา มาเป็นข้อจำกัด เพราะจริง ๆ แล้ว ศิลปะนี้มันคือความเป็นไทย ๆ ที่เราละเลยไม่รักษาไว้นั่นเอง แล้วทำไมฝรั่งนั่งแกะสลักผักได้สวยกว่าเรา เพราะเขาให้ความเคารพต่อศิลปะ และมีสุนทรียมากกว่าเรา เพระาฉะนั้นอะไร ๆ ที่มันกำลังจะสูญหายอย่าไปโทษใคร ต้องโทษที่เรานี่แหละ

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

Wahoo_KrooKay
เขียนเมื่อ

อาหารไทย ๆ เรียบง่ายและมีคุณค่า (ต่อ).......

จากการดำรงชีวิตแบบเด็ก ๆ แม่ใหญ่ (ยาย) มักจะบอกว่าแกงส้มดอกแคกินแล้วดีนะลูก แก้ไข้หัวลม ฮ่า จะว่าตอนนั้นยังไม่เข้าใจว่าแม่ใหญ่หมายถึงอะไร แต่เพิ่งจะมา get ก็ตอนอายุปาเข้าไปใกล้จะถึงหลักสี่ จริง ๆ มันคือแก้หวัด ป้องกันหวัดนั่นเอง อืม ! ไม่รู้ว่าจะมีข้อพิสูจน์ตามคำโบราณเขาว่าหรือเปล่า ? แต่กินตอนยังไม่เป็นหวัดก็ซัดไปซะหลายชามอยู่ มีอีกหลาย ๆ อย่างที่กินแล้วช่วยเสริมสุขภาพให้กับคุณแม่มือใหม่ ตามที่ใคร ๆ บอกกันว่าเวลาให้นมลูกต้องกินแกงเลียง เพราะมีสารอาหารจากผักหลากหลาย ทั้งใบแมงลัก ฟักทอง บวบ ส่วนผสมที่ให้ความเผ็ดร้อนนิด ๆ จากพริกไทย และส่วนผสมอื่น ๆ ฯลฯ 

อยากรู้จังว่าสมัยก่อนไม่มีคุณหมอ ไม่มีเภสัชกร ไม่มีนักโภชนาการ แต่ทำไมภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อน ๆ ที่รังสรรค์อาหารเหล่านี้ต่างเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งเสริม ทั้งรักษา ทั้งป้องกัน

อาหารบางจานที่ราคานับหมื่นนับแสน คุณค่าทางโภชนาการจะเทียบได้กับข้าวจาน แกงถ้วย ไหมหนอ ?

^^

  



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

Wahoo_KrooKay
เขียนเมื่อ

อาหารไทย ๆ เรียบง่ายและมีคุณค่า........

สมัยก่อนชีวิตที่เรียบง่าย ดูไม่ต้องรีบร้อนอะไรมากนักวิถีชีวิตความเป็นอยู่ดูจะละเมียดละไมไปทุกขั้นทุกตอน อาหารเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้หล่อเลี้ยงชีวิตให้มีเรี่ยวแรงกำลังเพียงอย่างเดียว  แต่เป็นทั้งยาที่ช่วยรักษาและป้องกันโรค เป็นทั้งศิลปะทางตา เป็นอาหารใจ สัมผัสได้ทั้งกลิ่น รส และเสียง

เป็นยาที่ช่วยรักษาและป้องกันโรค.....

อาหารที่มีรสจัดของภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นแกงส้ม (แกงเหลือง) แกงไตปลา ข้าวยำ ฯลฯ ล้วนน่าสนใจ เพราะอาหารแต่ละอย่างมีรสจัด ๆ ทั้งนั้นเลย เวลาทานก็มีผักหลายชนิดเป็นเครื่องเคียง แต่ด้วยลักษณะภูมิประเทศภูมิอากาศที่ต้องประสบกับฝนที่ตกชุกเกือบตลอดปี  อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นยาที่ช่วยป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยจากหวัดได้อย่างดีทีเดียว  เพราะมีวิตามินซีจากพริก และผักที่หลากหลาย เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพและคงอยู่กับสภาวะนั้นให้รอดปลอดภัย

ของภาคเหนือล่ะเป็นแบบนั้นด้วยไหม....น่าจะเป็นด้วยเช่นกัน เพราะภาคเหนือมีอากาศเย็นมากกว่าภาคอื่น ๆ อาหารที่เห็นเป็นส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของสมุนไพรหรือไขมันมากกว่าภูมิภาคอื่น เช่นแกงฮังเลย์ น้ำพริกอ่อง ข้าวซอย ซึ่งทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น เพื่ออยู่รอดกับสภาพอากาศที่เย็นเพราะอยู่บนพื้นที่สูง

ของภาคอีสานก็ไม่เบา.....ด้วยสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบสูง แห้งแล้ง ผลิตอาหารได้น้อย  แต่ก็อยู่รอดได้โดยไม่เป็นโรคขาดสารอาหาร ด้วยภูมิปัญญาการรักษาชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยโปรตีนจากสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่เรียกกันว่าแมลง แมง และหนอน หรือกบ เขียด ฮวก อ๊อด ฯลฯ อย่างน้อย ๆ

ของภาคกลางขอกลับไปคิดทบทวนดูสักหน่อยว่ามีอะไรบ้างที่เป็นยารักษาและป้องกันโรค

(n____n)


 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

Wahoo_KrooKay
เขียนเมื่อ

" คนที่เขย่งเท้าเพื่อจะอยู่เหนือคนอื่น  ผู้นั้นย่อมยืนอยู่ได้ไม่นาน

  คนที่ก้าวเท้ายาวเกินไปเพื่อจะล้ำหน้าคนอื่น.....ย่อมไปได้ไม่ไกล "

   ....... เต๋า เต็ก เก็ง  บทที่ ๓ ......

" ไม่มีสิ่งใดจะอ่อนนุ่มไปกว่าสายน้ำ 

   แต่ไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าน้ำ.....ในการมีชัยเหนือสิ่งที่แข็ง "

...... เต๋า เต็ก เก็ง บทที่ ๗๘ ........

เรียบง่าย  ลึกซึ้ง 

จากบทเรียนวันนี้ในวิชาปรัชญาและพุทธศาสนา  ไม่รู้สึกเบื่อเลย มีแต่ อืม.....ใช่เลย ๆ ตัวเรายังต้องขวนขวาย ไขว่คว้า อีกไม่น้อยทีเดียว จากที่รู้สึกย๊าก...ยาก  กลับกลายว่าอยากอ่าน และอยากให้ถึงวันอาทิตย์เร็ว ๆ

(@^______^@)

 



ความเห็น (2)

ส่งกำลังใจข้ามอ่าวไทยไปหานะคะ :)

  • ขอบคุณกำลังใจจากอ่าวไทยของคุณปริมค่ะ รู้สึกได้ถึงมิตรภาพแม้ข้อจำกัดของระยะทางที่ดูว่าไกลแต่ไม่ไกลเกินนะคะ  (n___n)

 

  • ขอบคุณดอกไม้ทุกดอกจากมิตรภาพต่างใจของทุกคนค่ะ

 

 

 

Wahoo_KrooKay
เขียนเมื่อ

คอห้อย....

ตั้งแต่เปลี่ยนบทบาทของตัวเองเป็นลูกศิษย์ทำให้การใช้ชีวิตที่เคยทำเป็นประจำ  ทุกอย่างต้องปรับเปลี่ยนใหม่

  • จากที่เคยได้กลับบ้านไปหาแม่ทุกวันศุกร์  เสาร์อาทิตย์อยู่กับแม่และน้องหะเมียว เพื่อไปทำหน้าที่ของลูกต่อแม่  เช่น   ไปถูบ้านขัดห้องน้ำ [ ซักผ้ารีดผ้าให้แม่บ้าง ] เลี้ยงพี่โชค น้องแก๊ง และน้องขนุนบ้าง 

 

  • จากที่เคยพักผ่อนนอนหลับอย่างน้อย ๘ - ๙  ชั่วโมง ตามธรรมดาที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะได้นอนก็ไม่เป็นอย่างเคย  T  T

 

  • จากที่เคยเป็นคนชอบรับประทาน ขนมไทยที่ห่อด้วยใบตองทุกชนิดโปรดหมด  ปัจจุบันถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  บอกไม่ถูก

 

  • จากที่เคยมีเวลาอ่านหนังสือที่ตัวเองชอบ ๆ และติดตามนักเขียนที่ชอบตามคอลัมน์ต่าง ๆ กับหนังสือที่พวกเขาเขียน ทั้งมติชนสุดสัปดาห์ ตรวจภายใน  เราพบกันเพราะหนังสือ  หนุ่มเมืองจันทร์  ลุงเนาว์ พี่จุ้ย ฯลฯ  โอ้โห....ต้องอยู่แบบห่าง ๆ กันสักระยะ

 

  • จากที่เคยได้ไปวัดกับแม่ทุกวันนี้ต้องทิ้งแม่ให้ไปวัดคนเดียว  โหย.....กรรม ๆ

ตั้งแต่ไปเรียนหนังสือเพื่อปรับพื้นฐานวิชาระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาาสตร์
วันแรก (๑๙ พ.ค. ๐๙.๐๐-๑๖.๓๐ น.)   พอกลับมาบ้านพักครูตอน ๒๐.๐๐ น. มันเกิดอาการจุกแบบไม่ต้องกินข้าวหรือโดนลูกบอลเข้าที่ท้องน้อย  พาลมีอาการนอนหลับไม่สนิท  และแล้ววันอาทิตย์ที่ ๒๐ พ.ค. ก็ไปนั่งเรียนต่อแบบตาลอย ๆ ฮ่า ฮ่า  [ นี่แค่เรียนปรับพื้นฐานวิชาเดียว  ยังไม่ได้เจอวิชาพื้นฐานอีก ๔ วิชาที่กำลังจะเริ่มต้น ในวันเสาร์ที่ ๑ ก.ค.  รวมทั้งวิชาบังคับอีก ๒ วิชา ที่กำลังจะตามมา ]

ไม่ได้การแล้ว...มีการบ้านทุกสัปดาห์  แต่ละสัปดาห์ต้องอ่านหนังสือและหนังสือ  ไม่อ่านก็ไม่ได้  เพราะเพื่อนร่วมชั้นนับแล้วนับอีกมีเพียง ๙ คน  โห ! กรรม ๆ  ปรับใหม่เปลี่ยนใหม่

  • จากที่เคยได้กลับบ้านไปหาแม่ทุกวันศุกร์เพื่อไปทำหน้าที่ของลูกต่อแม่  เช่น   ไปถูบ้านขัดห้องน้ำ [ ซักผ้ารีดผ้าให้แม่บ้าง ] เลี้ยงพี่โชค น้องแก๊ง และน้องขนุนบ้าง เอาใหม่วุ๊ย....วนิดา  กลับไปหาแม่วันธรรมดาวันไหนสักวันหนึ่งก็ได้  อย่างน้อยไปถูบ้านบ้าง  เบิร์ดกบาลน้องหะเมียวบ้างก็ยังดี  แต่อย่างน้อยจะต้องเป็นวันของแม่

 

  •  จากที่เคยพักผ่อนนอนหลับอย่างน้อย ๘ - ๙  ชั่วโมง ตามธรรมดาที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะได้นอนก็ไม่เป็นอย่างเคย  T  Tเอาใหม่วุ๊ย....วนิดาทำงานครูเสร็จสักห้าโมงเย็น  แล้วก็กลับบ้านพักครู  ออกกำลังกายนิดสักสามสิบนาทีคงพอไหวไม่ต้องถึงชั่วโมง  อาบน้ำแล้วนอนสักตื่นใหญ่ ๆ ตื่นใหม่อีกครั้งสักเที่ยงคืนอาบน้ำให้มันสดชื่นแล้วค่อยทำการบ้าน  อ่านหนังสือ  เสร็จแล้วพอมีเวลาก็งีบต่อ  ไม่เสร็จก็เช้า  อย่างน้อยก็ได้พักผ่อนพอควรแล้ว [ ยังมีเวลานอนอีกเยอะ แค่นี้คงไม่ถึงกับตาย  แต่การบ้านไม่เสร็จ  อ่านหนังสือไม่จบ  แล้วไปเรียนหนังสือแบบไม่มีอะไรที่จะไป discuss ภายใน class ได้  สมองดูว่างเปล่า  มันจะเกิดอะไรขึ้น นึกถึงตัวเองเวลาที่ลูกศิษย์ไม่ทำการบ้าน  การบ้านไม่เสร็จ  แหม !  อาการเดียวกัน  อารมณ์เดียวกันกับอาจารย์ผู้สอนเชียว ฮ่า ฮ่า ]
  • จากที่เคยเป็นคนชอบรับประทาน ขนมไทยที่ห่อด้วยใบตองทุกชนิดโปรดหมด  ปัจจุบันถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  บอกไม่ถูก  เอาใหม่วุ๊ย....วนิดา จริง ๆ แล้วมันเป็นข้อดีอย่าง  ที่ทำให้รับทานของหวานน้อยลง  อนาคตจะได้ไม่เป็นเบาหวานอย่างน้องแก๊ง  จะได้มีสารรูปอย่างสตรีไทยสมัยนี้เขาผอมเพรียว สะโอดสะองกันบ้าง  แม้ความกังวลมันจะมาบดบังความอร่อยของขนมไปบ้างแต่ก็เอาเถอะ  อย่างน้อยได้รับทานของที่ชอบโดยยังไม่มีใครมาจุดธูปให้ก็บุญมากแล้วนะวนิดา  ^______^

 

  •   จากที่เคยมีเวลาอ่านหนังสือที่ตัว เองชอบ ๆ และติดตามนักเขียนที่ชอบตามคอลัมน์ต่าง ๆ กับหนังสือที่พวกเขาเขียน ทั้งมติชนสุดสัปดาห์ ตรวจภายใน  เราพบกันเพราะหนังสือ  หนุ่มเมืองจันทร์  ลุงเนาว์ พี่จุ้ย ฯลฯ  โอ้โห....ต้องอยู่แบบห่าง ๆ กันสักระยะ เอาใหม่วุ๊ย...วนิดา  หนังสือที่เคยชอบอะไรก็ตามที่เคยติดตาม  ก็เว้นวรรคบ้าง  เอาหนังสือเรียนก่อน  เดี๋ยวมีเวลาค่อยมาตามหาอ่าน  หรือซื้อเก็บไว้ก่อนแล้วค่อยมาอ่านทีหลัง [ แม้แม่จะบ่นว่าซื้อมาแล้วยังไม่เห็นวนิดาอ่าน  ก็เอาหูทวนลมไปก่อน  ฮ่า ฮ่า  ห้ามไปเถียงเชียวไม่งั้นจะเป็นการทดเวลาให้แม่มีแรงบ่นเราได้อีก ]

 

  • จากที่เคยได้ไปวัดกับแม่ทุกวันนี้ต้องทิ้งแม่ให้ไปวัดคนเดียว  โหย.....กรรม ๆ  เอาใหม่วุ๊ย....วนิดา  ปิดเทอมหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์จะเป็นวันของแม่และพระศาสนา 

ทำได้  ปรับได้  เปลี่ยนได้  ไม่ยาก  เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป 

อ้าว !

(@^________^@)


 



ความเห็น (1)
  • ขอบคุณค่ะพี่โอ๋ Blank  แอบมาดักส่งดอกไม้ให้สม่ำเสมอทีเดียว (n__n)

 

Wahoo_KrooKay
เขียนเมื่อ

อ่านไดอารี่พ่อจบก็ทำให้ฉันได้รู้ว่า  การที่เราต้องเป็นพ่อเป็นแม่ใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  

พ่อบันทึกไว้ว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะเลี้ยงดูลูก ๆ ให้มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ทั้งสองคน  แต่ลูกบางคนเลี้ยงใจดูจะยากกว่า โดยเฉพาะเจ้าลูกคนเล็ก บทที่ไม่เอาอะไรกับใครก็ดูเหมือนว่าลูกจะนุ่มนิ่มเกินไปจนน่าเป็นห่วง  แต่บทไม่ยอมใครมันก็มีเหตุมีผลจนคนเป็นพ่อคนต้องจำนนกับตาดำ ๆ คำถามซื่อ ๆ  ของมัน  [ อ้าว ๆ ไมพ่อจ๋าเขียนแบบนี้เนี่ย ^^" ]

พ่อว่าบางครั้งความเด็ดเดี่ยวของฉันทำให้พ่อกลัวใจอยู่หลายครั้ง " ในบันทึกของพ่อเขียนไว้ว่าเคยตั้งคำถามกับฉันเมื่อตอนแปดขวบว่าโตขึ้นเก๋อยากทำอะไร ลูกสาวคนเล็กตอบว่าอยากเป็นทหาร พ่อถามฉันว่าทำไม เจ้าลูกสาวคนเล็กตอบว่าไปช่วยเพิ่มรั้วให้ชาติ [ ขำตัวเองจริง ๆ เอ่อ ! แมนไป ๆ  ] แล้วรู้ไหมว่ารั้วของชาติทำไมถึงหายไป ลูกสาวตอบเสียงหนักแน่น รู้ซิ รู้แล้วกลัวไหมเรา ลูกตอบผมว่าไม่กลัว  เพราะใคร ๆ ก็ต้องตาย ขนาดลุงเบิ้มยังตายเลยไม่ใช่หรอคะพ่อ ลูกคนนี้ทำให้ผมอึ้ง [ ฮ่า ฮ่า...หนูมาอ่านตอนนี้ก็อึ้งค่ะพ่อ ] 

จนมาตอนนี้ที่ลูกสาวคนนี้อายุ ๒๐ ปี  ผมตั้งคำถามเดิมกับลูกว่าเรียนจบแล้วอยากจะทำอะไร  ผมเห็นลูกฝึกงานช่วงปิดเทอมเพื่อเก็บชั่วโมงมาหลายเทอมแล้ว  นึกอดสงสัยมันไม่ได้ว่าที่หาย ๆ ไปเก็บชั่วโมงฝึกงานแอบไปเถลไถลที่ไหนหรือเปล่า ตามประสาของคนเป็นพ่อหรือเพราะแม่มันกรอกหูผมหรือเปล่าก็ไม่รู้ [ โหย....พ่อจ๋าก็นะ ฮ่า...ฮ่า.. ] ลูกสาวผมมันมีความคิดแบบที่ผมก็ไม่คิดว่าลูกจะตอบผมแบบนี้ หนูอยากเป็นมัคคุเทศก์ค่ะพ่อ  หนูทบทวนดูแล้วว่าหนูเหมาะกับมันที่สุด หนูไม่ชอบทำงานสบายค่ะพ่อจ๋า  หนูจำได้ว่าเวลาที่พ่อพาหนูไปไหนต่อไหนตอนเด็ก ๆ พ่อมักจะมีเรื่องเล่าสนุก ๆ ให้หนูฟังเพลิน ๆ ไปด้วย หนูอยากพูดภาษาอังกฤษแบบพ่อจ๋าก็เพราะพ่อคือแรงบันดาลใจให้หนูไม่กลัวภาษาอังกฤษและเรียนมันได้อย่างสนุกก็เพราะพ่อ ลูกทำให้ผมอึ้งอีกครั้ง เจ้าลูกคนนี้หายไปจากอกพ่ออย่างผม ไปฝึกงานได้สักสามอาทิตย์กลับบ้านมาตัวดำเหนี่ยง นอนหลับเป็นตายน้ำท่ามันก็ไม่อาบ  ผมจะไปปลุกก็กลัวโดนแม่มันว่า [ ฮ่า...ฮ่า..พ่อจ๋ากลัวเมียนะเนี่ย ]  ได้แต่รอลูกว่าเมื่อไหร่ลูกจะตื่นมาเล่าให้ฟังว่าไปฝึกงานมาเป็นอย่างไร  ผมเห็นซองสีขาวยาว ๆ จ่าหน้าซองถึงผมว่า  ถึงพ่อจ๋า.....ผมเปิดออกดูมีเงินจำนวนหนึ่งพันสองร้อยบาทกับการ์ดใบเล็ก ๆ ที่ลูกสาวคนเล็กของผมเขียนไว้ว่า  เงินจำนวนนี้หนูให้พ่อจ๋าค่ะ เป็นการสะสมเงินของหนูที่ไปฝึกงานกับพี่ ๆ ทีละเล็กทีละน้อย  เป็นเงินก้อนน้อย ๆ ก้อนแรกของหนูที่ภูมิใจและอยากให้พ่อจ๋าค่ะ  ห้ามแบ่งแม่นะคะ เพราะหนูให้แม่แล้ว เยอะกว่าพ่อร้อยนึง ( พ่ออย่าเสียใจนะคะที่ให้แม่จ๋าเยอะกว่า มันเป็นเทคนิคอย่างนึงที่ทำให้แม่จ๋าเลิกบ่นนะค่ะพ่อ ) และเทอมนี้หนูก็ไม่ต้องขอเงินพ่อจ๋าจ่ายค่าเทอมด้วยค่ะ  ขอบคุณที่พ่อตามใจหนู ให้หนูได้ลองทำในสิ่งที่หนูไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป รักพ่อจ๋าที่สุดค่ะ  ลูกทำให้ผมอึ้งอีกครั้ง  ผมคงต้องปล่อยเขาจากอกผมซะที  ผมอยากบอกเขาว่า....เขาคือความภูมิใจของผม ถึงแม้ว่าแม่เขาอยากจะให้เขาดำเนินชีวิตตามกรอบเพียงใด  แต่ผมเชื่อว่าความคิด  ความรับผิดชอบ  ความเป็นตัวของตัวเองของเขา เขาจะต้องดำเนินชีวิตต่อไปได้หากปราศจากผมและแม่เขา

ฉันอ่านซ้ำไปซ้ำมา...ระหว่างรอยยิ้มและคราบน้ำตาสลับกันไป อดนึกไม่ได้ว่าเงินก้อนนี้ที่ให้พ่อจ๋าจะเป็นเพียงก้อนน้อยก้อนเดียวที่ฉันให้กับพ่อได้  เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้จูงมือพ่อเที่ยวตอนที่ฉันเป็นมัคคุเทศก์เหมือนที่พ่อพาฉันไปไหนต่อไหนเมื่อตอนเป็นเด็ก........

ฉันโชคดีมากที่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อจ๋า  ที่เลี้ยงฉันมาแบบนอกลู่นอกทางของแม่จ๋าบ้างในบางครั้ง    

 



ความเห็น (8)

เก็บไว้เป็น "บันทึก" น่าจะขลังกว่านะครับ คุณครู ;)...

ความรู้สึกพ่อแม่ ต้องเก็บเป็นหลักฐานชิ้นโต ๆ เลย

เห็นด้วยกับอ.วัสค่ะ ว่าคุณครูน่าจะเอาไปเขียนเป็นบันทึกเก็บไว้ด้วยจะดีกว่า ใส่ใน "อนุทิน"เฉยๆค่ะ

  • ขอบคุณ คุณ Wasawat  Deemarn ค่ะ

 

  • ขอบคุณ คุณ  โอ๋-อโณ ค่ะ

 

  • ได้จัดการบันทึกลงในไดอารี่เล่มเก่าของตัวเองที่หยุดเขียนไปตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๙ ( ตั้งแต่วันที่พ่อจ๋าเสีย ) คงประมาณได้สัก ๑๔ ปีแล้วนะคะ  และเพิ่งจะฉลองการเขียนบันทึกใหม่หลังจากที่อ่านไดอารี่ของพ่อเล่มนี้ค่ะ  ก่อนที่จะมาบันทึกในอนุทิน ของ gotoknow แห่งนี้   ^^
     
  • ที่ตั้งใจเขียนลงในนี้เพราะมีความคิดแบบเบื๊อก ๆ ของตัวเองอยู่หน่อย ๆ ค่ะ กลัวว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าหรือปีนี้ก็ไม่รู้ได้  ที่ Tablet   Ipad  Iphone  อะไรทั้งหลายที่กำลังจะเข้ามาแทนที่กระดาษธรรมดา ๆ ทำให้วัฒนธรรมการเขียน ไดอารี่จดหมาย  postcard หรือแม้แต่การส่ง ส.ค.ส. ค่อย ๆ หายไป  ก็เลยจัดการไว้ซะที่นี่เลย เผื่อวันใดวันหนึ่งข้างหน้าเกิดอุทกภัย น้ำท่วมจนเก็บข้าวของไม่ทัน  น้ำมาพากระดาษเปื่อย ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ให้ได้เตือนใจตนเองและระลึกถึงความรักของพ่อซึ่งจะเปิดอ่านกี่ครั้งก็ไม่ยุ่ยไม่เปื่อย  ยกเว้นเน็ตมันจะล่มนะคะ ( กรรม  - -" )  เพราะมันจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ทำอะไรต่อไปที่ดีได้  เพราะสายตาของพ่อที่อยู่บนฟ้าคงจะคอยมองเราอยู่ห่าง  ๆ  

(@^_______^@)

 

 

พี่ก็หมายความว่าคุณครูน่าจะเอาสิ่งที่เขียนใน อนุทินนี้ ไปเก็บไว้ในบันทึกที่บล็อก 

รวมเรื่องบันดาลใจ ของคุณครูก็น่าจะดีกว่าแค่เป็นอนุทินในนี้น่ะค่ะ เผื่ออยากกลับมาอ่านอีกก็จะค้นหาได้ง่ายกว่าในอนุทิน เพราะคุณครูอาจจะใช้คำสำคัญว่า พ่อ, แรงบันดาลใจ, ไดอารี่พ่อ อะไรแบบนี้น่ะค่ะ

  • ขอโทษพี่ โอ๋-อโณ โดยด่วนด้วยค่ะ  ที่หนูเข้าใจไปคนละอย่าง - -"

 

  • แฮ่ะ ๆ แต่สารภาพตามตรงว่ายังหาวิธีทำแบบนั้นไม่ได้ค่ะ เพราะไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไร  แต่ไม่คิดว่าที่บันทึกในอนุทินมันจะลบอัตโนมัติ หรือมันยังไงคะพี่ ???

 

  • และเรียนพี่ โอ๋-อโณ ตามตรงว่าเห็นข้อความพี่ในบล็อกเก๋แล้ว  กลัวกัลยาณมิตรที่ดีอย่างพี่จะงอนหนู ^^"  เข้าไปดาวน์โหลดงานใน hotmail แล้วขึ้นคอมเม้นท์ของพี่มา  อ่านกลับไปกลับมาแล้วพาเก๋ใจเสียเลย  เลยต้องรีบมาตอบบล็อกพี่อย่างด่วนค่ะ  จะรอตอบตอนกลับมาจากต่างจังหวัดก็เห็นว่าไม่ได้การ  - -" หวังว่าพอจะให้อภัยครูโก๊ะ ๆ อย่างหนูได้นะคะ

 

  • สวัสดีปีมะโรงนะคะ  สวัสดีปีใหม่อย่างไทย ๆ ให้แสงใหม่เป็นไออุ่นแห่งมิตรภาพอีกครั้งนะคะ พี่ โอ๋-อโณ

(@^________^@)

คุณครูใช้เมนู"เพิ่มบันทึก"ที่ด้านบนน่ะค่ะ แล้วก็เลือกบล็อก "แรงบันดาลใจ"ที่คุณครูเขียนบันทึกไว้หลายบันทึกแล้ว นำสิ่งที่คุณครูได้จากไดอารี่คุณพ่อเขียนเป็นบันทึก แล้วก็ใส่คำสำคัญ ท้ายบันทึกเพื่อให้สามารถเชื่อมโยงไปถึงบันทึกได้ง่ายๆน่ะค่ะ อนุทินไม่ถูกลบหายไปไหนหรอกค่ะ แต่มันจะยากต่อการค้นหา เพราะมันไม่มีคำสำคัญ (keywords) ให้เราใส่น่ะค่ะ ไม่มีสารบัญ ไม่มีชื่อเรื่อง

ลองอ่าน คู่มือการใช้ GotoKnow (ฉบับย่อ) .pdf ดูนะคะ น่าจะทำให้เข้าใจระบบของ GotoKnow มากขึ้น สงสัยอะไรก็เขียนถามในอนุทินก็ได้ค่ะ พี่โอ๋และกัลยาณมิตรทั้งหลายใน GotoKnow ยินดีช่วยเหลือแน่นอนค่ะ 

อ่านไปยิ้มใ่ปกับความรู้สึกดีๆระหว่างพ่อ-ลูกผูกพันค่ะ..

  • ขอบคุณพี่โอ๋อีกครั้งนะคะ   Ico48

 

  • ขอบคุณพี่นงนาทค่ะ  Ico48 

 

  • ที่ติดตามอ่านอนุทินของหนู  ให้กำลังใจด้วยดอกไม้และความคิดเห็นอันมีค่า  รวมทั้งให้การอธิบาย  แนะนำ  ช่วยเหลือ  ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยเจอตัวจริงกันเลยก็ตาม  แต่ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจในมิตรภาพนี้จังค่ะ  ขอบคุณมาก ๆ นะคะ

(@^_____^@)

Wahoo_KrooKay
เขียนเมื่อ

คิดถึงพ่อค่ะ

เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๕ กลับมาจากการทัศนศึกษาที่ จ.ระยอง ก็ตอนห้าโมงเย็นหน่อย ๆ  นั่งพักเหนื่อยได้สองสามอึดใจ ตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปหาแม่จ๋าที่บ้าน  นอนค้างที่บ้านพักครูนี่แหละ  สัปดาห์นี้กลับบ้านไปคงจะไม่ไหว  ไหนจะต้องทำคะแนนใน ปพ.๕  ปพ.๖  ปพ.๘    ซักผ้า  รีดผ้า  ถูบ้าน  ว๊าาาาาา......สารพัดงานเลย  แต่เหตุผลที่สำคัญกว่าเพราะผู้อำนวยการโรงเรียนประกาศบนรถก่อนที่สมาชิกจะแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน    " วันจันทร์ที่  ๒๖  คุณครูทุกคนต้องไปอบรมที่โรงเรียนวัดบางโฉลงใน "เฮ้อ....!!!  เอาวะ....วนิดาแอ้งแม้งที่บ้านพักครูก็ได้

อาบน้ำได้สักพัก  ระหว่างรอตากผ้า  แม่จ๋าโทรมาถามข่าวคราวตามประสาความห่วงของคนเป็นแม่ ^^  แต่สิ่งที่แม่บอกหลังจากคำถามที่แม่ถามฉันรู้สึกถึงน้ำเสียงตื้นเต้นดีใจอยู่หน่อย ๆ  แม่บอกว่าแม่เจอไดอารี่ที่พ่อเขียนเล่มสีเขียว ๆ  ตอนแม่เก็บของ ของพ่อแม่ไม่ได้สังเกตเลย  พอตอนช่างทาสีมาทาสีบ้านเมื่อเดือนก่อน  ฉันกับแม่ช่วยกันเก็บของรื้อของ  จัดของ  ก็ไม่ได้สังเกตว่ามันเป็นไดอารี่ของพ่อ ทั้ง ๆ ที่ไดอารีเล่มอื่น ๆ ฉันได้อ่านของพ่อแล้ว  แม่เปิดอ่านและเล่าให้ฟังว่าพ่อเขียนบันทึกถึงฉันด้วย  (@^_____^@)  ฉันแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะบินกลับบ้านไปซะตอนนั้น  อยากรู้จังว่าพ่อจ๋าเขียนอะไรถึงฉัน 

(@^_____^@)

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท