อาหารไทยเรียบง่ายแต่มีคุณค่า.............(ต่อ)
คุณค่าที่เป็นศิลปะทางตา
คุณค่านี้ดูละเมียดละไม เอาใจใส่กับผู้รับประทาน สมัยนี้หาบุคคลที่จะมีฝีมือทำยากมาก เพราะใจที่ไม่ค่อยละเมียดละไม เอาแต่ความวู่วาม จึงได้ออกมาเพียงข้าวกะเพราไข่ดาว ที่แต่งให้เป็นศิลปะด้วยการโปะไข่ไว้ข้าง ๆ จาน (ฮ่า...)
คนสมัยก่อนโดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่ต้องเร่งรีบออกไปทำงานนอกบ้าน อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน จึงค่อย ๆ นำผัก ผลไม้มาแกะสลักบ้าง นำมาฝาน พอเป็นคำ ๆ ให้พอรับประทานพอดีกับปากมนุษย์ได้ (ที่ไม่ตะกละอย่างเรา... ^^ !) ทั้งที่เป็นเครื่องคาวและเครื่องหวาน ทั้งที่เป็นเพียงผักเครื่องเคียง หรือผลไม้ลอยแก้ว โอ้โห ! ทำได้อย่างไร ดูช่างงดงามละเมียดละไมและเอาใจใส่แก่คนที่รับประทานมาก ๆ
เมื่อปิดเทอมคราวที่แล้ว แค่คุณครูชาวต่างชาติเห็นขนมลูกชุบธรรมดา ๆ เท่านั้น ถามคำถามแรกเลย ไม่เสียดายบ้างหรือครูเก๋ ของเขาทำยากนะ กว่าจะทำได้เหมือนขนาดนี้ (อืม......จริง มิน่าคุณครูท่ายถ่ายรูปใหญ่เลย แล้วก็อุดหนุนลูกชุบที่ทำเลียนผลไม้บ้าง ผักบ้าง ครบทุกแบบทุกชนิด)
น่าเสียดายที่เราเองคนไทยแท้ ๆ ละทิ้งและมองข้ามไป ทำให้กลับย้อนมานึกว่า ไม่ต้องเอายุคสมัย ไม่ต้องเอาเวลา มาเป็นข้อจำกัด เพราะจริง ๆ แล้ว ศิลปะนี้มันคือความเป็นไทย ๆ ที่เราละเลยไม่รักษาไว้นั่นเอง แล้วทำไมฝรั่งนั่งแกะสลักผักได้สวยกว่าเรา เพราะเขาให้ความเคารพต่อศิลปะ และมีสุนทรียมากกว่าเรา เพระาฉะนั้นอะไร ๆ ที่มันกำลังจะสูญหายอย่าไปโทษใคร ต้องโทษที่เรานี่แหละ
ไม่มีความเห็น
อาหารไทย ๆ เรียบง่ายและมีคุณค่า (ต่อ).......
จากการดำรงชีวิตแบบเด็ก ๆ แม่ใหญ่ (ยาย) มักจะบอกว่าแกงส้มดอกแคกินแล้วดีนะลูก แก้ไข้หัวลม ฮ่า จะว่าตอนนั้นยังไม่เข้าใจว่าแม่ใหญ่หมายถึงอะไร แต่เพิ่งจะมา get ก็ตอนอายุปาเข้าไปใกล้จะถึงหลักสี่ จริง ๆ มันคือแก้หวัด ป้องกันหวัดนั่นเอง อืม ! ไม่รู้ว่าจะมีข้อพิสูจน์ตามคำโบราณเขาว่าหรือเปล่า ? แต่กินตอนยังไม่เป็นหวัดก็ซัดไปซะหลายชามอยู่ มีอีกหลาย ๆ อย่างที่กินแล้วช่วยเสริมสุขภาพให้กับคุณแม่มือใหม่ ตามที่ใคร ๆ บอกกันว่าเวลาให้นมลูกต้องกินแกงเลียง เพราะมีสารอาหารจากผักหลากหลาย ทั้งใบแมงลัก ฟักทอง บวบ ส่วนผสมที่ให้ความเผ็ดร้อนนิด ๆ จากพริกไทย และส่วนผสมอื่น ๆ ฯลฯ
อยากรู้จังว่าสมัยก่อนไม่มีคุณหมอ ไม่มีเภสัชกร ไม่มีนักโภชนาการ แต่ทำไมภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อน ๆ ที่รังสรรค์อาหารเหล่านี้ต่างเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งเสริม ทั้งรักษา ทั้งป้องกัน
อาหารบางจานที่ราคานับหมื่นนับแสน คุณค่าทางโภชนาการจะเทียบได้กับข้าวจาน แกงถ้วย ไหมหนอ ?
^^
ไม่มีความเห็น
อาหารไทย ๆ เรียบง่ายและมีคุณค่า........
สมัยก่อนชีวิตที่เรียบง่าย ดูไม่ต้องรีบร้อนอะไรมากนักวิถีชีวิตความเป็นอยู่ดูจะละเมียดละไมไปทุกขั้นทุกตอน อาหารเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้หล่อเลี้ยงชีวิตให้มีเรี่ยวแรงกำลังเพียงอย่างเดียว แต่เป็นทั้งยาที่ช่วยรักษาและป้องกันโรค เป็นทั้งศิลปะทางตา เป็นอาหารใจ สัมผัสได้ทั้งกลิ่น รส และเสียง
เป็นยาที่ช่วยรักษาและป้องกันโรค.....
อาหารที่มีรสจัดของภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นแกงส้ม (แกงเหลือง) แกงไตปลา ข้าวยำ ฯลฯ ล้วนน่าสนใจ เพราะอาหารแต่ละอย่างมีรสจัด ๆ ทั้งนั้นเลย เวลาทานก็มีผักหลายชนิดเป็นเครื่องเคียง แต่ด้วยลักษณะภูมิประเทศภูมิอากาศที่ต้องประสบกับฝนที่ตกชุกเกือบตลอดปี อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นยาที่ช่วยป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยจากหวัดได้อย่างดีทีเดียว เพราะมีวิตามินซีจากพริก และผักที่หลากหลาย เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพและคงอยู่กับสภาวะนั้นให้รอดปลอดภัย
ของภาคเหนือล่ะเป็นแบบนั้นด้วยไหม....น่าจะเป็นด้วยเช่นกัน เพราะภาคเหนือมีอากาศเย็นมากกว่าภาคอื่น ๆ อาหารที่เห็นเป็นส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของสมุนไพรหรือไขมันมากกว่าภูมิภาคอื่น เช่นแกงฮังเลย์ น้ำพริกอ่อง ข้าวซอย ซึ่งทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น เพื่ออยู่รอดกับสภาพอากาศที่เย็นเพราะอยู่บนพื้นที่สูง
ของภาคอีสานก็ไม่เบา.....ด้วยสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบสูง แห้งแล้ง ผลิตอาหารได้น้อย แต่ก็อยู่รอดได้โดยไม่เป็นโรคขาดสารอาหาร ด้วยภูมิปัญญาการรักษาชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยโปรตีนจากสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่เรียกกันว่าแมลง แมง และหนอน หรือกบ เขียด ฮวก อ๊อด ฯลฯ อย่างน้อย ๆ
ของภาคกลางขอกลับไปคิดทบทวนดูสักหน่อยว่ามีอะไรบ้างที่เป็นยารักษาและป้องกันโรค
(n____n)
ไม่มีความเห็น
" คนที่เขย่งเท้าเพื่อจะอยู่เหนือคนอื่น ผู้นั้นย่อมยืนอยู่ได้ไม่นาน
คนที่ก้าวเท้ายาวเกินไปเพื่อจะล้ำหน้าคนอื่น.....ย่อมไปได้ไม่ไกล "
....... เต๋า เต็ก เก็ง บทที่ ๓ ......
" ไม่มีสิ่งใดจะอ่อนนุ่มไปกว่าสายน้ำ
แต่ไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าน้ำ.....ในการมีชัยเหนือสิ่งที่แข็ง "
...... เต๋า เต็ก เก็ง บทที่ ๗๘ ........
เรียบง่าย ลึกซึ้ง
จากบทเรียนวันนี้ในวิชาปรัชญาและพุทธศาสนา ไม่รู้สึกเบื่อเลย มีแต่ อืม.....ใช่เลย ๆ ตัวเรายังต้องขวนขวาย ไขว่คว้า อีกไม่น้อยทีเดียว จากที่รู้สึกย๊าก...ยาก กลับกลายว่าอยากอ่าน และอยากให้ถึงวันอาทิตย์เร็ว ๆ
(@^______^@)
ส่งกำลังใจข้ามอ่าวไทยไปหานะคะ :)
คอห้อย....
ตั้งแต่เปลี่ยนบทบาทของตัวเองเป็นลูกศิษย์ทำให้การใช้ชีวิตที่เคยทำเป็นประจำ ทุกอย่างต้องปรับเปลี่ยนใหม่
ตั้งแต่ไปเรียนหนังสือเพื่อปรับพื้นฐานวิชาระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาาสตร์
วันแรก (๑๙ พ.ค. ๐๙.๐๐-๑๖.๓๐ น.) พอกลับมาบ้านพักครูตอน ๒๐.๐๐ น. มันเกิดอาการจุกแบบไม่ต้องกินข้าวหรือโดนลูกบอลเข้าที่ท้องน้อย พาลมีอาการนอนหลับไม่สนิท และแล้ววันอาทิตย์ที่ ๒๐ พ.ค. ก็ไปนั่งเรียนต่อแบบตาลอย ๆ ฮ่า ฮ่า [ นี่แค่เรียนปรับพื้นฐานวิชาเดียว ยังไม่ได้เจอวิชาพื้นฐานอีก ๔ วิชาที่กำลังจะเริ่มต้น ในวันเสาร์ที่ ๑ ก.ค. รวมทั้งวิชาบังคับอีก ๒ วิชา ที่กำลังจะตามมา ]
ไม่ได้การแล้ว...มีการบ้านทุกสัปดาห์ แต่ละสัปดาห์ต้องอ่านหนังสือและหนังสือ ไม่อ่านก็ไม่ได้ เพราะเพื่อนร่วมชั้นนับแล้วนับอีกมีเพียง ๙ คน โห ! กรรม ๆ ปรับใหม่เปลี่ยนใหม่
ทำได้ ปรับได้ เปลี่ยนได้ ไม่ยาก เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป
อ้าว !
(@^________^@)
อ่านไดอารี่พ่อจบก็ทำให้ฉันได้รู้ว่า การที่เราต้องเป็นพ่อเป็นแม่ใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
พ่อบันทึกไว้ว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะเลี้ยงดูลูก ๆ ให้มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ทั้งสองคน แต่ลูกบางคนเลี้ยงใจดูจะยากกว่า โดยเฉพาะเจ้าลูกคนเล็ก บทที่ไม่เอาอะไรกับใครก็ดูเหมือนว่าลูกจะนุ่มนิ่มเกินไปจนน่าเป็นห่วง แต่บทไม่ยอมใครมันก็มีเหตุมีผลจนคนเป็นพ่อคนต้องจำนนกับตาดำ ๆ คำถามซื่อ ๆ ของมัน [ อ้าว ๆ ไมพ่อจ๋าเขียนแบบนี้เนี่ย ^^" ]
พ่อว่าบางครั้งความเด็ดเดี่ยวของฉันทำให้พ่อกลัวใจอยู่หลายครั้ง " ในบันทึกของพ่อเขียนไว้ว่าเคยตั้งคำถามกับฉันเมื่อตอนแปดขวบว่าโตขึ้นเก๋อยากทำอะไร ลูกสาวคนเล็กตอบว่าอยากเป็นทหาร พ่อถามฉันว่าทำไม เจ้าลูกสาวคนเล็กตอบว่าไปช่วยเพิ่มรั้วให้ชาติ [ ขำตัวเองจริง ๆ เอ่อ ! แมนไป ๆ ] แล้วรู้ไหมว่ารั้วของชาติทำไมถึงหายไป ลูกสาวตอบเสียงหนักแน่น รู้ซิ รู้แล้วกลัวไหมเรา ลูกตอบผมว่าไม่กลัว เพราะใคร ๆ ก็ต้องตาย ขนาดลุงเบิ้มยังตายเลยไม่ใช่หรอคะพ่อ ลูกคนนี้ทำให้ผมอึ้ง [ ฮ่า ฮ่า...หนูมาอ่านตอนนี้ก็อึ้งค่ะพ่อ ]
จนมาตอนนี้ที่ลูกสาวคนนี้อายุ ๒๐ ปี ผมตั้งคำถามเดิมกับลูกว่าเรียนจบแล้วอยากจะทำอะไร ผมเห็นลูกฝึกงานช่วงปิดเทอมเพื่อเก็บชั่วโมงมาหลายเทอมแล้ว นึกอดสงสัยมันไม่ได้ว่าที่หาย ๆ ไปเก็บชั่วโมงฝึกงานแอบไปเถลไถลที่ไหนหรือเปล่า ตามประสาของคนเป็นพ่อหรือเพราะแม่มันกรอกหูผมหรือเปล่าก็ไม่รู้ [ โหย....พ่อจ๋าก็นะ ฮ่า...ฮ่า.. ] ลูกสาวผมมันมีความคิดแบบที่ผมก็ไม่คิดว่าลูกจะตอบผมแบบนี้ หนูอยากเป็นมัคคุเทศก์ค่ะพ่อ หนูทบทวนดูแล้วว่าหนูเหมาะกับมันที่สุด หนูไม่ชอบทำงานสบายค่ะพ่อจ๋า หนูจำได้ว่าเวลาที่พ่อพาหนูไปไหนต่อไหนตอนเด็ก ๆ พ่อมักจะมีเรื่องเล่าสนุก ๆ ให้หนูฟังเพลิน ๆ ไปด้วย หนูอยากพูดภาษาอังกฤษแบบพ่อจ๋าก็เพราะพ่อคือแรงบันดาลใจให้หนูไม่กลัวภาษาอังกฤษและเรียนมันได้อย่างสนุกก็เพราะพ่อ ลูกทำให้ผมอึ้งอีกครั้ง เจ้าลูกคนนี้หายไปจากอกพ่ออย่างผม ไปฝึกงานได้สักสามอาทิตย์กลับบ้านมาตัวดำเหนี่ยง นอนหลับเป็นตายน้ำท่ามันก็ไม่อาบ ผมจะไปปลุกก็กลัวโดนแม่มันว่า [ ฮ่า...ฮ่า..พ่อจ๋ากลัวเมียนะเนี่ย ] ได้แต่รอลูกว่าเมื่อไหร่ลูกจะตื่นมาเล่าให้ฟังว่าไปฝึกงานมาเป็นอย่างไร ผมเห็นซองสีขาวยาว ๆ จ่าหน้าซองถึงผมว่า ถึงพ่อจ๋า.....ผมเปิดออกดูมีเงินจำนวนหนึ่งพันสองร้อยบาทกับการ์ดใบเล็ก ๆ ที่ลูกสาวคนเล็กของผมเขียนไว้ว่า เงินจำนวนนี้หนูให้พ่อจ๋าค่ะ เป็นการสะสมเงินของหนูที่ไปฝึกงานกับพี่ ๆ ทีละเล็กทีละน้อย เป็นเงินก้อนน้อย ๆ ก้อนแรกของหนูที่ภูมิใจและอยากให้พ่อจ๋าค่ะ ห้ามแบ่งแม่นะคะ เพราะหนูให้แม่แล้ว เยอะกว่าพ่อร้อยนึง ( พ่ออย่าเสียใจนะคะที่ให้แม่จ๋าเยอะกว่า มันเป็นเทคนิคอย่างนึงที่ทำให้แม่จ๋าเลิกบ่นนะค่ะพ่อ ) และเทอมนี้หนูก็ไม่ต้องขอเงินพ่อจ๋าจ่ายค่าเทอมด้วยค่ะ ขอบคุณที่พ่อตามใจหนู ให้หนูได้ลองทำในสิ่งที่หนูไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป รักพ่อจ๋าที่สุดค่ะ ลูกทำให้ผมอึ้งอีกครั้ง ผมคงต้องปล่อยเขาจากอกผมซะที ผมอยากบอกเขาว่า....เขาคือความภูมิใจของผม ถึงแม้ว่าแม่เขาอยากจะให้เขาดำเนินชีวิตตามกรอบเพียงใด แต่ผมเชื่อว่าความคิด ความรับผิดชอบ ความเป็นตัวของตัวเองของเขา เขาจะต้องดำเนินชีวิตต่อไปได้หากปราศจากผมและแม่เขา
ฉันอ่านซ้ำไปซ้ำมา...ระหว่างรอยยิ้มและคราบน้ำตาสลับกันไป อดนึกไม่ได้ว่าเงินก้อนนี้ที่ให้พ่อจ๋าจะเป็นเพียงก้อนน้อยก้อนเดียวที่ฉันให้กับพ่อได้ เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้จูงมือพ่อเที่ยวตอนที่ฉันเป็นมัคคุเทศก์เหมือนที่พ่อพาฉันไปไหนต่อไหนเมื่อตอนเป็นเด็ก........
ฉันโชคดีมากที่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อจ๋า ที่เลี้ยงฉันมาแบบนอกลู่นอกทางของแม่จ๋าบ้างในบางครั้ง
เก็บไว้เป็น "บันทึก" น่าจะขลังกว่านะครับ คุณครู ;)...
ความรู้สึกพ่อแม่ ต้องเก็บเป็นหลักฐานชิ้นโต ๆ เลย
เห็นด้วยกับอ.วัสค่ะ ว่าคุณครูน่าจะเอาไปเขียนเป็นบันทึกเก็บไว้ด้วยจะดีกว่า ใส่ใน "อนุทิน"เฉยๆค่ะ
(@^_______^@)
พี่ก็หมายความว่าคุณครูน่าจะเอาสิ่งที่เขียนใน อนุทินนี้ ไปเก็บไว้ในบันทึกที่บล็อก
(@^________^@)
คุณครูใช้เมนู"เพิ่มบันทึก"ที่ด้านบนน่ะค่ะ แล้วก็เลือกบล็อก "แรงบันดาลใจ"ที่คุณครูเขียนบันทึกไว้หลายบันทึกแล้ว นำสิ่งที่คุณครูได้จากไดอารี่คุณพ่อเขียนเป็นบันทึก แล้วก็ใส่คำสำคัญ ท้ายบันทึกเพื่อให้สามารถเชื่อมโยงไปถึงบันทึกได้ง่ายๆน่ะค่ะ อนุทินไม่ถูกลบหายไปไหนหรอกค่ะ แต่มันจะยากต่อการค้นหา เพราะมันไม่มีคำสำคัญ (keywords) ให้เราใส่น่ะค่ะ ไม่มีสารบัญ ไม่มีชื่อเรื่อง
ลองอ่าน คู่มือการใช้ GotoKnow (ฉบับย่อ) .pdf ดูนะคะ น่าจะทำให้เข้าใจระบบของ GotoKnow มากขึ้น สงสัยอะไรก็เขียนถามในอนุทินก็ได้ค่ะ พี่โอ๋และกัลยาณมิตรทั้งหลายใน GotoKnow ยินดีช่วยเหลือแน่นอนค่ะ
อ่านไปยิ้มใ่ปกับความรู้สึกดีๆระหว่างพ่อ-ลูกผูกพันค่ะ..
(@^_____^@)
คิดถึงพ่อค่ะ
เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๕ กลับมาจากการทัศนศึกษาที่ จ.ระยอง ก็ตอนห้าโมงเย็นหน่อย ๆ นั่งพักเหนื่อยได้สองสามอึดใจ ตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปหาแม่จ๋าที่บ้าน นอนค้างที่บ้านพักครูนี่แหละ สัปดาห์นี้กลับบ้านไปคงจะไม่ไหว ไหนจะต้องทำคะแนนใน ปพ.๕ ปพ.๖ ปพ.๘ ซักผ้า รีดผ้า ถูบ้าน ว๊าาาาาา......สารพัดงานเลย แต่เหตุผลที่สำคัญกว่าเพราะผู้อำนวยการโรงเรียนประกาศบนรถก่อนที่สมาชิกจะแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน " วันจันทร์ที่ ๒๖ คุณครูทุกคนต้องไปอบรมที่โรงเรียนวัดบางโฉลงใน "เฮ้อ....!!! เอาวะ....วนิดาแอ้งแม้งที่บ้านพักครูก็ได้
อาบน้ำได้สักพัก ระหว่างรอตากผ้า แม่จ๋าโทรมาถามข่าวคราวตามประสาความห่วงของคนเป็นแม่ ^^ แต่สิ่งที่แม่บอกหลังจากคำถามที่แม่ถามฉันรู้สึกถึงน้ำเสียงตื้นเต้นดีใจอยู่หน่อย ๆ แม่บอกว่าแม่เจอไดอารี่ที่พ่อเขียนเล่มสีเขียว ๆ ตอนแม่เก็บของ ของพ่อแม่ไม่ได้สังเกตเลย พอตอนช่างทาสีมาทาสีบ้านเมื่อเดือนก่อน ฉันกับแม่ช่วยกันเก็บของรื้อของ จัดของ ก็ไม่ได้สังเกตว่ามันเป็นไดอารี่ของพ่อ ทั้ง ๆ ที่ไดอารีเล่มอื่น ๆ ฉันได้อ่านของพ่อแล้ว แม่เปิดอ่านและเล่าให้ฟังว่าพ่อเขียนบันทึกถึงฉันด้วย (@^_____^@) ฉันแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะบินกลับบ้านไปซะตอนนั้น อยากรู้จังว่าพ่อจ๋าเขียนอะไรถึงฉัน
(@^_____^@)
ไม่มีความเห็น