แบกเป้ท่องยุโรป


การที่มีโอกาสได้ท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ ถือเป็นการเรียนรู้ที่น่าสนใจ เราจะได้ประสบการณ์ในการท่องเที่ยวทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆอย่างมากมายและรวดเร็ว ผมเป็นนักเดินทางที่ใช้บริการบริษัทนำเที่ยวในการไปต่างประเทศนับครั้งได้ เกือบทุกครั้งจะเดินทางเองครับ ประสบการณ์ท่องยุโรปโดยการแบกเป้เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตที่ได้เดินทางไปต่างประเทศเอง เมื่อ 18 ปีก่อนครับ อายุ 20 ต้นๆเอง ไฟแรง ไม่กลัวอะไร (ตอนนี้ไฟกลางแล้วครับ ไม่กลัวอะไรเหมือนเดิม แต่เกรงใจภรรยานิดหน่อย) เมื่อก่อนไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้ คู่มือในการวางแผนมีอยู่เล่มเดียวคือหนังสือท่องยุโรปอย่างประหยัด ตอนนั้นไม่รู้จักหนังสือนำเที่ยวพวก Let's Go ฯลฯ แล้วตัวผมเองเป็นเด็ก เกิด-โต-เรียนที่เชียงใหม่ ได้ทุน MF (Mother Fund: ด้วยความกรุณาของคุณแม่) ให้ไปยุโรปให้คุ้มค่าทุนที่สุดทำยังไง ก็ต้องหาข้อมูลเพิ่มเพื่อวางแผน ถ้าป็นสมัยนี้ก็โพส์ทกระทู้เอาละครับ เว็บพันธุ์ทิพย์ ถามอะไรมีผู้รู้ตอบให้หมดแทบจะเลือกไม่ถูก บอกเวลาก็มีคนช่วยจัดกำหนดการให้เสร็จสรรพ โดยเฉพาะที่เที่ยวใกล้ๆบ้านอย่างฮ่องกง (คนไทย-สังคมไทยไม่เคยแล้งน้ำใจครับ) จากหนังสือท่องยุโรปอย่างประหยัดบวกกับโชคดีที่พี่ชายของเพื่อนผมซึ่งเป็นหมอฟันเคยไปเรียนต่อที่เยอรมันช่วยจัดการดูตารางจัดเวลาเดินทาง และเมืองต่างๆที่จะเที่ยวให้ เริ่มต้นจากการหาซื้อตั๋วเครื่องบินครับ ตอนนั้นซื้อได้เป็นสายการบิน SABINA (เป็นสายการบินของเบลเยี่ยมครับ ไม่ใช่ของบริษัทชุดชั้นในคุณผู้หญิง ตอนนี้น่าจะเจ๊งไปแล้วครับ) ผมวางแผนไปอังกฤษก่อนแล้วถึงจะมาตระเวณแผ่นดินใหญ่ของทวีปยุโรป แล้วก็ตระเวณขอวีซ่า เพราะต้องขอเกือบทุกประเทศยกเว้นเยอรมันตะวันตกในตอนนั้น กับกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ตอนนี้คงขอเฉพาะอังกฤษกับประเทศแรกที่เราจะเดินทางไปในกลุ่ม EU ครับ แถมขอ MUTIPLE VISA แล้วไม่ต้องขอ VISA ของสวิสฯอีก ผมจำได้ว่าเริ่มจากลงมากรุงเทพฯ ขอ VISA อังกฤษ แล้ว ฝรั่งเศส แล้วก็ BENELUX: เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบอร์ก ตระเวณขอกันจนเหนื่อย ยังไม่ได้ของสวิสฯ กับ ออสเตรียเลย แต่ฝากบริษัทนำเที่ยวได้ก็ฝากเลยแล้วกัน กลับไปเชียงใหม่ก่อนแล้วลงมากรุงเทพฯเพื่อเดินทาง ทีนี้ก็ถึงเรื่องของการแลกเงิน เหมือนเรื่องขอ VISA ครับ ตอนนั้นยังไม่ได้ใช้เงิน EURO ดีที่ร้านแลกเงินมีเงินทุกสกุลให้แลก เลยไม่ต้องเดินสายแลกเงินอีก เกือบลืมครับ การเดินทางในยุโรบ ผมเลือกใช้บัตรเดินทาง EURAIL PASS ครับ ความสะดวกของบัตรนี้คือเราสามารถใช้บริการรถไฟ และขนส่งมวลชนที่อยู่ในเครือข่ายได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้งของการเดินทาง แต่อยู่ในระยะเวลาของบัตรคือนับเอาจำนวนวันครับ เช่น 7 วัน 15 วัน 21 วัน เราสามารถจะเดินทางไปไหก็ได้ในขอบเขตที่บัตรรถไฟนี้ให้บริการ บัตรนี้ซื้อได้ที่ ดีทแฮมท์ ท่องเที่ยว อยู่ตรงถนนวิทยุตัดกับหลังสวนครับ (ผมจะพยายามเล่าให้จบแบบม้วนเดียวนะครับ คงต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะเวลาอ่าน BLOG หลายท่าน แบบที่ต้องคอยติดตาม รู้สึกเหมือนต้องคอยกระโดดไปกระโดดมา เลยอยากเพิ่มข้อมูลกับทบทวนความทรงจำไปเรื่อยๆครับ) ผมเลือกซื้อบัตรแบบ 15 วันครับ ผมออกเดินทางจากดอนเมือง วันที่ 26 กุมภา 2532 ด้วย SABINA (ที่ไม่ใช่ชุดชั้นใน) เที่ยวบิน SN272 BLOG นี้เขียนจากความทรงจำกับเปิดดูวัน-เวลาใน PASSPORT ครับ เครื่องบินที่นั่งไปป็นแบบ Mc Donald DC-10 ซึ่งปัจจุบันควบรวมกับบริษัท BOEING ไปแล้ว เครื่องบินแบบนี้ มี 3 เครื่องยนต์ครับ ที่ปีกขวา-ซ้าย และแพนหาง สำหรับ แอร์และสจ๊วตล้วนแต่หนุ่มน้อย สาวน้อยมากทั้งสิ้น ไม่ต่ำ 40 ซักคนจริงๆ การบริการก็ใช้ได้ครับ เรื่องการบริการน่าจะไม่ขึ้นอยู่กับอายุ น่าจะเป็นเรื่องของใจนะครับ ผมนั่งไปกับพี่ผู้หญิงคนไทยซึ่งแต่งงานกับคนจีน แล้วไปอยู่ที่เบลเยี่ยม แกถามผมว่าไปยุโรปกี่วัน ผมบอกว่า 20 วัน แกก็บอกผมว่า ยังงี้นะเอาแค่เบลเยี่ยมยังไม่ได้เห็นเด็กฉี่เลย (อนุเสาวรีย์เด็กฉี่ หรือ ภาษาเบลเยี่ยมเรียกว่า "Maneken-pis" เป็นเรื่องราวในราว คศ. 14 ของหนูน้อยที่ชื่อว่า Juliaanske ที่รู้ข่าวว่ามีไฟไหม้ เลยไปช่วยฉี่จนไฟดับ เมืองก็ปลอดภัย ชาวบ้านก็เลยทำอนุเสาวรีย์ให้) เป็นมูลเหตุให้ผมได้พบกับเรื่องระทึกใจเมื่อถึงเบลเยี่ยม เครื่องไปแวะที่ DUBAI สุดยอดแห่งสนามบินปลอดภาษีครับ รางวัลของนักซื้อคือรถยนต์หรูเดือนละ 1-2 คัน ส่งให้ถึงบ้านเสียภาษีให้เสร็จสรรพ พนักงานขายเป็นหญิงสาวชาวฟิลิปินส์ทั้งสิ้น เพราะใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นส่วนใหญ่ (บ้านเราไม่ได้ใช้อังกฤษเป็นภาษาราชการก็ไม่ได้พัฒนา บางคนก็ว่าเพราะเราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นใคร ยกเว้นพม่า เดี๋ยวนี้เลยเอาคนพม่ามาใช้งานซะ) การวางแผนพัฒนาของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์น่าสนใจครับ DUBAI เป็นเพียงเมืองท่าและศูนย์กลางทางธุรกิจเมืองหนึ่งเท่านั้นของกลุ่มรัฐอาหรับกลุ่มนี้ (ข้อมูลจากวิกีพีเดียครับ: สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นประเทศหนึ่งในตะวันออกกลาง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรอาหรับ ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ริมอ่าวเปอร์เซีย ประกอบด้วยรัฐเจ้าผู้ครองนคร (emirates) 7 รัฐ ได้แก่ อาบูดาบี อัจมาน ดูไบ ฟูไจราห์ ราสอัลไคมาห์ ชาร์จาห์ และอุมม์อัลไกไวน์ ในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) กลุ่มรัฐดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในชื่อ รัฐสงบศึก (Trucial States) หรือ ทรูเชียลโอมาน (Trucial Oman) โดยอ้างอิงตามสัญญาสงบศึกใน คริสต์ศตวรรษที่ 19 ระหว่างอังกฤษ กับเ ชค อาหรับบางพระองค์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีพรมแดนติดกับโอมาน ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์ เป็นประเทศหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน) จากข้อมูลจะเห็นว่ากลุ่มรัฐอาหรับกลุ่มนี้มีทรัพยากรน้ำมันมากมาย แต่สิ่งที่น่าคิดคือทรัพยากรเหล่านี้เริ่มลดน้อยถ้อยลงหมดไปอยู่ตลอด อนาคตเมื่อทรัพยากรน้ำมันหมดไปพวกเขาจะสามารถหารายได้จากอะไร และด้วยวิธีการอะไร ดังนั้นแต่ละรัฐในกลุ่มนี้จึงเริ่มลงทุน และเปิดตัวที่จะได้เป็นช่องทางการค้า การลงทุน อุตสาหกรรมที่สำคัญของตะวันออกกลาง รายได้มหาศาลจากน้ำมัน หลังจากการจัดสรรเพื่อลงทุนทั้งใน และต่างประเทศแล้ว ยังนำมาพัฒนาศักยภาพของแต่ละรัฐให้มีความสามารถในการสร้างและดำเนินธุรกิจให้เกิดขึ้น และก้าวหน้าไปเรื่อยๆอย่างยั่งยืน (คำว่ายั่งยืนเป็นคำที่นิยมนำมาใช้ในสังคมไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าด้วยเหตุที่สังคมไทย-คนไทยทำอะไรแล้วไม่จีรังยั่งยืนหรือว่าอย่างไรกัน เราถึงต้องเน้นว่าทำอะไรต้องมีความยั่งยืน อันที่จริงเราไม่ต้องเน้นว่าอะไรที่ทำแล้วจะยั่งยืนหรือไม่ แต่ความสำคัญอยู่ที่เราทำอะไรแล้วเกิดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติแล้วกลายเป็นวัฒนธรรมปฏิบัติ สิ่งนั้นจะเกิดความยั่งยืนโดยตัวเอง (ยังไม่จบครับ)
หมายเลขบันทึก: 97990เขียนเมื่อ 22 พฤษภาคม 2007 16:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 00:30 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สวัสดีค่ะพี่โย

ตามมาจนพบแล้ว....ดีใจจังค่ะ...^_^...

น่าจะนำภาพมาให้ชมด้วยนะคะ

จะติดตามอ่านอีกค่ะ

ส่งดอกไม้ให้เป็นกำลังใจค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท