หน้าแรก
สมาชิก
soonyee
สมุด
สงขลานครินทร์ ปัต...
เรื่องสั้น
soonyee
Mr นายยาฮารี yee กาเซ็ง
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
เรื่องสั้น
มนุษยธรรม
เรื่องสั้น
มนุษยธรรม
โดย
....
ฟ้ารุ่ง
ดุนยา
เมื่อยามเช้า
อาซัมชอบมานั่งริมฝังแม่น้ำมยุนา
แดดอ่อนๆส่องกระทบผิวน้ำดูเป็นประกายดูละลานตา
สายน้ำสีคล้ำไหล
เอื่อยๆเรื่อยๆ
พัดพาขยะมูลฝอยและฟองน้ำเน่าไหลสู่ปลายน้ำ
หลายๆครั้งที่อาซัมเห็นซอกศพและซากสัตว์ลอยพลุบๆโพล่ๆกับกอสวะ
ภาพนี้เป็นภาพที่ชินตาเขาตลอดเวลา
8
ปี
บนฟากฝั่งแม่น้ำแห่งนี้มันเป็นอยู่อย่างนี้
หากจะเปลี่ยนไปบ้างก็คงจะเป็นสีของน้ำที่นับวันก็ยิ่งคล้ำขึ้นกลิ่นก็ยิ่งแรงขึ้นทุกวัน
แต่แปลกที่คนแถบนี้ยังใช้น้ำของแม่น้ำยมุนาอยู่อย่างเดิม
เคยอาบมาอย่างไร
เคยซักผ้ามาอย่างไร
ก็อยู่อย่างนั้น
ยิ่งพวกรับจ้างซักผ้าแล้วละก็ยิงนับวันก็ยิ่งเพิ่มมากยิ่งขึ้นทุกๆที่
ซัดแล้วก็ตากกันที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้นแหละ
ระโยงระยางสลับสีสะบัดพลิ้วล่นลม
เหมือนเอารุ้งกินน้ำมาไว้ตามฝั่งแม่น้ำเลยที่เดียว
จากฝั่งแม่น้ำด้านที่อาซัมนั่งอยู่เป็นประจำมองเห็นฝั่งตรงกันข้ามเป็นหมู่บ้านจัดสรรตามอัธยาศัย
ตัวบ้านซึ่งไม่หน้าจะเรียกว่าบ้าน
ส่วนใหญ่ก่อกำแพงดินเป็นผนัง
มุงหลังคาด้วยกระดาษลังแล้วมุงทับอีกทีด้วยถุงพลาสติกที่นำมาเย็บต่อๆกัน
พอกันไม่ให้ฝนและแสงแดดส่องลงมา
แต่แดดและฝนไม่ค่อยน่าหวาดหวั่นเท่ากับลมที่พัดมาหอบทั้งกระบิไปลอยตุบป่องๆอยู่ในแม่น้ำโน้น
แม้แถบนี้ส่วนใหญ่จึงต้องเอาเศษอิฐ
เศษปูน
เอามาวางทับบนหลังคา
สภาพของบ้านในแถบนี้ส่อให้เห็นถึงสถานะภาพของผู้ที่อยู่ที่นี่ได้เป็นอย่างดี
มองย้อนไปทางต้นน้ำไม่ไกลจากจุดที่อาซัมนั่งอยู่นัก
มีสะพานคอนกรีตตีคู่ขนานไปกับทางรถไฟสูประมาณ
14-15
เมตร
จากพื้นน้ำทอดข้ามแม่น้ำมยุนา
ถนนจะสิ้นสุดลงที่ใดนั้นอาซัมไม่รู้
เขารู้แต่วาหากเดินเท้อาตามทางรถไฟสักเกือบครึ่งชั่วโมงทางรถไฟก็จะพาไปสู่เมืองเดลฮี
เมืองที่ยัดเหยียดไปด้วยผู้คนรถรถ
และอาคารรูปร่างแปลกๆประดับประดาไปด้วยสีสันสวยงาม
ณ
.
ที่เมืองเดลฮีนี้แหละ
เขายึดเป็นแหล่งหาเลี้ยงชีพมาตั้งแต่เขายังไม่ถึง
10
ขวบ
ชีวิตสำหรับอาซัมแล้วหมายถึงการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรักษาตัวรอด
บางครั้งเขาไม่มีโอกาสคิดว่าอะไรดี
อะไรเลว
ขอให้ตัวองดำรงชีวิตอยู่ได้ก็พอ
เขายังจำได้แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบ
8
ปีเต็ม
คืนวันหนึ่ง
คืนที่น่ากลัวอย่างยิ่งในวัยเด็กของเขา
ขณะที่เขากำลังหลับสนิทอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้าน
เสียงอึกทึกครึกโครม
เสียงตะโกนโห่ร้องเรียกเขาให้ตื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
อาซัมหันไปมองยังที่พ่อของเขานอนอยู่เป็นประจำ
แต่มันมืดจนมองอะไรไม่เห็น
แม่
..
พ่อ
..
อยู่ไหนกันฉันกลัว
อาซัมตะโกนเรียก
พ่อ
..
อุ๊บ
“
เงียบๆไว้อาซัม
...”
ได้ยินเสียงแม่บอกเบาๆพร้อมกับปล่อยมือที่ปิดปากเขา
“
พวกฮินดูมันบุกหมู่บ้านเรา
”
เสียงแม่บอก
พ่อ
ล๊ะแม่
พ่อ
...
ไปไหน
พ่อออกไปดูและหาทางป้องกันหมู่บ้าน
เดียวพ่อมาใช้ไหมแม่
อาซัมถามแม่
“
อืม
...
เดียวคงมา
แต่ลูกจำไว้
หากพวกมันมากันจนถึงบ้านเรา
ลูกต้องวิ่งออกไปด้านหลังหมู่บ้าน
วิ่งไปอย่าหยุด
”
“
ครับ
แล้วแม่กับพ่อล๊ะ
”
“
ไม่ต้องห่วง
เดียวแม่กับพ่อจะตามไปทีหลัง
”
แม่คว้าตัวอาซัมมากอดไว้
อาซัมเงียบแม่เองก็เงียบไม่พูดอะไรอีก
เสียงโห่ร้อง
เสียงตะโกน
ยังคงดังอยู่เบื้องนอกไม่ห่างจากบ้านที่อาซัมอยู่มากนัก
สักครู่ใหญ่ๆก็ได้ยินคนเปิดประตูเข้ามา
อาซัมกอดแม่แน่นยิ่งขึ้น
เขารู้สึกกลัว
“
มูนา
”
เสียงเรียกแม่เบาๆในความมืด
อาซัมจำได้ว่าเป็นเสียงของพ่อ
“
ฉันอยู่นี่
”
แม่ตอบเสียงดังพอๆกัน
“
พวกมันมากันมากเหลือเกิน
สงสัยจะทานไม่อยู่
”
อาซัมได้ยินพ่อกระซิบกับแม่
“
แกพาลูกหนีไปก่อน
”
พ่อบอกกับแม่
“
แล้วพ่อละครับ
”
อาซัมถาม
“
พ่อจะตามไปทีหลัง
ลูกไปกับแม่ก่อน
...
รีบไป
”
พ่อเร่งแม่ให้รีบไป
นั่นแหละเป็นสุดท้ายที่อาซัมให้รีบไป
แม่เดินนำอาซัมออกไปทางหลังบ้าน
เดินตัดตรงไปตามทุ่งนา
ทางนี้เป็นทางลัด
เดินไปจะไปบรรจบกับถนนใหญ่ได้เร็วที่สุด
หมู่บ้านที่อาซัมอยู่เป็นหมู่บ้านมุสลิมล้วนๆถัดไปอีกไม่ไกลนักเป็นหมู่บ้านของชาวฮินดู
แต่ทั้งสองหมู่บ้านก็อยู่ด้วยกันสงบสุขมาเป็นมาเป็นเวลายาวนานพึ่งจะมาเปลี่ยนไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
หลังจากที่มีบุคคลภายนอกมายังหมู่บ้านชาวฮินดูอยู่เรื่อยๆ
แม่และอาซัมเดินมาได้สักพัก
แม่หันกลับไปมองหมู่บ้านที่จากมา
และเห็นเปลวไฟปลุกโชติขึ้นมาหลายจุด
“
พวกมันเผาหมู่บ้านของเรา
”
แม่หันมาบอกอาซัม
“
ทำไมพวกมันต้องเผาหมู่บ้านของเราด้วยละแม่
”
อาซัมกระซิบถามแม่ของเขา
“
ไม่รู้ซิ
…
อาจเป็นเพราะเราเป็นมุสลิม
”
แม่ตอบแล้วรีบฉุดมือของอาซัม
“
ไปเถอะถึงถนนใหญ่แล้วเราค่อยพัก
”
อาซัมและแม่ทันจะก้าวออกเดิน
เสียงคนวิ่งตามมาด้านหลังก็ดังขึ้น
เสียงตะโกนเรียกกันดังชัดเจนพอที่จะเดาได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู
แม่ผลักอาซัมให้วิ่งไปข้างหน้า
พร้อมกำชับเขาอีก
“
วิ่งไปอย่าหยุด
ถึงถนนใหญ่หากมีรถผ่านมาขออาศัยเขาไปก่อน
แม่จะตามหาเอง
”
อาซัมจำได้ว่าเขาวิ่งไปพร้อมกับแม่จนเหนื่อย
แม่หยุดวิ่งก่อนเพราะหมดแรงจะวิ่งต่อไป
แต่ยังสั่งให้อาซัมวิ่งต่อไปทั้งๆที่แม่ยังหอบอยู่อีก
“
วิ่ง
ลูก
วิ่ง
อย่าหยุด
”
แม่ร้อง
อาซัมฝืนวิ่งต่อไปอีกโดยไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับแม่ของเขาบ้าง
เขาจำได้อย่างเดียวว่า
วิ่ง
...
วิ่ง
...
และวิ่ง
ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเขาวิ่งหนีอะไร
แล้วหนีไปไหน
หลายครั้งเขาลมลง
หลายตอนต้องคลานกับพื้นดิน
กิ่งไม้หนามแหลมเกี่ยวเสื้อเกี่ยวเนื้อหนังฉีดขาดเป็นบาดแผล
แต่เขายังวิ่งบ้างเดินบ้างจนถึงถนนใหญ่
ที่นั่นอาซัมเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าเขาแล้ว
แต่ไม่รู้เป็นใคร
สัตรูหรือเพื่อนบ้าน
เขารู้แต่ว่าอยากจะพัก
เขาหมดเรี่ยวแรงจะฝืนเดินต่อไปแล้ว
สติของเขาก็วูบหายไปนานเท่าไหร่นั้นเขาจำไม่ได้
เขารู้สึกอีกครั้งก็กำลังนอนเหยียดยาวอยู่บนรถดูเหมือนจะเป็นรถบรรทุก
เขานอนเอาหัวหนุนตักหญิงคนหนึ่ง
นอกจากนั้นยังมีอีกหลายคนนั่งบ้าง
นอนบ้าง
ยืนบ้าง
ส่วนใหญ่จะเป็นชายชรา
มีผู้หญิง
5-6
คน
และเด็กอีก
3-4
คน
เขาจำไม่ได้แล้วว่าเป็นเด็กชายกี่คน
“
เอารู้สึกตัวแล้วหรือ
”
ผู้หญิงคนนั้นถามเมื่อเห็นอาซัมลืมตา
“
แม่
..
พ่อ
”
แม่กับพ่ออยู่ไหนอาซัมถาม
“
แม่กับพ่อแกเดี่ยวเขาตามมาเองแหละ
”
หญิงคนเดิมตอบ
“
แกเพลีย
ก็นอนต่อไปก็แล้วกันถึงเฮลลีแล้วจะปลุก
”
เพียงเท่านั้นแหละที่อาซัมจำได้
เขาหลับไปอีกครั้งรถมาถึงที่หมายปลายทางเมื่อไหร่เขาไม่รู้
เขาตื่นมาอีกทีก็รุ่งขึ้นอีกวัน
เขาพบตัวเองนอนอยู่บนเตียงสานนอกกระท่อมหลังหนึ่ง
เขาหันซ้ายหันขวาดูรอบๆเขาด้วยความแปลกใจ
สถานที่นี้เขาไม่ได้ฝันไป
เหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วแต่เป็นความจริง
ความจริงทีน่ากลัวยิ่งกว่าฝันร้าย
“
ตื่นแล้วรือ
”
หญิงคนหนึ่งถามขึ้น
อาซัมหันไปตามเสียงผู้หญิง
2
คน
คนหนึ่งนั่งผิงโนตีอยู่หน้าเตา
อาซัมไม่รู้จักเธอมาก่อน
อีกคนหนึ่งคุ้นหน้า
เขาเคยเจอหล่อนในหมู่บ้านที่เขาอาศัย
และดูเหมือนว่าเธอนั่นแหละที่เขานอนหนุนตักมาบนรถบรรทุกคืนที่ผ่านมา
“
ครับ
เมื่อไหร่พ่อกับแม่
จะมาละครับ
”
.”
ฉันก็ไม่รู้
รุ้แต่ว่าเราต้องรออยู่ที่นี่ก่อน
จนกว่าจะได้ข่าว
”
หญิงคนนั้นตอบพลางจ้องหน้าอาซัมอย่างเห็นใจ
สอง
สามวันต่อมานั่นแหละข่าวการตายและหมู่บ้านที่พินาศไปกลับเปลวไฟจึงมาถึง
แน่นอนในหมู่บ้านนั้นไม่มีใครที่มีชีวิตเหลืออยู่
ที่รอดตายก็อพยพไปอยู่ที่อื่น
หมู่บ้านร้างผู้คน
ซากเผ่าที่ไม่ได้เป็นเหยื่อไฟก็หนีไม่พ้นเป็นเหยื่อแร้งเหยื่ออีกกาไป
กว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะยืนมือมาจัดให้มียามรักษาการณ์ไว้ตามมีตามเกิด
ชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นก็กล้าเขามาทำพิธีศพตามศาสนา
“
ฉันจะไม่กลับไปหมู่บ้านนั้นอีกแล้ว
...
แกจะอยู่กับฉันที่นี่ไปอีกสักพักหนึ่งก็ได้
”
หญิงคนนั้นเอยขึ้นในวันหนึ่ง
“
บางทีพ่อกับแม่แกหากยังไม่ตาย
เขารู้ข่าวแกคงตามมาที่นี่
”
หล่อนให้ความหวังแก่แก
จากวันนั้นถึงวันนี่จวนจะแปดปีอยู่แล้วไม่เคยมีวี่แววอะไรทั้งนั้นเกี่ยวกับผู้บังเกิดเกล้าของเขา
อาซัมเติบโตขึ้นในหมู่บ้านริมฝั่งยมุนาแห่งนี้
โรงเรียนโรงใหญ่ของเขาคือเมืองเดลฮีทั้งเมือง
ที่นั่นสอนทั้งวิชาการอาชีพและศิลปะการเอาตัวรอดแก่เขา
ตั้งแต่ขอทานขัดรองเท้า
ฉกชิงวิ่งราวหรือขโมยทั้งฉายเดียวและทำกันเป็นแกงค์
วัยเยาว์ที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาถูกแทนที่ด้วยเล่ห์เหลี่ยม
ความโกรธแค้น
เกลียดชัง
และความหวาดระแวงต่อคนแปลกหน้า
เขาผูกใจเจ็บกับฮินดูชนไม่สนิทสนมคบชาวฮินดูเป็นสหาย
ในแกงค์ของเขามีเด็กฮินดูอยู่เหมือนกันแต่ก็พยายามตีตนออกห่าง
นอกจากจะมีงานจำเป็นจริงๆจึงจะร่วมด้วย
กระแสความรู้สึกเกลียดชังต่อกันกระจายไปทั่วเมือง
ด้วยการเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์กรณีการพิพาทระหว่างมุสลิมกับฮินดู
เรื่องมัสยิดจนเป็นชนวนลุกลามใหญ่โต
เกิดการฆ่าฟันกันในหลายท้องถิ่นทั่วประเทศ
สำหรับหมู่บ้านหมู่บ้านจัดสรรกันเองริมฝั่งมยุนา
ข่าวคราวเหล่านั้นมาถึงเช่นกัน
ในรูปแบบที่ตื่นเต้นพิสดารมากกว่ามากมาย
และสีสันแล้วแต่ผู้เล่าจะมีความสามารถถ่ายทอดปรุงแต่งให้เร้าใจผู้ฟัง
แต่ทั้งหมดนั้นล้วนแต่อยู่ในขอบข่ายที่นำประโยชน์มาให้แก่คนกลุ่มเดียว
ที่เริ่มปลุกกระแสเกลียดชังในครั้งนี้เพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมนี้หันมาให้การสนับสนุนพวกตน
ขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองซึ่งพวกเขาวาดหวังมาโดยตลอด
อาซัมพ่อแม่และหมู่บ้านของเขา
จึงเป็นเพียงเบี้ยในเกมหากรุกของเขาคนกลุ่มนี้
ส่วนตัวของอาซัมแม้จะทำตัวเป็นเด็กจรจัด
และเลวร้ายอย่างไรในสังคม
สิ่งหนึ่งที่มักจะทำเป็นประจำเมื่อมีโอกาส
เขาจะตื่นแต่เช้าแล้วเดินข้ามสะพานคอนกรีตมายังฝั่งตรงข้ามกับหมู่บ้านที่เขาอาศัย
เขาชอบนั่งเหม่อมองสายน้ำ
มองดูรถ
รถไฟที่ผ่านไปมาภาพกนึ่งที่อาซัมมองด้วยความหวังจะเป้นความรู้สึกอิจฉาหรือพอใจ
เขาเองก็ตอบตัวองไม่ได้
ทว่ามันเป็นแรงดึงดูดใจอย่างหนึ่งที่ชังนำให้เขามานั่งอยู่ตรงฝั่งแม่น้ำในยาม้าทุกครั้งที่มีโอกาส
ภาพรถรับส่งเด็กนักเรียนเต็มคันรถ
มีตั้งแต่เด็กตัวน้อยในชั้นอนุบาล
ไปจนถึงนักศึกษาในมหาลัยต่างๆในกรุงนิวเดลฮี
หากมีโดรงเรียนอยู่ไม่ไกลนักก็มีสามล้อปั่นบรรทุกเด็กตัวน้อยๆได้ถึงสิบคนหรือมากว่านั้น
หากโรงเรียนอยู่ไม่ไกลถึงเมืองเดลฮีก็จะมีรถรับส่งของโรงเรียน
หรือมหาวิทยาลัยมีรถบัสคันเล็กๆบางทีรถเก่าจะพังแหล่ไม่พังแหล่
ค่อยแล่นไปสู่ตัวเมือง
เขาเองไม่มีโอกาสเหมือนเด็กกลุ่มนั้น
โดรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งที่พ่อแม่ปลูกฝังในความรู้สึกของเขาตั้งแต่เขาตัวน้อยๆ
โอกาสของเขามีเพียงไม่กี่ปีในโรงเรียนบ้านนอกในหมู่บ้านของเขา
มันไม่เพียงความฝันของพ่อแม่ของเขาที่คาดฝันไว้กับตัวของเขา
ภาพเด็กนักเรียนเหล่านั้นจึงเป็นภาพเติมเต็มในชีวิตของเขา
อยากจะอยู่ร่วมด้วย
แต่นั่นแหละความจริงและความฝันมักจะขัดแย้งกันอยู่เสมอ
เขาจึงมีความสามารถได้แต่นั่งเหม่อมองดูเด็กๆเหล่านั้น
วิ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าใครคนไหนเป็นฮินดู
ใครคนไหนเป็นมุสลิม
คนไหนเขาควรเอ็นดุและคนไหนเขาควรเกลียดชัง
เช้าวันนี้เป็นอีกวันที่เขา
เดินข้ามสะพานมาตั้งแต่เช้า
แล้วมาทรุดนั่งลงสู่ฝั่งแม่น้ำ
สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่พวกซักผ้าที่กำลังเอาผ้าลงซักเป็นกองๆบ้างกำลังพาดผ้าบนโขดหิน
บ้างกำลังใช้ไม้ทุบผ้าให้คายคราบสกปรก
และบ้างก็กำลังหอบผ้าเปียกขึ้นมาตากบนพื้นหญ้า
และราวตากผ้าที่ผูกไว้กับเสาไม้
ดูระเกะระกะไปทั่วฝั่งแม่น้ำ
แสงแดดยามเช้าสอดส่องมา
ต้องร่างที่เข้มแข็งของเขา
ค่อยๆขับไล่ความหนาวเหน็บของลมยามเช้า
ให้ความรู้สึกอุ่นสบาย
เมื่อเขาหันกลับไปมองบนสะพาน
เห็นรถรายิ่งม
เขียนใน
GotoKnow
โดย
soonyee
ใน
สงขลานครินทร์ ปัตตานี
คำสำคัญ (Tags):
#มนุษยธรรม
หมายเลขบันทึก: 97854
เขียนเมื่อ 22 พฤษภาคม 2007 15:00 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:42 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
soonyee
สมุด
สงขลานครินทร์ ปัต...
เรื่องสั้น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท