วันแรกก็แพ้แล้วครับ


          เรื่องวันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายเหมือนชื่อบล็อกหรอกครับ

          555....มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกของผมเอง เข้าโรงเรียนวันแรกมาครับ

          ลูกผมไม่เคยห่างจาก ผมหรือแฟนผมหรือแม่ยายผมเลยครับ คือยังไงก็ต้องเจอใครคนหนึ่งตลอดเวลา และเป็นคนติดแม่(แฟนผม)มากครับ  

          มีพี่ที่ทำงานผมเล่าให้ฟังก่อนว่า ระวังร้องให้นะ เพราะพี่ตอนลูกเข้าโรง เรียนครั้งแรกคิดว่าทำใจได้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ทนไม่ได้ ตอนนั้นผมฟังแล้วก็คิดในใจว่าเราคงไม่เป็น เพราะยังไงก็ต้องเป็นแบบนี้เด็กยังไงก็ต้องร้อง

          แต่พอเวลาถึงวันของเรา เรา 2 คนพ่อแม่(ผมและแฟน)ไปส่งครับ(ลางาน) นั่งเล่นกับเค้าที่ห้องซักพัก พูดกับลูกว่าพ่อกับแม่ต้องออกไปนอกห้องแล้ว พ่อกับแม่จะกลับมารับ ไม่หนีลูกไปไหน อยู่กับคุณครูใจดีนะครับ เล่นกับเพื่อนๆ เล่นของเล่น.... แค่นั้นหละครับ เหมือนรู้ล็อคคอคุณแม่เลยครับ (อ่านไม่ผิดครับ...ล็อคคอครับ...ลูกผม 3 ขวบเมื่อ 7 มีนาคมที่ผ่านมา แต่น้ำหนักประมาณ 25 กิโล สูงประมาณ 105 เซ็น เนื้อแน่นครับ แรงเยอะมาก) ไม่ให้คุณแม่ไปไหน คุณครู 2 คนต้องมาช่วยแกะออก หลังจากนั้นก็ร้องหน้าดำหน้าแดง จนอาเจียน ประมาณ ชั่วโมงกว่าก็เพลียจนหลับไป ผมก็แอบดูอยู่ตลอดเวลา แฟนผมน้ำตาไหลพรากเลยครับ ผมก็คอยปลอบแฟน พอลูกตื่นก็เป็นช่วงที่ต้องไปทานข้าวกลางวันพอดี ก็เริ่มร้องอีก คุณครูก็ให้เข้าแถวเดินไปทานข้าวที่โรงอาหาร ก็ร้องหาแม่ไปตลอดทางแต่ไม่ดัง นั่งทานข้าวก็ร้องมองซ้ายมองขวาหาแม่(ปกติลูกไม่ติดผมหรอกครับ ผมจะเป็นลำดับที่ 3 รองจากแฟนผมและแม่ยายครับ...นับครั้งได้ 2 ครั้งครับที่ลูกให้ผมนอนกอดและลูบหลังให้เวลานอน...วันนั้นผมมีความสุขที่สุดเลยครับ..)

          ถึงตอนนี้ต่อมน้ำตาผมแตกเลยครับ... ดีที่คุณครูมาช่วยป้อนให้เพราะหากรอให้ทานเองคงไม่ทา่น(ปกติทานเองได้ครับ..แต่เลอะหน่อย)

          ทานเสร็จก็ให้แปรงฟันแต่ลูกผมไม่ยอม... แล้วก็เดินกลับมาห้องเรียน เดินแบบซึมๆ น้ำตาไหล ไม่เหมือนลูกที่ผมเคยเจอเคยเล่นทุกวันเลยครับ

          พอเข้าไปในห้องก็ถึงเวลานอน ผมไปบอกคุณครูว่ามีนมของลูกผมในกระเป๋า

          ก็ร้องให้ไปกินนมไประหว่างนอน หาแม่ตลอดเวลา เรา 2 คนมองหน้ากันแบบจะเอายังไงกันดี สุดท้ายคือ พ่อกับแม่ยอมแพ้ครับ ผมให้แฟนเข้าไปหาลูก ลูกเห็นแฟนผมรีบเข้ามากอดเลยครับ แล้วก็พูดว่า คุณแม่หนีน้องเก้าไปไหนมา น้องเก้าคิดถึงคุณแม่ คิดถึงคุณพ่อ คุณพ่ออยู่ไหน แฟนผมก็พาลูกออกมาข้างนอกห้อง ผมนั่งรออยู่ห่างจากห้องประมาณ 4-5 เมตร ลูกเห็นผมวิ่งแจ้นเข้ามากอดเลยครับ ต่อมน้ำตาแตกอีกรอบครับ(ผมรู้สึกว่าแกกอดผมแน่นกว่าที่ผ่านๆมามาก)

          เรานั่งพูดคุยเล่นกับลูกซักพัก( ซึ่งตอนนี้ลูกผมกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว ) จึงไปขอคุณครูกลับบ้านครับ.... พรุ่งนี้เอาใหม่

          ใครเป็นอย่างผมบ้างครับ ทำอย่างไรนอกจากทำใจครับ... มันทรมานมากเลยครับ 

          คำพูดอมตะของพ่อและแม่ผมและใครอีกหลายคนคือ "เดี๋ยวมีลูกแล้วจะรู้ว่าไอ้รักลูกมันเป็นยังไง" มันก้องในใจผมมากขึ้นกว่าทุกวันเลยครับ..... 

หมายเลขบันทึก: 96646เขียนเมื่อ 16 พฤษภาคม 2007 19:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)
P

สวัสดีค่ะ

พ่อแม่ทุกคนเจอแบบนี้มาก่อนค่ะ วันแรกให้เขาปรับตัวหน่อย รับเขากลับก็o.k.ค่ะ เพราะเขาจะได้มั่นใจว่าพ่แม่ไม่หนีไปไหน

วันต่อมา ก็ค่อยๆปล่อยค่ะ เด็กผู้ชาย เข้ากับเพื่อนได้เร็วกว่าเด็กผู้หญิง

ยังจำได้ 1 อาทิตย์ผ่านไป ไปส่งลูกๆยังไม่ยอมปล่อยมือ บอกว่า เดี๋ยวก่อน ขออีก 5 นาทีเลย

และเวลาไปรับ ให้ตรงเวลา อย่าช้า ลูกจะใจเสียค่ะ

จะติดมากอย่างนี้ไปอีกพักค่ะ และจะค่อยๆดีขึ้นค่ะ ต้องแข็งใจหน่อยค่ะ ทั้งนี้ อยู่ที่นิสัยเด็กด้วย ถ้าเขาเป็นคนซนๆ  ก็เพลินกับของเล่น และเพื่อนๆเร็วขึ้นอีกหน่อยค่ะ

 ขอบคุณ คุณPsasinanda

 อย่างสูงครับ ผมก็คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นครับ ถึงวันนี้ลูกผมจะร้องให้เยอะมาก แต่ก็มีเรื่องในห้องมาเล่าให้ฟังเหมือนกัน เช่นตอนนอนคุณครูเปิดเพลงให้ฟังด้วย....

ขอบคุณจริงครับ... 

เป็นธรรมดา มนุษย์เราแลกปัญญามา ด้วยความสามารถในการดำเนินชีวิต

แต่สิ่งที่ได้มาด้วย คือ ความเห็นแก่ตัว ความหลง ความไม่รู้ สังเกตุได้จาก คนโง่ไม่มีสิ่งเหล่านี้

ลูกผมไปโรงเรียน ร้องไห้ เกือบเทอม เมื่อไปส่งที่โรงเรียน

แต่ตอนเย็น รับกลับบ้าน ผมต้องรอเค้าเล่นกับเพื่อน ไม่อยากกลับ สนุก

เค้าต้องปรับตัว พ่อแม่ต้องปรับใจ แล้วเวลาที่รอคอยจะมาถึงเองครับ

 

ขอบคุณ คุณ
P

ว่างเปล่า

เป็นไปได้ผมอยากสอนลูกผมเองด้วยซ้ำไปครับ ผมมานั่งคิดหลังจากอ่านบันทึกของอาจารย์วิจารณ์ เรื่อง  ชีวิตที่พอเพียง : 274. ชิมแปนซีชนิดที่ ๓ ในเรื่อง" สัตว์อื่นๆ ไม่เลี้ยงลูก หรือเลี้ยงก็ใช้ระยะเวลาไม่นาน     แต่คนต้องใช้เวลาเลี้ยงลูกนานมาก     คือชีวิตต้องมี dependency period นานถึง ๑/๔ ของชีวิต"

ว่าสังคนมนุษย์ของเราทุกวันนี้ซับซ้อน เกินกว่าจะเรียนรู้เอง หรือใช้ประสบการณ์เพียงลำพังของพ่อและแม่มาสอน 

 ส่วนเรื่อง "แต่สิ่งที่ได้มาด้วย คือ ความเห็นแก่ตัว ความหลง ความไม่รู้" ก็หวังว่ามันจะติดมาน้อยที่สุดครับ
ขอบคุณ คุณ
P

ผศ. เพชรากร หาญพานิชย์

มากครับ

ผมคงรู้สึกน้อยใจอีกมั้งครับ ถ้าลูกติดเพื่อนมากกว่าผม....^_^ 

ขอบคุณมากๆครับ

เป็นเรื่องปกติจริงที่จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ลูกสาวคนโตก็ติดผมอย่างมากครับ (เบอร์ 1 เลย) วันที่ไปส่งที่โรงเรียนเธอก็ร้องไห้ (เป็นอยู่ 2 วัน) แต่ไม่โวยวาย ผมใช้วิธีการพูดความจริงครับ ว่าลูกจะต้องไปโรงเรียน จะไม่พูดว่า พ่อไม่ไปไหน

จริงๆแล้วผมเตรียมตัวเธอนานก่อนจะไปโรงเรียนจริง ผมอ่านหนังสือให้ลูกฟังก่อนนอนทุกคืน หนึ่งในนั้นคือ หนูนิดไม่ยอมไปโรงเรียน ในซีรี่ส์หนูนิดน่ะครับ เธอฟังหลายรอบมากจนอยากจะไปโรงเรียน

แต่เอาเข้าจริงๆก็ร้องไห้เหมือนกัน แต่ลูกผมร้องแปลกกว่าใครเขาครับ คือตอนที่ไปส่งไม่ร้องให้พ่อเห็น แต่คุณครูเล่าว่า เธอคร่ำครวญที่โรงเรียนทั้งวันเลยครับ ตอนที่ไปรับตอนเย็นก็เห็นนั่งเล่นทรายกับเพื่อนๆคนอื่นดีเด่ แต่พอเห็นผมเท่านั้นและ ร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้น กอดผมแน่นเลย ก็ถามไปว่า ไม่สนุกเหรอลูก เธอว่าสนุกแต่คิดถึงพ่อมากกว่า เอาเข้าไปนั่น เรื่องพูดจาฉอเลาะ คงไม่มีใครเกินเด็กผู้หญิงคนนี้ (ส่วนมากก็เด็กหญิงนั้นแหละที่จะพูดแบบนี้) อีกวิธีหนึ่ง ก็เล่าเรื่อง ผ่านประสบการณ์ตัวเองให้เข้าฟัง อย่างที่ผมเล่าก็บอกว่า ตอนเด็กๆพ่อก็เจอสภาพแบบนี้ แล้วพ่อมีทางออกในการหลอกคุณย่ายังไง เล่นเอาสนุกกันทั้งบ้าน อีกอย่างที่จะคุยคือ ถามชื่อเพื่อนๆ ถามลูกว่ามีเพื่อนซี้หรือยัง คุณครูชื่ออะไร ครูคนไหนที่ลูกชอบที่สุด คือพยายามถามแต่เรื่องดีๆครับ

โรงเรียนก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นเดียวกันที่จะทำให้ลูกเรามีความสุขหรือไม่ ลองย้อนถามตัวเองดูว่า เราให้ลูกเรียนเพื่ออะไร (ในวัยอนุบาล) สำหรับผมคือเข้าสังคมกับเพื่อน เจอคนอื่นบ้าง  ในวัยยน่บอกตามตรงว่า ความรู้ผมไม่ได้ต้องการมากเลย บางโรงเรียนเน้นเรื่องการเรียนอย่างเข้มข้น จนลืมไปว่านี่มันเด็กอนุบาล การบ้านวันละ 1 หน้า ผมว่าเด็กตัวเล็กก็แทบจะอาเจียน ฉะนั้น

โรงเรียนไหนขึ้นชื่อเรื่องระเบียบ ผมไม่พาไป

โรงเรียนไหนเด่นเรื่องเรียนมาก การบ้านเยอะ ผมเมินหนี

ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า ผมจะไม่สนใจ

โรงเรียนที่เน้นกระบวนการคิด ปฏิบัติจริง (ทดลองวิทยาศาสตร์เด็ก) ผมชอบ

โรงเรียนที่ไม่สร้างภาระให้เรา ผมเอา

เรื่องเลี้ยงลูกนี่สนุกนะครับ ขอเพียงแต่เราให้เวลาเขามากๆ กอดเขาทุกวัน อ่านหนังสือให้ฟัง พาไปเที่ยว เขามีความสุขและมีความรู้ นี่ไม่ใช่หรือครับที่เราต้งใจให้เขาได้รับตั้งแต่เขามาอยู่ในท้องเมียเรา

 

ขอบคุณมากๆเลยครับ คุณธนพันธ์ ชูบุญ

ผมเสียใจมากๆเลยครับว่าที่ผ่านมาผมให้เวลากับลูกน้อย ตอนก่อน 2 ขวบ แฟนผมยังทำงานที่เดียวกันครับ พักกลางวันลงมาทานข้าวบ้าน(แม่ยายทำให้) ผมก็จะเจอแกที่บ้าน แต่ตอนเย็นผมต้องไปร้าน กลับมาก็มืดเล่นกับแกได้เล็กน้อย

แต่ตอนนี้แฟนผมย้ายไปใกล้เมือง เพื่อที่จะได้พาลูกเข้าเรียน ผมจึงลูกน้อยลงมากๆ จะเจอก็ตอนที่ผมกลับจากร้าน กว่าจะถึงบ้านก็ 2 ทุ่ม(อำเภอผมห่างจากตัวเมืองประมาณ 70 +โล) บางวันก็ไม่ได้กลับเพราะติดเวร แต่ดีที่หากเสาร์อาทิตย์ไหนผมติดเวร แฟนผมจะพาลูกมาหาครับ

โรงเรียนที่ผมพาลูกไป น่าจะเน้นการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ครับ คุยกับคนรู้จักหลายๆคนก็บอกว่า ลูกของเค้าชอบมาโรงเรียนมาก  

 

ขอบคุณอีกครั้งครับสำหรับความเห็นดีๆครับ ผมสัมผัสได้เลยว่าคุณรักลูกมากครับ 

ผมก็เป็นหมอเหมือนกันครับ

แต่พ่อแม่ไม่ได้เป็นหมอ เลยสอนลูกของท่าน (ผมเอง) ให้ใช้ชีวิตแบบไม่ใช่หมอ

หมอท่านหนึ่งที่ผมศรัทธามากคือคุณหมอรังสฤษฎ์ กาญจนวนิชย์ (ต้องขออภัยอย่างสูงหากเขียนผิดไป) ท่านเป็นหมอที่เก่งมาก ตอนนี้อยู่ที่มช. พบท่านครั้งแรกตอนที่ผมเป็นนักศึกษาแพทย์ปี 5 ท่านพาไปเดินป่า ดูนกครับ

ผมเคยถามตัวเองเหมือนกันว่า หมอเราต้องเปิดคลินิกหรือไม่ หลังจากที่ผมจบไม่นาน ผมเคยรับฝากครรภ์ ทำคลอด (แต่ยังไม่เปิดคลินิก) เวลาส่วนมากง่วนอยู่กับการหาเงิน จนวันหนึ่งขณะอ่านหนังสือให้น้องแป้งลูกสาวคนโตฟัง แล้วโดนตามไปทำคลอด เธอบ่นว่า ไปอีกแล้วหรือ

ตั้งแต่นั้นมาผมไม่รับฝากครรภ์ไปอีกเลยครับ เป็นเวลา 3 ปี

เพิ่งมารับอีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว (เดือนละ 3-5 คน เพราะซื้อรถใหม่) แต่ทำได้ 6 เดือนก็เลิกโดยเด็ดขาด

มันรู้สึกได้จริงๆว่า สบายใจ สบายกาย ไร้ภาระครับ แล้วลองถามตัวเองดูสิว่า เงินน้อยลงมาจากการไม่ทำคลินิกแล้ว ใครสบายบ้าง ตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดนานเลยใช่ไหมครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท