ซื่อสัตย์ โปรงใส่ บรรลุผลสำเร็จ ทุกองค์กรต้องมี


องค์กรในโลกมีอยู่ไม่ใช่น้อย แต่องค์กรที่มีความซื่อสัตย์ โปรงใส่ และทำงานบรรลุผลสำเร็จอย่างคุ้มค่านั้นมีน้อย จงยืนหยัดบนความถูกต้องและไม่ร่วมมือกับฝ่ายที่หลงผิด มีความซื่อสัตย์สุจริตทั้งกาย วาจาใจ มีความโปร่งใส ตรวจสอบทุกกระบวนการได้ ไม่เลือกปฏิบัติ และมุ่งสร้างผลสัมฤทธิ์ของงาน

         เมื่อเอ่ยถึงความซื่อสัตย์ สุจริตและโปรงใส่ ทุกคนอาจจะรู้สึกขัดหูขัดตา เพราะหากยึดสิ่งนี้แล้ว มักจะไม่ได้รับผลประโยชน์ ที่บางครั้งหรือทุกครั้งสามารถงัดแงะ แทะกินได้ มีรายได้เสริมอย่างสบาย แต่หารู้ไม่ว่า ความไม่ซื่อสัตย์ คดโกง นั้นกำลังมัดตัวอยู่ และกำลังเหยียบย่ำเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองอยู่ ความน่าเชื่อถือศรัทธากำลังถูกกินด้วยความไม่ซื่อตรง

         ความซื่อสัตย์ สุจริต และโปร่งใสนั้นเป็นนโยบายที่ดีในการจัดการองค์กรในปัจจุบัน เพื่อประสิทธิผลและประสิทธิภาพในระยะยาว องค์กรทั้งหลายจึงต้องถือเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและลงมือทำอย่างจริงจัง โดยเฉพาะภาคปฏิบัติ เพราะถ้าหากว่า พูดอีกอย่างแล้วไปปฏิบัติอีกอย่าง นั้นคือจุดเริ่มต้นของการทุจริต องค์กรจะไม่มีความจำเริญ(บะรอกะห์) เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว มีประโยชน์อะไรที่เสียแรงลำบากลำบนก่อตั้งองค์กร ทั้งๆ ที่ทำแล้วมีแต่การสาบแช่งเพราะขดโกง

        วันนี้องค์กรต่างๆ มักจะครอบงำสื่อต่างๆ หรือจ้างสื่อผลิตสื่อ เพื่อโฆษณา หากแต่ต่อให้รูปลักษณ์ขององค์กรดีขนาดไหนโฆษณาโครมครามเพียงใด ถ้าสังคมรู้สึกว่าองค์กรไม่ตรงไปตรงมาหรือคอยแต่จะเอารัดเอาเปรียบ ก็ย่อมไม่กลับมาให้การสนับสนุนอีก มิหนำซ้ำจะประกาศต่อๆ ไปให้คนอื่นได้รับรู้และไม่มีใครจะยอมร่วมมือด้วย เมื่อนั้นจะเป็นเคราะห์ร้ายขององค์กรเป็นอย่างยิ่ง ความซื่อสัตย์ต่อสังคมจึงเป็นเรื่องที่ต้องยึดถือปฏิบัติตลอดทั่วทั้งองค์กรตั้งแต่ผู้บริหารสูงสุดลงมาจนถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติระดับล่างสุดโดยไม่มีพฤติกรรมทุจริต ไม่โปรงใส่เกิดขึ้น

          องค์กรประเภทหนึ่งที่ล่อแหลมมากกับความซื่อสัตย์สุจริตในความรู้สึกของสังคมปัจจุบัน คือ องค์กรการกุศล มูลนิธิ สมาคม โรงเรียน สถาบันศาสนาต่างๆ มัสญิด ฯลฯ เพราะองค์กรประเภทนี้จะต้องยึดหยัดอยู่บนความน่าเชื่อถือศรัทธา ความไว้วางใจของสังคม จึงต้องระมัดระวังในการบริหารจัดการหรือดำเนินกิจกรรมใดขององค์กร ทั้งนี้ เพื่อความมั่นคงขององค์กรและผลสัมฤทธิ์ที่สังคมพึงประสงค์

         การอยู่รอดขององค์กรในระยะยาว ต้องถือเรื่องดังต่อไปนี้เป็นเรื่องสำคัญและลงมือทำอย่างจริงจัง    

         ประการแรก คือต้องพยายามสร้างความชัดเจนในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส่ ด้วยการกำหนดเป็นนโยบายที่ชัดเจนว่าจะไม่มีการคดโกง ไม่โปร่งใส่ ไม่ปิดบังความจริง และฉกฉวยประโยชน์บนความไม่รู้ของบุคคลอื่น ซึ่งจะต้องประกาศและยึดถือปฏิบัติไว้ตลอดการ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง ที่ต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด

          ประการที่สอง ให้คำตักเตือนแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างต่อเนื่องในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตและโปร่งใส ทั้งต่อตนเอง ซื่อสัตย์ต่องานที่ทำ ซื่อสัตย์ผู้อื่นและสังคม และซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ โดยเฉพาะซื่อสัตย์ต่อพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งรู้เห็นทุกสิ่งที่กำลังกระทำปฏิบัติ เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตนี้ถือเป็นหลักศาสนาขั้นพื้นฐานที่ต้องยึดถือปฏิบัติ ซึ่งเป็นแนวทางขององค์กรในยุคนี้

          ประการที่สาม องค์กรต้องคอยหมั่นตรวจสอบความบกพร่องของตนเอง(อินซอฟ) ตรวจสอบการยึดถือปฏิบัติในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตของผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งเสียงสะท้อนจากบุคคลรอบข้างและสังคมในเรื่องดังกล่าวจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าสังคมจะให้การเชื่อถือศรัทธาและสนับสนุนอีกต่อไปในอนาคตหรือไม่ เป็นตัวบ่งชี้ว่าองค์กรต้องแก้ไขปรับปรุงในเรื่องนี้อย่างไร ต้องเข้าใจว่าสังคมนั้นปกติจะไม่อยากพูดถ้าไม่จำเป็น เพราะสังคมมีทางเลือกมากมาย หากไม่พอใจก็หันไปหาองค์กรอื่นที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า ปล่อยให้ปัญหานั้นเป็นที่มืดบอดขององค์ต่อไป ดังนั้นการหมั่นตรวจสอบความถูกต้องบ่อยๆ หรือการเปิดโอกาสให้สังคมได้เสนอแนะซักถามเพื่อความสบายใจไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ จึงเป็นสิ่งที่ควรจะทำอย่างเอาจริงเอาจัง

          ประการที่สี่ หากผู้ปฏิบัติงานคนไหนพิสูจน์ว่าเป็นคนซื่อสัตย์กับงานของตัวเองและกับสังคมอย่างดียิ่ง ก็ควรจะได้รับรางวัล และการยกย่องให้เป็นตัวอย่างของคนอื่นๆ ด้วย นอกเหนือจากผลบุญและเกียรติที่อัลลอฮฺเพิ่มพูนให้แล้ว ทั้งนี้เพื่อจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานยึดมั่นกับความซื่อสัตย์อย่างสม่ำเสมอ ในทางตรงกันข้ามหากผู้ปฏิบัติงานที่ละเมิดนโยบายความซื่อสัตย์สุจริตก็ต้องมีการลงโทษให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่างด้วยความเสมอภาค ไม่ใช่ทำแบบปากว่าตาขยิบ ไม่อย่างนั้น นโยบายความซื่อสัตย์สุจริตก็คงปราศจากผลใดๆ

          ประการสุดท้าย แต่สำคัญยิ่ง คือตัวผู้บริหารเองต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี คงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์สุจริตอยู่เสมอทั้งที่ลับตาและที่แจ้ง ถ้าผู้บริหารยังซิกแซก ไม่ค่อยเปิดเผยความจริง ทำงานคนเดียวเงียบๆ หาทางคดโกงและเก็บเล็กเก็บน้อยเมื่อมีโอกาศ เมื่อนั้นความซื่อสัตย์สุจริตย่อมเกิดไม่ได้ในองค์กร สังคมก็จะหันหลังให้ แม้จะใช้กลยุทธ์โฆษณาอย่างไรก็ตามก็ไร้ประโยชน์ และที่สำคัญ ชีวิตบนโลกนี้จะน่าสมเพส ยิ่งไปกว่านั้น โลกหน้าโลกแห่งการชดใช้ความผิดที่ก่อไว้จะยิ่งสมเพสเสียอีกเป็นเท่า 

          ทุกคนคงเคยได้ยิน สุภาษิตที่ว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” ยังเป็นความจริงที่ไม่มีวันตาย ไม่ว่าองค์กรเล็กองค์กรใหญ่ หรือหน่วยงานใดๆ ก็ตาม ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นนโยบายที่ดีที่สุดเสมอ หากหวังจะอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน

          คุ้มใหม ที่เพียงแค่ผลประโยชน์เข้ากระเป๋า แต่ไม่จีรัง วันเดือนผ่านไปก็หมด แลกกับการต้องโดนเผาเพื่อลบล้างสิ่งที่บริโภคไปที่เป็นของไม่อนุมัติ (ของหะรอม)

          อัลลอฮฺทรงตรัสว่า "และพวกเจ้าจงอย่ากินทรัพย์สมบัติ(ทรัพย์ของผู้อื่น) ระหว่างพวกเจ้าโดยมิชอบ และจงอย่าจ่ายมัน(จ่ายให้เป็นสินบน) ให้แก่ผู้พิพากษา เพื่อที่พวกเจ้าจะได้กินส่วนหนึ่งจากทรัพย์สินสมบัติของผู้อื่น ด้วยการกระทำสิ่งที่เป็นบาปทั้งๆ ที่พวกเจ้ารู้กันอยู่" (อัลบะกอเราะฮฺ:188) 

          ศาสนฑูตมูฮำมัดกล่าวไว้ว่า "บุคคบใดที่คดโกงเรา ก็ไม่ใช่พวกเรา (รายงานโดยมุสลิม)

          สุดท้าย ขอเรียกร้องดุอาต่อเอกองค์อัลลอฮฺว่า ขอจงอย่าให้ผู้ที่กระทำการทุจริต คดโกง คอรับชั่น อยุติธรรมและกระทำการอื่นใดที่ผิดหลักศีลธรรม ประสบกับความสำเร็จในกิจการงานทุกประการและโปรดจงชี้นำ(ฮีดายะห์) ให้ผู้นั้นกลับสู่แนวทางที่เที่ยงตรงและประสบความสำเร็จทั้งโลกนี้และโลกหน้าด้วย อามีน

คำสำคัญ (Tags): #ซื่อสัตย์
หมายเลขบันทึก: 96452เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2007 22:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 มีนาคม 2012 17:52 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
หากมีข้อผิดพล้าด ข้อสงสัย กรุณาแจ้งครับ

ข้าราชการคือต้นเหตุที่ทำให้เมืองไทยมีปัญหา

หากจะกล่าวว่า ข้าราชการ คือกลไกของรัฐที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า แต่การขับเคลื่อนประเทศไทยที่ผ่านมาไม่อาจเป็นไปได้อย่างที่ควรจะเป็น ปัญหาต่างๆ ในสังคมไทยมีมากมาย ผู้ที่มีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านั้น ก็หาได้มีจิตสำนึกต่อหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาต่างๆให้คลี่คลายไม่ คิดแต่จะแสวงหาประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง บนพื้นฐานของปัญหา พูดง่ายๆ ก็คือแทนที่จะแก้ไขปัญหา กับใช้ความสามารถในการคดโกงทุกรูปแบบ และสร้างปัญหาให้พอกพูนมากขึ้น เราต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมา ข้าราชการไทยมีการทุจริต คอรัปชั่น คดโกงทุกรูปแบบตลอดมา ที่จับได้ไล่ทันมีนิดน้อย ที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทันมีอีกมากมายนัก คำพูดที่ว่าไปหาใบเสร็จมา (หาหลักฐานในการโกง) นั้นมันยากเย็นแสนเข็น หากสมมุติว่า ข้าราชการไทยซื่อสัตย์ ไม่คดโกง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความถูกต้อง (เป็นส่วนมาก) ประเทศไทยของเราคงจะเจริญก้าวหน้ากว่านี้มากมายนัก การโทษมักการเมืองว่าทุจริต คอรัปชั่น ขอถามกลับว่า ถ้าข้าราชการไม่ให้ความร่วมมือ นักการเมืองขี้โกงทั้งหลายจะทำอะไรได้ แต่ที่ผ่านมา ทั้งร่วมมือ ทั้งสนับสนุน ทั้งลงมือกระทำการคดโกงด้วยตนเองทั้งสิ้น บอกได้เลยว่า โกงกันเกือบทุกหน่วยงาน ทางออกของปัญหานี้อยู่ที่จิตสำนึก หากข้าราชการ (เป็นส่วนมาก) ปฏิบัติหน้าที่ด้วยซื่อสัตย์ ไม่คดโกง ไม่เห็นแก่พวกพ้อง เอาความถูกต้องเป็นที่ตั้ง ปฏิบัติงานตามหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ (มากกว่าการทำเพื่อประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่ม) รับรองได้เลยว่า ไม่ว่าปัญหานั้นจะยากเย็นสักเพียงใดก็จะสามารถแก้ไขได้ในที่สุด นอกเสียจากว่า ข้าราชการทั้งหลาย ไม่ใช่ข้าของราชการ ไม่ใช่ ข้าของแผ่นดิน เป็นแต่เพียงตัวเหลือบ เป็นเห็บของสังคมไทย ที่จะคอยเอาแต่ดูดเลือด หาได้มีคุณค่าต่อสังคมไม่ หากสังคมไทยยังปล่อยให้ เหลือบ และเห็บของสังคมแพร่พันธุ์มากยิ่งๆ ขึ้นไป สังคมไทยก็ยังคงต้องพบกับปัญหาต่างๆ ตลอดไปไม่มีวันจบสิ้น เลิกทำตัวเป็น เหลือบและเห็บของสังคมเสียที เพื่อสังคมไทยจะได้เจริญก้าวหน้าไปมากกว่านี้

ด้วยความปรารถนาดีจาก

กลุ่มประสานงานเพื่อการพัฒนาชุมชน

ตู้ ปณ.๑๒ ปณ.บางอ้อ กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท