บันทึกของนักกิจกรรม (Memoirs of a Activist) (1)


การทำกิจกรรมในวัยเรียนมันทำให้เสียอะไรหลายอย่าง แต่มันก็ทำให้ได้อะไรหลายอย่างเช่นกัน

เมื่อวันก่อนได้คุยกับคนหนึ่งเกี่ยวกับการทำกิจกรรมในช่วงชีวิตของการเป็นนิสิต นักศึกษา เราก็เลยอยากจะมาบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับการทำกิจกรรมของเราในช่วงชีวิตการเรียนของเราซะหน่อย อาจจะยาวไปหน่อย แต่ถ้าใครชอบก็ติดตามอ่านนะคะ

เราเป็นคนหนึ่งที่ได้ทำกิจกรรมมาตั้งแต่เป็นนักเรียนมัธยม ซึ่งทำให้เราดูคล้ายกับสิ่งแปลกปลอมในหมู่ญาติ เพราะเค้าไม่ทำกัน และจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่หมดไปกับการเรียน อ่านหนังสือ เรียนพิเศษ และเพราะเราไม่ใช่เด็กเรียน การทำกิจกรรม และผลการเรียนในระดับปานกลาง จึงกลายเป็นประเด็นในการพูดคุย (ว่ากล่าว) จากญาติผู้ใหญ่เมื่อมีการรวมญาติ แต่เราถือหลักว่า แม่เราบอกว่า ถึงแม้ลูกแม่จะเรียนไม่เก่งเหมือนคนอี่น แต่ขอให้ลูกเป็นคนดี ดังนั้นก็พยายามเรียนให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ก็ขอทำในสิ่งที่ชอบด้วยแล้วกัน ที่สำคัญคือเราไม่เคยเป็นเด็กไม่ดี

เมื่อก่อนเราเป็นเด็กที่ขี้อาย ชีวิตในวัยเรียนของเรียบง่ายธรรมดา แต่ก็เริ่มทำกิจกรรมมาตั้งแต่ ม.1 โดยการเข้าร่วมวงโยธวาทิตของโรงเรียน ทั้งทีเล่นดนตรีไม่เป็น (ส่วนใหญ่จะเล่นเด็กที่มาสมัครจะเล่นดนตรีเป็น หรือเคยเล่นในกับโรงเรียนเก่า) แต่รู้สึกว่าอยากเล่นก็เลยไปสมัคร จนกระทั้งเราขึ้นมัธยมปลาย ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวงที่ยังคงเล่นไม่เก่งอยู่ ไม่รู้ว่าอาจารย์ที่คุมวงเห็นถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ หรือเพราะเราเป็นรุ่นพี่ในวง จึงให้เราเป็นผู้ซ้อมแถวของน้องๆ ใหม่ๆเวลาซ้อมเราจะดุมาก เพราะไม่เคยทำมาก่อน จึงวางตัวไม่ค่อยถูกกลัวว่าเล่นมากไปน้องจะไม่กลัว แล้วจะคุมน้องไม่อยู่ หน้าจึงดุตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลาพัก ทำให้น้องรุ่นแรกที่เราฝึกไม่มีใครกล้ามาคุยกับเราเลย ก็เริ่มมาปรับในรุ่นต่อไป แต่เวลาฝึกก็เอาจริง และการซ้อมนี่เห็นทำให้เราไปเข้าตาอาจารย์ที่ปรึกษา (ตอนไหนไม่รู้) ช่วงนั้นเพิ่งขึ้น ม.4 กันใหม่ๆ หัวหน้าห้องเปลี่ยนกันทุกอาทิตย์ ส่วนใหญ่การเลือกหัวหน้าห้องของนักเรียนก็จะมากจากไม่กีอย่าง เช่นเป็นเด็กเรียนเก่ง เป็นเด็กเรียนนั่งหน้าห้อง เป็นเด็กขาโจ๋ที่ทุกคนรู้จัก ห้องเรามีเด็กที่ว่าครบทุกรูปแบบ แต่ทั้งนี้จะดูได้ว่าคนที่โดนโหวตก็มักจะรับในสภาวะจำยอม และขอทำดูถ้าไม่ได้ก็จะไม่ทำ ดังนั้นเมื่อลองเป็นหัวหน้าห้องพ้นอาทิตย์ก็ไม่ยอมเป็น ก็ต้องโหวตหาใหม่ ผ่านไปเป็นเดือนก็ยังไม่มีคนยอมเป็น ตั้งแต่เราเรียนมาก็อยู่แบบเป็นน๊อตตัวเล็กของห้องที่ไม่มีบทบาทอะไรที่โดดเด่นนัก คิดดูสิครั้งหนึ่งตอนม.ต้น มีครูที่สอนคนหนึ่งเก็บสมุดเราได้ ยังมาถามเลยว่าห้องนี้มีคนชื่อนี้ด้วยหรือ น่าขันจริงๆ

เหตุการณ์ในวันนั้นเราจำได้เม่นนัก เพราะมันเปลี่ยนชีวิตเราได้จนทุกวันนี้ วันนั้นพอเรียนเสร็จอาจารย์ก็บอกว่า "เอาหละครูรู้แล้วว่าจะให้ใครเป็นหัวหน้าห้อง (แล้วก็เรียนชื่อเรา)" แล้วก็บอกเพื่อนๆว่า "ครูจะให้เราเป็นหัวหน้า เพราะเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาครูเห็นเรามาฝึกแถวให้วงโยฯ ท่าทางน่าจะเป็นหัวหน้าห้องได้ และจะไม่มีการเปลี่ยนแล้วในชั้น ม.4นี้" เราเหมือนงง และคิดว่าจะทำได้มั้ยนะ จะดีหรือ แต่นักเรียนไทยมีหรือจะกล้าขัดคำสั่งครู และจากวันนั้นตลอด 2 ปีของการเรียนมัธยมปลายเราก็ได้ดำรงค์ตำแหน่งหัวหน้ามาตลอด และโชคดีที่เพื่อนในห้องน่ารักทุกคน ช่วยเราทำงานทุกอย่างตลอด เพียงแต่ให้เราเป็นคนออกหน้าเวลาต้องไปหาครู โดยเฉพาะผู้ช่วยฝ่ายปกครอง

กลุ่มเพื่อนที่เราสนิทก็ดูจะชอบทำกิจกรรม ดังนั้นไม่ว่างานอะไรก็ตาม ถ้ามีการแสดง พวกเราจะไม่พลาด ทั้งภาษาไทย และอังกฤษ (เสียดายที่ไม่ได้เลือกเรียนฝรั่งเศส) อันนี้ขอคุยหน่อย ตอนที่เราลงแข่งขันประกวดการแสดงละครภาษาอังกฤษนั้น อยู่ประมาณ ม.4 ภาษานะสู้พี่ๆเค้าไม่ได้หรอก ไปสมัครกันแล้วก็เครียด แต่อยากทำกัน ความสามารถที่มีนะหรอก็ชอบแสดงกัน แต่เรื่องศิลป์ไม่ได้เรื่อง โชคดีที่ได้เพื่อนในกลุ่มที่เรียนศิลปะ (กลุ่มนี้เป็นกลุ่ม popular กล่มหนี่งของพวกรุ่นน้อง เพราะส่วนใหญ่ห้าว และเป็นทอม และหน้าตาให้) มาช่วยไม่รู้เราไปพูดอีท่าไหน ให้เพื่อนนึกสนุกด้วย ลืมไปแล้ว อืม..แต่ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นพล๊อตเรื่องที่จะแสดง

เราจะแสดงเรื่อง Cinderella กัน แต่ขอโทษในกลุ่มไม่มีใครสวยพอเป็นนางเอก จึงต้องพลิกแพลงบทกันนิดหน่อย พอดีที่เพื่อนในกลุ่มมีคนหนึ่งที่หัวหยิกและฟู ก็เลยเป็นที่มาของเรื่อง ที่นางเอกจะมีลักษณะหัวฟู และเหมือนนางฟ้ามาช่วยแต่งตัว หัวก็จะฟูขึ้นโดยการใส่วิกผม ก็ลงทุนไปหากันมา วิกก็ฮามากเพราะฟู และหยิกสุดๆ ส่วนเราเล่นเป็นเจ้าชาย (ไม่มีใครชอบเล่นเป็นผู้ชายหรอก อ้อโรงเรียนเราหญิงล้วน แต่บทเจ้าชายมันต้องมี และบทก็ต้องยาว) ตามบทที่คิดกัน จุดที่จะเป็นจุดสำคัญของเรื่องที่เรามั่นใจว่าจะต้องได้เสียงฮาจากคนดูแน่นอนเพราะขนาดคิดพวกเรายังตลกกันเลย เป้าหมายร่วมของพวกเราคือ ละครเรื่องนี้จะเน้นความสนุก โดยใช้โครงเรื่องตามเทพนิยาย ตอนนั้นคิดแบบเด็กๆ ง่ายๆ คือเล่นตามเรื่องที่เรารู้จัก แต่กลับกลายเป็นข้อดี เพราะเป็นการง่ายที่คนดูจะตามเรื่องได้ ซึ่งเด็กอย่างพวกเราถ้าแต่งเรื่องเอง แต่งบทเองเป็นภาษาอังกฤษต้องตายแน่ๆ

จุดเด่นของเรื่อง 

1. ฉากที่ทำนั้นจะมีเสา เป็นฉากท้องพระโรงที่มีงานเต้นรำกัน และราชรถ(เก๋ง) ของซินเดอเรลา ซึ่งเพื่อนๆช่วยกันทำ ฉากจะไม่อยู่เฉย แต่จะต้องเต้นตามเสียงเพลง ดังนั้นนักแสดงจะต้องเพิ่มจำนวนขึ้น แต่แค่กลุ่มเราก็จะไม่พอจำนวนตัวแสดงแล้ว แต่บทฮาขนาดนี้ใครๆก็อยากมีส่วนร่วม ดังนั้นเพื่อนในห้องทุกคนจึงยินดีที่จะมีส่วนร่วมในงานนี้

2. เพลงประกอบจะต้องสนุก เร้าใจ โดยตั้งใจจะไม่ทำให้หวานซึ้งเหมือนเนื้อเรื่องเดิม เพราะเราทำกันไม่ได้ เลยต้องเน้นมันส์ ฮาอย่างเดียว ซึ่งฝ่ายจัดหาเพลงก็ทำได้ดีมากตามโจทย์ที่วางไว้

3. เจ้าชายของเรื่องจะต้องเป็นคนขี้เมา ขี้หลีสาวทุกคนที่มางาน ส่วนนางเอกภายหลังจากที่นางฟ้าช่วยเนรนิตเสื้อผ้า หน้าผมแล้ว ก็จะแต่งตัวสวยขึ้น (นิดหน่อย) แต่หัวจะหยิกมากขึ้น (วิก) ซีนนี้แค่นางเอกเดินออกมาก็ฮาแล้ว

4. ฉากเต้นรำ หลังจากที่เจ้าชายตะลึงในความงามของนางเอกก็ขอเต้นรำด้วย แต่เต้นรำธรรมดาตามเรื่องก็ไม่สนุก เราก็เปลี่ยนมาเต้นแทงโก้แทน ฉากนี้ก็เรียกเสียงฮาสุดๆ

5. Climax ของเรื่องคือฉากที่ถึงเวลาเที่ยงคืน ซึ่งนางเอกต้องกลับแต่เจ้าชายจะต้องยื้อไว้ ฉากนี้เล่นเอาอาจารย์กรรมการท่านหนึ่งถึงกับฮาตกเก้าอี้ เพราะในระหว่างที่ยื้อ และนางเอกพยายามรีบหนี สิ่งที่เจ้าชายได้จากนางเอกแทนรองเท้าแก้ว กลับเป็นวิกผมที่ได้จากการเอื้อมไปจับนางเอกสุดตัว แต่เพราะความเมาทรงตัวไม่ดี ทำให้ได้แค่ปลายผมติดมือวิกเลยหลุดติดมือ

จากวันนั้นแม้ว่ารางวัลชนะเลิศจะไม่ได้เป็นของเรา เพราะบทพูดไม่ค่อยมี พูดไม่ค่อยดี (ภาษา) เน้นแต่ acting กันอย่างเดียว ทำให้พวกเราได้รางวัลชมเชยมาเชยชมกัน แม้ว่าจะไม่ได้รางวัลที่หนึ่ง ที่สอง หรือที่สาม แต่วันนั้นพวกเราทุกคนสนุกมาก และก็ภูมิใจที่เป็นกลุ่มเดียวที่เป็นนักเรียนชั้นเล็กที่สุดที่เข้าประกวด อย่างน้อยก็ทำให้คนดูหัวเราะ ซึ่งก็สำเร็จตามเป้าหมายที่เราวางไว้

หลังจากนั้นก็เป็นงานวันสุนทรภู่ที่พวกเราได้ขึ้นเวทีกันอีก โดยเล่นเรื่องพระอภัยมณี วันนั้นสิ่งที่เราภูมิใจสุดๆคือรุ่นน้องเดินมาชมพวกเรากับอาจารย์ว่า "พวกพี่ๆเค้าเล่นกันเก่งมากเลยคะ หนูไปดูตั้งแต่เล่นละครภาษาอังกฤษกันแล้ว" แต่งานครั้งนั้นพวกเราก็ไม่ได้รางวัลกันอีกตามเคย เพราะเราไม่ได้ซ้อมกันมาก แต่สิ่งที่เรายอมเล่นคือ พวกเราทุกคนอยากทำ

กิจกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องสละเวลาเพื่อซ้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมของวงโยธาวิตที่เราอยู่ด้วยจนเรียนจบ และการประกวดเล่นละคร  ถ้าพ่อแม่ของเด็กคนใดไม่เข้าใจ ว่าทำไมลูกต้องอยู่เย็นหลังเลิกเรียน ก็เมืองไทยเค้าไม่ได้เลิกเที่ยง แล้วให้เด็กมีเวลาทำกิจกรรมเหมือนฝรั่งนิคะ เด็กเหล่านั้นก็จะไม่มีโอกาสทำในสิ่งที่เรา และเพื่อนได้ทำ พวกเราอาจจะไม่ได้เรียนได้ 4 ทุกวิชา แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้คะแนนที่ต่ำต้อยนัก และที่สำคัญพวกเราได้ทำกิจกรรมที่ทำให้พวกเรากล้าแสดงออกกันมากขึ้น

"การทำกิจกรรมในวัยเรียนมันทำให้เสียอะไรหลายอย่าง แต่มันก็ทำให้ได้อะไรหลายอย่างเช่นกัน"

หมายเลขบันทึก: 94606เขียนเมื่อ 6 พฤษภาคม 2007 02:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:29 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สวัสดีครับ

  • เข้ามาอ่านบันทึกนี้แล้วก็พลอยคิดถึงวันเวลาของชีวิตตนเองในครั้งที่เคยได้ทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างบ้าคลั่งไม่ได้
  • กิจกรรมนิสิต คือ รสชาติชีวิตปัญญาชน
  • กิจกรรมสร้างคน  คนสร้างชาติ
  • และกิจกรรมนี่เอง  ที่ช่วยให้ความขาดเขลาของผมถูกลบออกไปจากชีวิต  และเห็นความหมายของชีวิตผ่านกระบวนการทางกิจกรรม
  • ขอบคุณครับ
น้องที่น่ารักมั่ก ๆ คนนึง
อ่านแล้วไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมตอนปีหนึ่งเจ๊ถึงได้เป็นนายกฯ เขียนเก่งดีนะคับเจ๊
อ่านเพลินดี
ตอนเรียนม.ต้นถึงม.ปลาย ผมเรียนอย่างเดียวเลย แอบเสียดายเหมือนกันที่ช่วงนั้นไม่ได้ลองทำอย่างอื่นบ้าง อย่างน้อยผมก็อยากเริ่มทำอะไรที่ผมชอบตั้งแต่ตอนนั้นบ้างจัง  อ่านแล้วก็รู้สึกอิจฉาเล็ก ๆ เพราะอย่างน้อยผมก็รู้สึกว่า ตอนที่เจ๊มองกลับไปในช่วงนั้นจะรู้สึกว่าตัวเองได้ทำอะไรอย่างคุ้มค่า ซึ่งต่างกับผมเลยหล่ะ

เอาหล่ะ เพื่อเป็นการแฟร์ ผมคงต้องหาเรื่องอะไรมาเขียนมั่ง แต่ไว้ให้ raisondetre ของผมเสร็จก่อนแล้วกัน
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท