เข็มทิศหัวใจ


          สวัสดีค่าทุกท่าน วันนี้เพิ่งได้หนังสือมาใหม่เล่มหนึ่งคะ อ่านไปได้ไม่กี่บทแต่อยากมาเล่าให้ทุกคนได้ฟังจังคะ

         เอ! ไม่ทราบว่าทุกท่านเคยอ่าน เข็มทิศชีวิต เขียนโดย คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ไหมคะ

แต่ที่จะพูดถึงวันนี้ไม่ใช่เล่มบนคะ แต่เป็นเล่มล่างนี้คะ

เข็มทิศหัวใจ

เขียนโดย คุณ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ

            คุณ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ เป็นน้องสาวของ คุณ ฐิตินาถ ณ พัทลุง  คะ พอดีเพิ่งไม่นานมานี้ได้ดูรายการ Talk Show รายการหนึ่ง สองพี่น้องเค้ามาออกแล้วเล่าถึงแนวคิดต่างๆที่ทั้ง 2 ท่านได้เรียนรู้และได้นำไปใช้จริงให้ฟัง ตอนแรกก็ฟังธรรมดาเฉยๆนะคะฟังไปฟังมาหันกลับไปดูที่หน้าจอทีวี เชื่อไหมคะเวลาที่คนเค้ามีความสุขมันสะท้อนออกมาทั้งทางสีหน้า สายตา และคำพูดเลยคะ ทั้งคุณศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ และคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ก็เป็นเช่นนั้นคะ ทั้งคู่อาจจะไม่ใช่คนที่สวยที่สุดแต่ ณ วันนั้น ผู้เขียนรู้สึกว่าทำไมผู้หญิงสองคนนี้เค้าสวยจังคะ สวยที่แนวคิดที่สะท้อนออกมาให้รู้สึกได้เลยว่าสิ่งที่ทั้งสองได้ค้นพบ ได้เรียนรู้ และได้นำไปใช้นั้น มันยิ่งกว่ายาบำรุงหรืออาหารเสริมตัวไหนๆเลยคะ  นอกจากแนวคิดที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งของทั้งคู่ (การรู้เท่าทันจิตของตัวเอง) แล้ว สิ่งที่ทั้งคู่ต้องการให้ผู้อื่นได้สัมผัสและเรียนรู้ร่วมไปด้วย ยิ่งตอกย้ำถึงจิตใจที่แสนดีงามของทั้งคู่ได้อย่างแจ่มชัดเลยคะ

            ที่จริงผู้เขียนมีหนังสือ   เข็มทิศชีวิต   อยู่แล้วคะ  แต่วันนี้ได้เล่มนี้ เข็มทิศหัวใจ มาด้วยความบังเอิญคะ อ่านไปก็ไปสะดุดกับบทหนึ่งในหนังสือที่  คุณ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ ได้หยิบยกหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมาพูดคะ

Legally Blond 2

           หนังเรื่องนี้นะคะ สำหรับคนที่ไม่เคยดูไม่มีอะไรมากคะดูเพื่อความบันเทิงและขำๆ แต่ผู้เขียนก็รู้สึกเหมือนกับคุณ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ เลยคะตรงฉากและบทพูดของนางเอก (รีส วิทเธอร์สปูน) ตอนที่ลุกขึ้นพูดในที่ประชุมรัฐสภา ต่อหน้าคนใหญ่คนโตในประเทศ นางเอกเค้าพูดถึงเรื่องอะไรทราบไหมคะ ไม่ใช่นโยบายระดับชาติ หรือปัญหาเร่งด่วนใดๆทั้งนั้น แต่เป็นเรื่อง "ผม"

          ใช่คะอ่านไม่ผิดแล้ว นางเอกเล่าว่าเธอชอบร้านทำผมแห่งหนึ่งที่อยู่แถบ Bevery Hills แถวฮอลลีวู้ดที่พวกดาราระดับค่าตัวแพงระยับอยู่กันนั่นแหละคะ ร้านทำผมนี้ชื่อดังและชั้นนำมาก เธอพยายามจะไปรับการบริการอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ แต่แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งเธอสามารถเข้าไปทำผมในร้านสุดหรูเริ่ดแห่งนี้ได้  แต่เมื่อเธอเข้าไปที่นั้นกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เริ่มจากช่างทำสีผมใช้สีที่เธอไม่ได้เลือก ต่อมาคนสระผมก็ไม่ใส่ใจว่าหนังศีรษะของเธอควรเหมาะกับแชมพูแบบไหน ต่อมาช่างผมชื่อดังเขาทำผมให้เธอ แต่ที่ออกมา "ไม่ใช่แบบที่เธอต้องการ"  สิ่งที่เธอเห็นและรู้สึกตลอดเวลาก็คือ พนักงานในร้านไม่ได้ใส่ใจเธอว่าเธอต้องการอะไรอย่างแท้จริง.... แต่เลือกทำทรงที่เขาอยากทำ จนเสร็จ จบหน้าที่ฉันก็จากไป วันนั้นเธอร้องไห้เพราะทรงผมเธอดูแย่กว่าเดิมเสียอีก

แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ เธอเดินออกจากร้านไปอย่างจ๋อยๆ โดยไม่พูดอะไร ไม่ได้ทำอะไรกับการถูกเลือกปฏิบัติและสิ่งที่เกิดกับเธอเลย

คุณ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ บอกว่า

         ประเด็นสำคัญอยู่ตอนที่เธอ (นางเอก) สรุปกับบรรดาผู้ทรงเกียรติในรัฐสภาว่า พวกเรากี่คนบ้างที่เป็นแบบเธอ... กลัวสิ่งที่สมมุติที่สังคมสร้างขึ้น สิ่งที่สังคมบอกว่าดีที่สุด คอยเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง ทำตัวเองให้ตัวเล็กจิ๋วเหมือนไม่มีค่าอะไรเลย..... แค่พูดในสิ่งที่เราอยากพูด อยากบอกความต้องการที่แท้จริงของเรา เสียงเราคงเล็กมากจนไม่มีความหมายอะไร พูดไปแล้วใครจะแคร์

          เรายึดเอาฐานะทางสังคมมาวัด แล้วบอกตัวเองว่าเสียงคนอื่นนั้นสำคัญกว่า มีค่าคู่ควรแก่การฟังมากกว่าเสียงของเราเองเสมอ แล้วตัดสินใจที่จะไม่พูดสิ่งที่เราคิด ตัดสินที่จะไม่ใช้เสียงในใจของเรา ในเวลาที่เราควรจะใช้ ทั้งที่เป็นเสียงที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา... เราเงียบรอว่าใครจะพูดอะไรแทนเราบ้าง รอใคนสักคนที่จะออกมาปกป้องและต่อสู้เพื่อเรา

         สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น.... เพราะใครล่ะจะมาให้ความสำคัญกับเรา ในเมื่อเรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเราเลย เรามัวประเมินตัวเองตามที่สังคมประทับให้ เราปลดปล่อยให้มาตรฐานของคนอื่นมาครอบงำความคิด มากำหนดคุณค่าของตัวเรา

          เมื่อไม่เห็นคุณค่าภายในตน ชีวิตภายในก็ว่างเปล่า คนส่วนใหญ่จึงต้องไขว่คว้าหาของภายนอกกายมาประดับ ออกงานสังคม หลอกตัวเองและคนอื่นว่าเรามั่นคง... เรามีความสุข... เพียงเพื่อจะได้ประทับตราจากสังคมว่า.... เราผ่านการยอมรับ... เราได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสังคมที่เราอยากเป็น

          หากเรายังวิ่งตามนิยามชีวิตที่คนอื่นกำหนด สุดท้ายก็ไม่มีวันพอ เพราะเมื่อเรารู้สึกพอใจกับตัวเอง ก็จะมีโฆษณาใหม่ๆ มาบอกว่าชีวิตคุณควรจะเป็นอย่างงี้ ต้องการสิ่งนี้ ควรใช้ชีวิตแบบนี้ เพื่อชีวิตคุณจะได้สมบูรณ์แบบขึ้น

           เขียนมาถึงตรงนี้ไม่มีอะไรจะเสนอเพิ่มเติมเลยคะ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนอย่าง คุณ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ จริงๆคะ

 ทุกท่านคิดเห็นอย่างไรกันบ้างคะ...........

ปล.หนังสือเล่มนี้เป็นอีกเล่มที่แนะนำคะ อ่านแล้วได้แนวคิดมากพอที่จะทำให้หันย้อนมองดูตัวเอง และง่ายพอจะหยุดคิดตามได้ไม่ยากนักคะ  ลองดูนะคะ

         

       

หมายเลขบันทึก: 93552เขียนเมื่อ 1 พฤษภาคม 2007 00:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:58 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (22)

ต้องขอบอกว่า นำเสนอ ได้ดีเยี่ยมเลยครับ

จัดลำดับ แบ่งกลุ่มคำ ให้คนอ่านได้คิดตาม หยุดคิดตาม เรียกว่า คนอ่าน เห็นเลยว่าคนเขียนบันทึกสื่อถึงอะไร

ขอบคุณครับที่นำ มาจุดประกายความคิด

ขอขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ คุณ ตาหยู (มีกำลังใจขึ้นเป็นกองเลยคะ) จะพยายามพัฒนาการเขียนต่อไปเรื่อยๆคะ ยังไงแวะเข้ามาอ่าน และติชม กันต่อด้วยนะคะ ขอบคุณอีกครั้งคะ
ชอบครับ ผมอ่าน เข็มทิศชีวิต ทีไรสบายใจทุกที แล้วจะลองหา เข็มทิศหัวใจ มาอ่านดูครับ ขอบคุณสำหรับบทความที่น่าสนใจ
ยินดีคะ ลองหาอ่านดูนะคะ อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรเล่าให้ฟังบ้างน่าค่า
  • สวัสดีครับ
  • อ่านกี่ทีก็ไม่เคยเบื่อเลยครับสำหรับหนังสือเล่มนี้
  • เคยอ่านเข็มทิศชีวิตของคุณ ฐิตินาถ ครับ
  • หนังสือเล่มนี้แหละครับ ที่ทำให้ผมและเพื่อนๆ ตัดสินใจไปปฏิบัติธรรม หลังจากที่ได้แต่อ่านและถกกันเอง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าถูกผิด
  • หนังเรื่องนั้นทั้งสองตอน ผมก็ดูมาแล้วครับ  ธรรมดาไม่ชอบหนังแนวนี้ แต่เรื่องนี้ชอบครับ
  • ตอนแรกผมคิดว่าหนังสือ เข็มทิศหัวใจ ทำมาเลียนแบบ เข็มทิศชีวิต เลยไม่ซื้ออ่าน
  • ถ้าเป็นอย่างที่เล่ามา ผมคงต้องแจ้นไปร้านหนังสือให้เร็วที่สุดแล้วล่ะครับ

ธรรมะสวัสดีครับ

อ่านมาแล้วทั้งเข็มทิศชีวิต  และเข็มทิศหัวใจ  อยากให้ทุกคนได้อ่านกันนะคะ  แล้วคุณจะรู้ว่าชีวิตคนเราเป็นเรื่องง่ายๆ  ความสุขอยู่รอบๆตัวเรานี่เอง  ไม่ต้องเสียเวลาไขว่คว้าที่ไหนเลย  ขอขอบคุณคุณอ้อยและคุณเอ๋  ที่ช่วยจุดประกายให้ใจเราสงบนิ่ง  มีสติมากขึ้น  รู้ทันและรู้ใจตัวเอง  สนใจและเอาใจใส่คนรอบข้างมากกว่าเดิมค่ะ 

ขอบคุณทุกท่านที่ให้คำนิยมกับหนังสือเล่มนี้นะคะ

แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่าน!!! ขอร้องนะคะว่าอย่าเชื่อตามที่บอกว่าหนังสือเล่มนี้ดีจริง อยากให้พิสูจน์เองคะว่าเป็นอย่างไร (อย่าเชื่อเพียงเพราะคำล่ำลือที่ได้ยินมา) แล้วรู้สึกอย่างไรก็มาบอกต่อกันบ้างนะคะ จะรอทุกท่านอยู่คะ

........อ่านแล้วรู้สึกเหมือนอย่าง คุณ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ จริงๆคะ .....

คุณก็เป็นคนหนึ่งที่เหมือนกับคนส่วนใหญ่ คืออ่านแล้วก็เห็นดีเห็นงามเชื่อตามไปซะหมดหรือเกือบหมด ความจริงอาจจะรู้สึกตั้งใจจะเชื่อตั้งแต่ยังไม่เปิดอ่านด้านในเลยมั้ง.....เฮ้อ

ขอบคุณ คุณเบน นะคะ ที่แสดงความคิดเห็นเข้ามา

ก็อาจจะจริงอย่างคุณว่าคะ ที่ว่าอ่านแล้วก็รู้สึกเชื่อตาม.... แต่โดยส่วนตัวแล้วสิ่งที่จะเชื่อหรือสิ่งที่จะยึดถือ คงไม่ใช่แค่เพียงสิ่งที่ได้อ่านมาเท่านั้น ด้วยตัวเองแล้วมักจะนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาแล้วก็พยายามที่จะเรียนรู้มัน และอาศัยสิ่งต่างๆ เช่น การเรียนรู้จากผู้คน การอ่าน อื่นๆ เท่าที่สมองและสติปัญญาของตัวเองจะเรียนรู้ได้ มาประกอบกันคะ... 

ส่วนที่ว่าคงเชื่อตั้งแต่ยังไม่เปิดอ่าน อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดนะคะ เพราะหนังสือหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ผู้เขียนบันทึกนี้อยากจะเรียนรู้มักมาจากความไม่เชื่อก่อนสะเป็นส่วนใหญ่ (เช่น อยากรู้เหลือเกินว่าทำไมหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ถึงขายดีนักมันมีอะไรดีหรือ... จริงหรือที่ว่าดี..... เกินจริงไปหรือเปล่า....อยู่ตลอดเวลาคะ...)

แต่ก็ต้องขอขอบคุณ คุณเบน นะคะ ในการชี้ชวนมองในอีกแง่มุมหนึ่งที่แตกต่างออกไป...

แต่อยากรบกวน คุณเบน ช่วยแนะนำหรือเสนอแนะหน่อยสิคะว่า คุณเบน คิดเห็นอย่างไรบ้างเกี่ยวกับเนื้อหาหรือสิ่งต่างๆ ที่ได้จากหนังสือเล่มนี้คะ...

จะรออยู่นะคะ........

ถามว่า.....คิดเห็นอย่างไรบ้างเกี่ยวกับเนื้อหาหรือสิ่งต่างๆที่ได้จากหนังสือเล่มนี้คะ.....

ตอบว่า.....ต้องขอบอกก่อนว่า คำตอบอาจจะไม่ตรงคำถามนัก เอาเป็นว่าเล่าให้ฟังแล้วกันนะ
จำได้ว่า ซื้อหนังสือเล่มนี้(เข็มทิศชีวิต)ตอนที่พิมพ์ครั้งที่4 ใช้เวลาอ่านก่อนนอนซัก2-3คืนก็จบ พร้อมๆกับที่ซึมซับความคิดและความรู้สึกดีดีเข้าไปในใจ และได้เริ่มต้นคิดเกี่ยวกับเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้(ผู้เขียน) จำได้ว่า รู้จักเธอครั้งแรกจากการเห็นรูปและเรื่องราวสั้นๆของเธอจากนิตยสารผู้หญิงฉบับหนึ่ง ตอนนั้น หนังสือบอกว่า เธอคือผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง คือทั้งดูดีและทำงานเก่ง เป็นคนมีพลัง เป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งเมื่อทราบแบบนั้น ผมรู้สึกชื่นชมเธอพอสมควร(นั้นคือวุฒิภาวะของผมในขณะนั้น) ต่อมาก็ได้รับทราบว่าเธอมีครอบครัวแล้ว ความคิดผมเปลี่ยนไปทันที คือหยุดปลื้มในบัดดล(ซึ่งนั้นก็คือวุฒิภาวะของผมในขณะนั้นอีกเช่นกัน)

มีต่อ..ด้านล่าง
หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้รับทราบข่าวคราวความเคลื่อนไหวใดๆอีก คือไม่ได้สนใจจะติดตามอะไร ก็เหมือนกับอ่านข่าวคนดังแล้วก็ลืมๆไปประมาณนั้น
มาเจอเธออีกทีก็ที่ศูนย์หนังสือจุฬา คือหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพราะเห็นหน้าปกมันใสๆดี เปิดอ่านไปคร่าวๆ ก็สดุดกับชื่อผู้เขียน จำได้ว่าคือเธอนั้นเอง เลยลองอ่านผ่านๆไปแบบรวดเร็ว เจอประโยคโดนๆหลายอันนะ เลยซื้อกลับมาอ่านที่บ้านดังที่บอกไว้ด้านบน
หลังจากอ่านเสร็จได้ไม่นาน ก็มีโอกาสได้รับรู้เรื่องราวของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งว่ามีปัญหาในชีวิต เลยคิดว่าจะช่วยเธอได้อย่างไรบ้าง สิ่งที่ทำในตอนนั้นคือ นำหนังสือเล่มนี้ไปให้เธออ่าน เมื่อเธออ่านจบ เธอกล่าวคำขอบคุณและบอกว่าหนังสือเล่มนี้เพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่งในกลุ่มของพวกเรายืมไป ซึ่งผมก็คิดว่าดีแล้วล่ะคงเป็นประโยชน์กับเธอบ้างตามสมควร ต่อมาคนที่ยืมย้ายไปอยู่ที่อื่น จนถึงบัดนี้ผมยังไม่ได้รับหนังสือเล่มนี้คืนเลย
เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้มีข้อคิดเตือนใจ คงโดนใจใครหลายคนเป็นแน่ เพราะมันคือความจริง เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมะล้วนๆนั้นเอง แต่มาในรูปของการบอกเล่าในทางโลก พยายามตัดคำพระออกไป แล้วใส่คำบอกเล่าในความหมายเดียวกันมาแทน การได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วเกิดความปลื้มของใครหลายคนคงยังไม่เกิดประโยชน์เลย หากไม่ได้ลงมือทำ
การพยายามเรียนรู้จากสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต รวมถึงการได้อ่านอะไรๆจากหนังสือเล่มนี้ แล้วนำมาประกอบกัน เป็นการตกผลึกทางความคิดที่ดีแบบหนึ่ง ผมยินดีที่คุณทำแบบนั้น
หมอฟันคงเป็นคนละเอียดกว่าคนทั่วไปบ้างโดยเฉลี่ย แต่ที่แน่ๆคืออารมณ์คุณผ่านน่ะ  เหมือนกับที่ผมคาดไว้ตอนแรก หากหลังจากที่ผมแสดงความคิดเห็นไปครั้งแรก(ลำดับที่9) แล้วคุณโพสต์ตอบกลับมา ประมาณว่า ว๊ากผม คุณคงไม่ได้เห็นกระทู้ตอบกลับของผมอีกเลย

หมายเหตุ :  กระทู้ที่10  ย่อหน้าที่ 3  บรรทัดที่ 2
                    คำว่า  สะ  จริงๆควรเป็น ซะ ( ใช่ไหม )
                    อิอิ

ขอบคุณ คุณเบน อีกครั้งที่แสดงความคิดเห็นกลับมาอีกรอบนะคะ ยินดีคะ...

ที่สำคัญการแสดงความคิดเห็นหรือการมองต่างแง่ คงไม่ได้แปลว่าคนไหนถูกหรือผิดหรอกมั้งคะ สำหรับตัวผู้เขียนแล้ว รู้สึกว่าอยากที่จะเรียนรู้ความแตกต่างของคนให้มาก เพราะ การเรียนรู้เรื่องต่างๆ ถ้ามาจากแง่มุมหรือจากสายตาของเราเพียงอย่างเดียว การเติบโตทางความคิดอาจจะเกิดน้อยหรือเกิดก็คงเป็นไปอย่างคับแคบคะ... เชื่ออย่างนี้เลยยินดีที่มีความแตกต่างเกิดขึ้นคะ...

แต่ที่จริงโดยส่วนตัวก็หัวร้นอยู่ไม่น้อย บางครั้งก็ยึดมั่นถือมั่นในความคิดและความเชื่อที่ตัวเองมีอยู่บ่อยๆ คะ แต่พอเป็นอย่างนี้แล้วเหมือนตัวเองติดอยู่กับกรอบ กับกำแพงบางอย่าง เลยพยายามที่จะเรียนรู้เรื่องต่างๆ ด้วยใจเปิดกว้างและเป็นกลางเพิ่มขึ้นคะ.... ตอนนี้ก็พยายามอยู่นะคะ.....

หมายเหตุ : สงสัยคงต้องไปเรียนเรื่องการใช้ภาษาเพิ่มเติมซะแล้วซิคะ (อิอิ....)

ดีใจและรู้สึกสนุกที่คุณหมอฟันตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
คุณบอกว่ากำลังเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยใจที่เปิดกว้างและเป็นกลางอยู่ตอนนี้ใช่ไหม คุณรู้ป่ะ มันยากมาก คนเรานะชอบทำอะไรซ้ำๆอยู่เสมอ สาเหตุประการเดียวเลยคือว่า สมองเค้ามีไว้จำและจะนำสิ่งที่เคยทำกลับมาทำซ้ำอีก และซ้ำอีก ผมก็เหมือนกับคุณ กำลังทำอยู่เช่นกัน แต่ผมใช้วิธีนี้นะครับ คือมีผู้รู้ท่านหนึ่งเคยพูดว่า " เคล็ดลับของความโชคดี คือ การเปลี่ยนแปลง " ผมกำลังพยายามทำอยู่บ่อยๆ เช่น เคยหม่ำข้าวร้านเดิมๆก็เปลี่ยนไปหม่ำร้านอื่น โดยไม่ต้องคิดก่อนว่าร้านใหม่จะเป็นยังไง คือ มองเห็นก็แล่นเข้าไปหม่ำเลย เป็นต้น หรือเคยซื้อแต่หนังสือประเภทมีแต่ตัวหนังสือ ก็หันมาซื้อนิตยสารที่มีรูปเยอะๆและออกบ่อยๆแทนพ๊อกเกตบุคส์ ประมาณนี้อ่ะ ผลปรากฏว่าตอนนี้นะค่อนข้างดีขึ้นเยอะเลย คือความคิดเปลี่ยนไป เร็วขึ้น สดใหม่ ใส แต่ยังไม่เป็นที่พอใจนะ เพิ่งเริ่มต้นนะครับ
อ่อ อีกอย่างหนึ่งที่ผมทำตอนนี้คือ ผมคิดเงียบๆบ่อยขึ้น พูดน้อยลงเยอะเลยยยยยยยยยยยยยย แต่ฟังคนอื่นพูด ดูเค้าอย่างมีสติ ได้ผลนะ เรื่องยุ่งๆน้อยลงไปพอกับที่เราพูดน้อยลงไปเลย
หมายเหตุ : คุณหมอฟันไม่ต้องไปเรียนการใช้ภาษาไทยหรอกนะ เพราะผู้หญิงเก่งมากไปไม่ดี  อิอิ
หมายเหตุที่2 : ผมขอตัวไปดื่มกาแฟกะหม่ำหนมเค้กซักชิ้นสองชิ้นก่อนนะ  หม่ำด้วยกันป่ะคุณหมอ คิกๆเด๊ยวจะกลับมาอ่านน่ะครับ

 

ดีใจและรู้สึกสนุกที่ คุณเบน ตอบกลับมาเช่นกันคะ

ขอบคุณอีกคร้งสำหรับคำแนะนำเรื่องการ เปลี่ยนแปลง คะ ตัวเองก็มีความเชื่อเรื่องหนึ่งคะว่า "จะพยายามดึงและเก็บเกี่ยว โอกาส ที่ผ่านเข้ามา โอกาสที่จะได้ทำหรือได้ไปในที่หรือในสิ่งที่แปลกและแตกต่างอยู่ตลอดเวลาคะ" (ทั้งๆ ที่ตัวตนจริงๆ ก็ไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลงมากนักคะ แต่ก็พยายามอยู่อีกเช่นกันคะ...)

ส่วนเรื่อง การฟัง เป็นอีกเรื่องที่ต้องฝึกอย่างแรงเลยคะ เคยคิดว่า การพูด คือการได้แสดงความคิดและเป็นการเรียนรู้ที่ดีอย่างหนึ่ง แต่ก็คงคล้ายๆ กับ คุณเบน คะ ที่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งแนะนำให้ ช้าลง และพยายามฟัง ฟังโดยไม่ตัดสิน สิ่งหนึ่งที่ได้กลับมาคือ พอเราช้าลงหน่อย การฟังเราก็ดีขึ้นพร้อมที่จะรับฟังและเรียนรู้คนอื่นๆ ที่เราพบปะเพิ่มขึ้นคะ (สำคัญมากคะ สำหรับตัวเองที่เป็นอาจารย์ การพร้อมจะรับฟังนิสิตเพื่อที่จะได้เข้าใจเค้าและจะได้สามารถปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ที่เหมาะกับนิสิตที่สุดคะ.....)

หมายเหตุ : ทำไมผู้หญิงเก่งมากไปจึงไม่ดีละคะ......

หมายเหตุ 2 : ขอตัวไปดื่มชากับขนมปังก่อนนะคะ คุณเบนอยากหม่ำไหมคะ..... แล้วจะกลับมาอ่านต่อเช่นกันคะ.......

ศิริรัตน์ ณ พัทลุง
ผู้เขียนขออวยพรให้ทุกคนที่อ่านได้เห็นความจริงในใจของตัวเอง ให้ใจของคุณเป็นไกด์นำทางในการเดินทาง แล้วคุณจะรู้ว่าสิ่งที่คุณเคยคิดว่าสำคัญที่สุดอาจจะไม่มีความหมายกับชีวิตของคุณเลย เอาใจช่วยทุกคนค่ะ 
เอ๋(เข็มทิศหัวใจ)

ยินดีมากๆ คะ ที่คุณ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ได้แวะเข้ามาเยี่ยมเยียนกัน และขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆ ที่เอามาแบ่งปัน ณ บันทึกเล็กๆ แห่งนี้นะคะ ขอขอบคุณและยินดีมากๆ คะ.......

อ่านเเล้วรู้สึกดีมากๆขอบคุณพี่เอ๋มากๆไปไหนก็ต้องหยิบเอาหนังสือพี่เอ๋ติดตัวไปด้วยรู้สึกอุ่นใจดีเรามาอยู่ไกลบ้านไม่มีพ่อเเม่พี่น้องเวลาเหงาก็มีเพื่อนดีๆเหมือนหนังสือเล่มนี่

สมัครเป็นสมาชิก

ดูรายการครอบครับเดียวกันของหมวยในวันที่ แปด สิงหาคม พอดีวันนั้นเป็นวันหยุด และก็กำลังอ่านหนังสือเพื่อจะทำรายงาน ซึ่งค่อนข้างท้อมาก เพราะรายงานที่ตัวเองทำเป็นรายงานภาษาอังกฤษทั้งหมด ผมเองเรียน ป โท เอ็มบีเอ หลักสูตร นานาชาติ ซึ่งก่อนเข้าเรียนชั่งใจแล้วชังใจอีกว่าเราจะรอดไหม

กลับมาคุยเรื่องหนังสือเล่มนี้ดีกว่า ผมยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้หรอก แต่แค่ได้ฟังคำสัมภาษณ์จากจอทีวี แค่ได้ฟังคำพูด และ วิถีชีวิต หรือ การใช้ชีวิตของเขา แค่นี่เราก็เรียนรู้ได้หลายๆอย่างแล้ว แค่คำพูดของเขาก็ซึ้งแล้ว คนเรามีหลายประเภทนะครับ โดยเฉพาะการสือสาร หลายๆ คนไม่สามารถสือสารออกว่าให้เป็นคำพูดอย่างสระสรวยได้ ไม่ว่าจะในเรืองฐานการศึกษา หรือ พื้นฐานการเลี้ยงดู ผู้หญิ่งคนนี่สือสาร หรือการวางคำพูดของเขา ได้สวยงามมาก สังเกตุไหม ครับ ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จ หรือ รำรวย มักมาจากสถานบันทางบ้านที่ดี เพราะสภาพแว้ดล้อม ที่เขาอยู่ ผู้คนที่เขาคบ

ชอบเขามากในการใช้ชีวิคคู่ อยากเห็นผู้หญิงหลายๆ คนเป็นแบบนี้จัง ไม่ว่าการตอบแทนบุกผการี คนเราจะหล่อ หรือ จะสวยมันขึ้นอยู่กับความคิดแบบนี้แหละ ในวัยว์ ทำงานอย่างเรา ผู้หญิ่งคนี่แหละ ที่เป็นผู้หญิงสวยสมบูรณ์แบบ ในวัยรุ่นเรามักจะมองแค่ภาพภายนอกเท่านั้น อยากให้เขาเขียนหนังสือหลายๆ เล่ม ช่วยเป็นเพื่อนให้ความคิดและดึงกลับเรากลับมาถ้าเดินทางไม่ถูกต้อง ไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวหรอกนะ แต่แค่ได้ฟังเขาพูดก็ถื่อว่าเขาเป็นเพื่อนนักอ่านได้ในหลายๆ สถานะการณ์ จะวิ่งไปซื้อหนังสือถ้าทำรายงานเสร็จในวันนี้

ทอช

ขอบคุณผู้เขียนทั้ง เข็มทิศชีวิต และเข็มทิศหัวใจ จริงๆเริ่มอ่านเข็มทิศหัวใจก่อน

เพราะคิดว่า จะจัดการอย่างไรกับใจตนเองดี อ่านจบแล้วได้พบคำตอบหลายอย่างๆที่ต้องการ บางอย่างก็เหมือนอยู่ในความคิดส่วนลึกซ่อนเก็บไว้ ผู้เขียนถ่ายทอดเรื่องราวออก

มาได้ตรงใจอย่างบอกไม่ถูก ขอบคุณที่เขียนหนังสือดีดีออกมาให้เราได้อ่านกัน มีหลายเรื่องในหนังสือที่มองเห็นใจตัวเองได้ผ่านหนังสือเล่มนี้ บางอย่างตั้งใจจะทำให้ได้

บางอย่างก็ยังทำไม่ได้ แต่อย่างน้อย หนังสือก็ช่วยให้มองเห็นใจตัวเองมากขึ้น ดีกว่าไม่เคยหันกลับมามองใจตัวเองเลย

ขอบคุณจริงๆ

ดีใจที่ได้เข้ามาอ่านข้อความที่คุณทั้งหลายเขียนไว้... เป็นคนนึงที่เห็นหนังสือเข็มทิศหัวใจแล้วลังเลที่จะอ่าน เพราะบอกตัวเองเสมอว่าใจเราเรารู้ดีที่สุด แล้วหนังสือจะแนะนำอะไรบ้าง... แตมาถึงวันนี้วันที่แม้แต่ใจตัวเองก็ยังตอบคำถามให้ตัวเองไม่ได้ แล้วได้ลองอ่านบางส่วนของหนังสือ รู้เลยว่าหนังสือไม่ได้สอน แต่ช่วยให้เรามองเห็นใจเราในอีกมุมต่างหาก ตั้งใจจะไปหามาอ่านจิงจัง เผื่อบางทีสิ่งที่สับสนในใจอยู่ตอนนี้ เราอาจจะได้คำตอบ...

ยอมรับค่ะ ว่าเป็นผู้หญิงที่เหมือนชีวิตคู่กำลังมีปัญหา แบบที่อยู่ก็เจ็บ ไปก็เจ็บ เค้ามีอีกคนในใจ ทั้งที่พยายามทำใจยอมรับแล้วก็หาสาเหตูของปัญหาแล้ว แต่ก็เหมือนพายเรือในอ่าง ก็หวังค่ะว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้มองความรักได้ในมุมที่ต่างออกไป แล้วจะทำให้ชีวิตคู่กลับมาดีเหมือนเดิม

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท