สวัสดีค่าทุกท่าน วันนี้เพิ่งได้หนังสือมาใหม่เล่มหนึ่งคะ อ่านไปได้ไม่กี่บทแต่อยากมาเล่าให้ทุกคนได้ฟังจังคะ
เอ! ไม่ทราบว่าทุกท่านเคยอ่าน เข็มทิศชีวิต เขียนโดย คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ไหมคะ
แต่ที่จะพูดถึงวันนี้ไม่ใช่เล่มบนคะ แต่เป็นเล่มล่างนี้คะ
เข็มทิศหัวใจ
เขียนโดย คุณ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ
คุณ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ เป็นน้องสาวของ คุณ ฐิตินาถ ณ พัทลุง คะ พอดีเพิ่งไม่นานมานี้ได้ดูรายการ Talk Show รายการหนึ่ง สองพี่น้องเค้ามาออกแล้วเล่าถึงแนวคิดต่างๆที่ทั้ง 2 ท่านได้เรียนรู้และได้นำไปใช้จริงให้ฟัง ตอนแรกก็ฟังธรรมดาเฉยๆนะคะฟังไปฟังมาหันกลับไปดูที่หน้าจอทีวี เชื่อไหมคะเวลาที่คนเค้ามีความสุขมันสะท้อนออกมาทั้งทางสีหน้า สายตา และคำพูดเลยคะ ทั้งคุณศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ และคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ก็เป็นเช่นนั้นคะ ทั้งคู่อาจจะไม่ใช่คนที่สวยที่สุดแต่ ณ วันนั้น ผู้เขียนรู้สึกว่าทำไมผู้หญิงสองคนนี้เค้าสวยจังคะ สวยที่แนวคิดที่สะท้อนออกมาให้รู้สึกได้เลยว่าสิ่งที่ทั้งสองได้ค้นพบ ได้เรียนรู้ และได้นำไปใช้นั้น มันยิ่งกว่ายาบำรุงหรืออาหารเสริมตัวไหนๆเลยคะ นอกจากแนวคิดที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งของทั้งคู่ (การรู้เท่าทันจิตของตัวเอง) แล้ว สิ่งที่ทั้งคู่ต้องการให้ผู้อื่นได้สัมผัสและเรียนรู้ร่วมไปด้วย ยิ่งตอกย้ำถึงจิตใจที่แสนดีงามของทั้งคู่ได้อย่างแจ่มชัดเลยคะ
ที่จริงผู้เขียนมีหนังสือ เข็มทิศชีวิต อยู่แล้วคะ แต่วันนี้ได้เล่มนี้ เข็มทิศหัวใจ มาด้วยความบังเอิญคะ อ่านไปก็ไปสะดุดกับบทหนึ่งในหนังสือที่ คุณ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ ได้หยิบยกหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมาพูดคะ
Legally Blond 2
หนังเรื่องนี้นะคะ สำหรับคนที่ไม่เคยดูไม่มีอะไรมากคะดูเพื่อความบันเทิงและขำๆ แต่ผู้เขียนก็รู้สึกเหมือนกับคุณ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ เลยคะตรงฉากและบทพูดของนางเอก (รีส วิทเธอร์สปูน) ตอนที่ลุกขึ้นพูดในที่ประชุมรัฐสภา ต่อหน้าคนใหญ่คนโตในประเทศ นางเอกเค้าพูดถึงเรื่องอะไรทราบไหมคะ ไม่ใช่นโยบายระดับชาติ หรือปัญหาเร่งด่วนใดๆทั้งนั้น แต่เป็นเรื่อง "ผม"
ใช่คะอ่านไม่ผิดแล้ว นางเอกเล่าว่าเธอชอบร้านทำผมแห่งหนึ่งที่อยู่แถบ Bevery Hills แถวฮอลลีวู้ดที่พวกดาราระดับค่าตัวแพงระยับอยู่กันนั่นแหละคะ ร้านทำผมนี้ชื่อดังและชั้นนำมาก เธอพยายามจะไปรับการบริการอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ แต่แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งเธอสามารถเข้าไปทำผมในร้านสุดหรูเริ่ดแห่งนี้ได้ แต่เมื่อเธอเข้าไปที่นั้นกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เริ่มจากช่างทำสีผมใช้สีที่เธอไม่ได้เลือก ต่อมาคนสระผมก็ไม่ใส่ใจว่าหนังศีรษะของเธอควรเหมาะกับแชมพูแบบไหน ต่อมาช่างผมชื่อดังเขาทำผมให้เธอ แต่ที่ออกมา "ไม่ใช่แบบที่เธอต้องการ" สิ่งที่เธอเห็นและรู้สึกตลอดเวลาก็คือ พนักงานในร้านไม่ได้ใส่ใจเธอว่าเธอต้องการอะไรอย่างแท้จริง.... แต่เลือกทำทรงที่เขาอยากทำ จนเสร็จ จบหน้าที่ฉันก็จากไป วันนั้นเธอร้องไห้เพราะทรงผมเธอดูแย่กว่าเดิมเสียอีก
แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ เธอเดินออกจากร้านไปอย่างจ๋อยๆ โดยไม่พูดอะไร ไม่ได้ทำอะไรกับการถูกเลือกปฏิบัติและสิ่งที่เกิดกับเธอเลย
คุณ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ บอกว่า
ประเด็นสำคัญอยู่ตอนที่เธอ (นางเอก) สรุปกับบรรดาผู้ทรงเกียรติในรัฐสภาว่า พวกเรากี่คนบ้างที่เป็นแบบเธอ... กลัวสิ่งที่สมมุติที่สังคมสร้างขึ้น สิ่งที่สังคมบอกว่าดีที่สุด คอยเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง ทำตัวเองให้ตัวเล็กจิ๋วเหมือนไม่มีค่าอะไรเลย..... แค่พูดในสิ่งที่เราอยากพูด อยากบอกความต้องการที่แท้จริงของเรา เสียงเราคงเล็กมากจนไม่มีความหมายอะไร พูดไปแล้วใครจะแคร์
เรายึดเอาฐานะทางสังคมมาวัด แล้วบอกตัวเองว่าเสียงคนอื่นนั้นสำคัญกว่า มีค่าคู่ควรแก่การฟังมากกว่าเสียงของเราเองเสมอ แล้วตัดสินใจที่จะไม่พูดสิ่งที่เราคิด ตัดสินที่จะไม่ใช้เสียงในใจของเรา ในเวลาที่เราควรจะใช้ ทั้งที่เป็นเสียงที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา... เราเงียบรอว่าใครจะพูดอะไรแทนเราบ้าง รอใคนสักคนที่จะออกมาปกป้องและต่อสู้เพื่อเรา
สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น.... เพราะใครล่ะจะมาให้ความสำคัญกับเรา ในเมื่อเรายังไม่เห็นคุณค่าของตัวเราเลย เรามัวประเมินตัวเองตามที่สังคมประทับให้ เราปลดปล่อยให้มาตรฐานของคนอื่นมาครอบงำความคิด มากำหนดคุณค่าของตัวเรา
เมื่อไม่เห็นคุณค่าภายในตน ชีวิตภายในก็ว่างเปล่า คนส่วนใหญ่จึงต้องไขว่คว้าหาของภายนอกกายมาประดับ ออกงานสังคม หลอกตัวเองและคนอื่นว่าเรามั่นคง... เรามีความสุข... เพียงเพื่อจะได้ประทับตราจากสังคมว่า.... เราผ่านการยอมรับ... เราได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสังคมที่เราอยากเป็น
หากเรายังวิ่งตามนิยามชีวิตที่คนอื่นกำหนด สุดท้ายก็ไม่มีวันพอ เพราะเมื่อเรารู้สึกพอใจกับตัวเอง ก็จะมีโฆษณาใหม่ๆ มาบอกว่าชีวิตคุณควรจะเป็นอย่างงี้ ต้องการสิ่งนี้ ควรใช้ชีวิตแบบนี้ เพื่อชีวิตคุณจะได้สมบูรณ์แบบขึ้น
เขียนมาถึงตรงนี้ไม่มีอะไรจะเสนอเพิ่มเติมเลยคะ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนอย่าง คุณ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ จริงๆคะ
ทุกท่านคิดเห็นอย่างไรกันบ้างคะ...........
ปล.หนังสือเล่มนี้เป็นอีกเล่มที่แนะนำคะ อ่านแล้วได้แนวคิดมากพอที่จะทำให้หันย้อนมองดูตัวเอง และง่ายพอจะหยุดคิดตามได้ไม่ยากนักคะ ลองดูนะคะ