การเปรียบเทียบสื่อ
จากการวิจัยสื่อแต่ละชนิดว่ามีผลอย่างไรต่อผู้เรียน พบว่าผลการวิจัยมีทั้งที่สอดคล้องกัน และขัดแย้งกัน ซึ่งหากวิเคราะห์ในเชิงลึกแล้วสื่อแต่ละชนิดโดยตัวของสื่อเองไม่มีผลต่อการเรียนรู้ ถ้าสื่อ ๆ นั้นไม่มีสารเข้าไปบรรจุอยู่ ซึ่งสื่อและสารจะไม่สามารถแยกออกจากกันได้ชัดเจน ฉะนั้นการที่ได้ทำการวิจัยสื่อแต่ละชนิดนั้นต้องวิเคราะห์ว่าสารที่บรรจุในสื่อนั้นเป็นสารชนิดใดและอย่างไร เมื่อข้อค้นพบไม่สามารถยุติได้ จึงมีนักการศึกษาได้พยายามทำการวิจัยว่าหากสื่อแต่ละชนิดได้บรรจุสารที่เหมือนกัน ระหว่างสื่อที่ต่างชนิดกันนั้นจะส่งผลต่อผู้เรียนหรือไม่ อย่างไร จึงได้มีแนวคิดในการเปรียบเทียบสื่อ ซึ่งสามารถยกตัวอย่างได้ดังนี้
1. การเปรียบเทียบระหว่างสื่อวัสดุกับสื่อวัสดุ ว่าส่งผลต่อผู้เรียนหรือไม่อย่างไร เช่นการเปรียบเทียบตำรากับบทเรียนโปรแกรม การเปรียบเทียบโปสเตอร์กับแผ่นพับ เป็นต้น
2. การเปรียบเทียบระหว่างสื่ออุปกรณ์กับสื่ออุปกรณ์ ว่าส่งผลต่อผู้เรียนหรือไม่อย่างไร เช่น การเปรียบเทียบเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ กับเครื่องนำเสนอสัญญาณภาพ การเปรียบเทียบคอมพิวเตอร์กับเครื่องวีดิทัศน์ เป็นต้น
3. การเปรียบเทียบระหว่างวิธีการกับวิธีการ ว่าส่งผลต่อผู้เรียนหรือไม่อย่างไร เช่น การเปรียบเทียบการสอนกลุ่มเล็กกับการสอนกลุ่มใหญ่ การเปรียบเทียบการสอนแบบอุปมาอุปไมยกับการสอนความคิดรวบยอด เป็นต้น
4. การเปรียบเทียบระหว่างสื่อวัสดุกับสื่ออุปกรณ์ หรือการเปรียบเทียบระหว่างสื่ออุปกรณ์กับวิธีการ หรือการเปรียบเทียบระหว่างวิธีการกับสื่อวัสดุ เช่น การเปรียบเทียบตำรากับเครื่องฉายข้ามศีรษะ หรือการเปรียบเทียบเครื่องนำเสนอสัญญาณภาพกับการสอนความคิดรวบยอด หรือการสอนแบบอุปมาอุปไมยกับบทเรียนแบบโปรแกรม
5. การเปรียบเทียบระหว่างสื่อวัสดุ สื่ออุปกรณ์ หรือวิธีการกับการสอนปกติ เช่น การเปรียบเทียบบทเรียนโปรแกรมกับการสอนปกติ การเปรียบเทียบการสอนด้วยความพิวเตอร์กับการสอนแบบปกติ หรือการเปรียบเทียบการสอนแบบอุปมาอุปไมยกับการสอนแบบปกติ เป็นต้น
จากการวิจัยเปรียบเทียบสื่อ ผลการวิจัยที่ผ่านมามีทั้งที่สอดคล้องกัน และขัดแย้งกัน ซึ่งไม่แตกต่างจากผลการวิจัยในสื่อแต่ละชนิด
จากการวิเคราะห์เชิงลึกในการวิจัยเปรียบเทียบสื่อ พบว่า ถึงแม้ผู้วิจัยได้ควบคุมตัวแปรในเรื่องสารที่ให้เหมือนกัน แต่เมื่อนำไปบรรจุในสื่อแต่ละชนิดที่มีคุณลักษณะต่างกัน คุณลักษณะของสารได้บูรณาการเข้ากับคุณลักษณะของสื่อแต่ละชนิด ผลที่ได้จึงมีทั้งที่แตกต่างกันและไม่แตกต่างกัน ดังที่ Richard E. Clark ได้กล่าวและให้ความเห็นไว้ในหนังสือ “Media in Instruction : 60 Years of Research” ว่า ไม่มีสรุปที่แน่ชัดของผลที่สื่อมีต่อการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อาจสรุปได้ว่าสื่อประเภทหนึ่งดีกว่าสื่ออีกประเภทหนึ่งในการทำให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวสื่อเอง ประหนึ่งผู้วิจัยตั้งสมมติฐานล่วงหน้าไว้แล้วว่าสื่อที่ตนต้องการจะเปรียบเทียบมีความแตกต่างกันในการทำให้เกิดการเรียนรู้ (เปรื่อง กุมุท และทิพย์เกสร บุญอำไพ , 2547) นอกจากความคาดหมายว่าสื่อที่ตนต้องการเปรียบเทียบแตกต่างกันแล้ว บางครั้งยังมีการตั้งสมมติฐานที่คาดหวังว่าสื่อใดดีกว่าสื่อใด ซึ่งคุณลักษณะของสื่อบางชนิดมีข้อได้เปรียบกว่าสื่ออีกชนิดหนึ่ง เช่น สื่อวีดิทัศน์ ดีกว่าสื่อแผ่นโปร่งใส ในการวิจัยเนื้อหากระบวนการ เป็นต้น หรือการเปรียบเทียบสื่อบางครั้งไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่ทราบอยู่แล้วว่าผลที่ได้จะเป็นอย่างไร เช่น การเปรียบเทียบการ์ตูนกับตำรา ที่ส่งผลต่อความชอบของนักเรียนชั้นประถมศึกษา เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับการปริทัศน์งานวิจัยทางสื่อของ Clark และ Salomon (Clark R , E. and Salomon , G., 1986 อ้างถึงในเปรื่อง กุมุท และทิพย์เกสร บุญอำไพ , 2547) ที่กล่าวว่า งานวิจัยทางสื่อเกิดจากการตั้งประเด็นคำถามที่ใช้ในการวิจัยไม่เหมาะสม และมีผลกระทบไปถึงการตั้งประเด็นคำถามที่โยงไปสู่ความคิดเห็นต่อการเรียนรู้ที่ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เกิดจากปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนกับลักษณะเฉพาะของสื่อ มิได้เกิดจากสื่อโดยตรงพร้อม ๆ กันนี้ก็ก้าวเข้าไปสู่ แนวคิดของการนำเอากระบวนการคิดหรือจิตวิทยาพุทธินิยม เข้ามาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน การวิจัยเพื่อหาคำตอบย่อมมีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
ไม่มีความเห็น