ถ้าเราเอา " ๒๓ + ๒ = ? " ไปให้เด็ก ป. ๔ ดู สิ่งเร้านี้จะ "เข้าไปในสมองเด็กทางตา" และเรา"เชื่อ"ว่า มันจะเข้าไปถึงสมอง และ "เชื่อ"ว่า สมองจะ "คิด" -- สมองเป็น "ผู้คิด" --- แล้ว "ตัดสินใจ" ตอบสนองออกมาทางปากว่า "๒๕ ครับ"
ถ้าเราถามต่อไปว่า "เธอกำลังทำอะไรอยู่" เด็กจะตอบว่า "ผมกำลังคิดอยู่ครับ" --- "เธอรู้ได้อย่างไรว่าเธอกำลังคิด" --- "ผมรู้สึกตัวว่าผมกำลังคิดอยู่" (รู้สึกตัวนี้คือ Conscious)
คราวนี้เราเอาโจทย์ข้อเดียวกันนี้ไปป้อนคอมพิวเตอร์บ้าง มันก็จะตอบออกมาว่า ๒๕ เหมือนกัน แสดงว่าคอมพิวเตอร์ก็"คิด"ได้ "เหมือนสมอง?"
แต่ คอมพิวเตอร์ "ไม่รู้สึกตัว" เลยว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ !
สมองกับคอมพิวเตอร์จึง "เหมือนกัน" ในแง่ที่คิดได้คำตอบเหมือนกัน แต่ "ต่างกัน" ตรงที่ คอมพิวเตอร์ "ไม่รู้สึกตัว" แต่คน "รู้สึกตัว"
และเราเรียกว่า คอมพิวเตอร์"ไม่มีจิต" ในขณะที่เรียกว่าคน "มีจิต" !!
ฉะนั้น "ผู้คิด" ก็คือ "ก้อนสมอง"(วัตถุ) ในกรณีคน และ "เครื่องคอมพิวเตอร์"(วัตถุ) ในกรณีคอมพิวเตอร์!!!
หาใช่ "สิ่งที่เราเรียกว่าจิตไม่ ?!!! "
หรือว่า "เราใช้คำว่าจิตผิดเป้าหมายไป ?"
หรือว่า "ก้อนสมอง(วัตถุ) กับ ความรู้สึกตัว(อวัตถุ) คือสิ่งเดียวกัน??"
เออ -- แล้วมันจะเป็น "สิ่งเดียวกัน" ได้อย่างไร ???
ดร. ไสว เลี่ยมแก้ว....
เข้ามาเยี่ยม...
+ + - -
+ - + -
- + + -
+ - - +
....ฯลฯ.....
เจริญพร
นมัสการพระคุณเจ้า
??? ---- คงจะขัดใจจนพูดไม่ออก เหมือนมีอะไรมาจุกคอหอย ละ ซิ ครับ แฮ ๆ ๆ ๆ ......
ดร.ไสว เลี่ยมแก้ว |
มิใช่ อย่างนั้น อาจารย์..
คอมพิวเตอร์ การประมวลผลจะเริ่มต้น ด้วย สัญญาณ + และ - ซึ่งจะถักทอเป็นความหมายขึ้นมาในที่สุด โดยการแปลความหมายจากสัญญาณทำนองนี้ เช่น +- +-+- ++---- +++--- ทำนองนี้ ซึ่งคอมพิวเตอร์แปลง + และ - เป็น 0 กับ 1 .... ทำนองนี้
สมองของคนมีประจุไฟฟ้าเบื้องต้น เป็น +- แต่ซับซ้อนมากกว่าจะแปลความหมายออกมาได้ ทำนองนี้
ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ อาตมามีความเห็นว่ามีธรรมชาติเหมือนกัน...
ถามว่าจิตอยู่ที่ไหน บางฝ่ายบอกว่า จิตจะเป็นตัวควบคุมสิ่งเหล่านี้ หรือสั่งสิ่งเหล่านี้ให้ทำงาน...
ส่วนพุทธปรัชญา ไม่ยอมรับความเป็นจิตโดยปรมัตถ์ แต่ยอมรับเพียงกลุ่มของธรรมชาติที่สมมุติขึ้นเป็นจิตเท่านั้น...
เมื่อมาถึงจุดนี้ ก็จะไปถึงหลักการอธิบายในเชิงสาเหตุ ซึ่งในคัมภีร์วิสุทธิมัคค์บอกว่า
ผลอย่างเดียว มาจากเหตุอย่างเดียวก็มิใช่... ผลอย่างเดียวมาจากเหตุหลายอย่างก็มิใช่... ผลหลายอย่างมาจากเหตุอย่างเดียวก็มิใช่... แต่หลักการในการอธิบายว่า ผลอย่างเดียวมาจากเหตุอย่างเดียว มีอยู่
จากข้อความนี้ ยังมีอีกอย่าง คือ ผลหลายอย่างมาจากเหตุหลายอย่าง นั่นคือ มติแห่งพุทธปรัชญา
นั่นคือ พุทธปรัชญาเชื่อว่า ขณะปัจจุบันที่เรียกว่า ปรากฎการณ์ เป็นผลมาจากเหตุหลายอย่าง มิใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง... และคำว่า ปรากฎการณ์ เป็นเพียงที่ประชุมขึ้นมาของผลหลายๆ อย่าง แล้วก็ถักทอหรือสังเคราะห์ขึ้นมาให้ปรากฎประดุจว่าเป็นเพียง หนึ่งเดียว คือ จิต ...ประมาณนี้
แต่ อาตมาขี้เกียจอธิบาย เพราะบางอย่างก็ไม่มีพื้นฐาน จึงใส่เพียง +- +- โดยคิดว่าอาจารย์คงจะเข้าใจ...
พักหลังนี้ อาตมาเบื่อกับอภิปรัชญาเหล่านี้ ถ้าว่าอาจารย์ไม่บอกว่า มีอะไรมาจุกคอหอย ..อาตมาคงจะไม่เรียงร้อยถ้อยคำนี้ขึ้นมา (...........)
เจริญพร
นมัสการพระคุณเจ้า
อันที่จริงผมก็คิดเช่นนั้นครับ คือ คิดว่า + - + -- ก็คือ 1 - 0 , 1 - 0-0, ......... แต่หยอกล้อเล่น เพราะคิดอยู่ในใจว่า ท่านต้อง อึด อัด ใจ แน่ ๆ ครับ ??
คุณ "Man in Flame" ครับ
ผมเข้าไปเยี่ยมมาแล้วครับ น่าสนใจมากครับ ผมได้แสดงข้อคิดเห็ไว้เล็กน้อยครับ รู้สึกดีใจที่คุณเข้ามาเยี่ยมครับ และทึ่งอย่างยิ่งในความคิดอันเฉียบแหลมของคุณครับ ข้อเขียนอย่างนี้ผมอยากให้มีมากๆครับ
เรียน ดร.ไสว
ดิฉันได้ติดตามอ่านบทความของท่านตลอด บทความของท่านอ่านแล้วเข้าใจได้ในขั้นตอนเดียวไม่ต้องมาทำความเข้าใจหลังจากอ่าน อยากถามว่าไหวพริบมีความเกี่ยวข้องกับสมองและจิตหรือเปล่าค่ะ อยากถามมานานแล้วค่ะแต่มัวคอยคิดว่าเดียวท่านอาจารย์ก็เขียนมาให้อ่าน แต่ตอนนี้ทนไม่ไหวอยากรู้มากค่ะ หวังว่าอาจารย์จะให้ความกระจ่างแก่ผู้ไม่รู้ด้วยค่ะ