ทฤษฏีแบบของพลาโต้(Ειδος – eidos) อาจกล่าวได้ว่าได้รับอิทธิพลจากทฤษฎี “มโนภาพ” (concept) ของ Socrates[1] แบบของพลาโต้จะเป็น “อะไร” ที่อยู่นอกความคิด เป็นสิ่งสากล พลาโต้ถือว่าการสนทนาเป็นวิธีทางสู่การเข้าถึง “อะไร” นั้น เพราะ “อะไร” นั้นเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แบบของ พลาโต้จะมีโลกส่วนตัวที่สัมพันธ์เป็นลำดับชั้น โดยมีแบบอันเป็นที่สูงสุด ครอบคลุม จากในรีพับบลิค :
โดยสรุปแล้ว “อะไร” หรือ “แบบ” คือ วัตถุแห่งความรู้(the object of knowledge) เป็นความจริงที่สูงสุด(the ultimate real) ดำรงสถานะเป็นพื้นฐานของสิ่งอื่นใดในโลกวัตถุอันไม่สมบูรณ์(the standard or the pattern of an im-perfect) และคือปัจจัยของคุณธรรมที่ซึ่งมนุษย์ใช้จัดกลุ่มสิ่งในโลกวัตถุอันไม่สมบูรณ์(the common factor of virtue[άρετή])[3] ดังนั้นผมจึงขอกล่าว “แบบ” ที่พลาโต้กล่าวถึงเป็น “สิ่งที่มีอยู่จริงแต่มนุษย์เข้าไม่ถึง หากไม่มีเครื่องมือที่จำเป็นบางอย่าง” และเครื่องมือนั้นก็คือการศึกษา อีกทั้งพลาโต้ยังเสนอว่า “แบบ” หรือ “อะไร” ที่สูงสุดนั้นก็คือ “ความดี - Αγαθόν - agathon” (form or idea of the Good) ที่เป็นแบบที่ก่อกำเนิดทุกสิ่งอีกทั้งเป็นภาวะอันเป็น “แก่นแท้ที่สุดยอด” เป็น “แก่นแท้ของแก่นแท้” ของทุกๆแบบ ในสภาวะนี้แบบของความดีของพลาโต้มีลักษณะเป็น being[4] ดังนั้นจึงไม่สามารถหาจุดกำเนิด หรือสุดสิ้นสุด ความดีเป็นตัวควบคุมแบบอื่นทั้งหลายที่อยู่ภายในอาณาเขตของแบบแห่งความดี โดยควบคุมความขัดแย้งต่างๆเอาไว้ด้วยกันด้วย “วจนะ”(Λόγός - logos)[5] และในสภาวะเช่นนี้ แบบจึงเป็นความสมบูรณ์ ที่ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์ยิ่งกว่า และด้วยความหมายเช่นนี้แบบจึงเป็นจุดจบสัมบูรณ์ของสรรพสิ่ง[6](τέλος – telos) ด้วยในสภาวะเดียวกัน(และด้วยเหตุนี้เมื่อผมพูดถึงความดี ความดีจึงไม่ใช่คำทางศีลธรรมเท่านั้น ผมจะหมายความถึงสภาวะที่เป็นจุดจบดังกล่าวนี้ด้วยโดยนัยไปด้วยในเวลาเดียวกัน)
และก่อนที่ผมจะกล่าวถึงการศึกษาซึ่งเป็นประเด็นที่ผมสนใจในส่วนแรกนี้ ผมจะกลับไปหาสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมอีกสิ่งนั่นคือ άρετή - arete หรือที่ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า virtue และถูกแปลเป็นภาษาไทยว่า “คุณธรรม” หรือ “(คุณธรรม)ความสามารถ” ซึ่ง ณ จุดนี้ผมจะพิจารณาว่า arete คือ “อย่างไร” กันแน่ โดยเริ่มจากในภาษากรีก arete คือสภาวะของจิตภายในมนุษย์ คือ สภาวะแห่งชีวิตที่ดี และสำหรับ พลาโต้คือปัจจัยที่ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจในสิ่งต่างๆที่เป็นส่วนหนึ่งของความสมบูรณ์หรือแบบ และหาก eidos คือความดี(good/end)แล้วนั้น arete คือปัจจัย (όργανα – organa) ที่ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจในความดี(the good–ness/the end-ness)[7] เช่นนี้แล้ว arete จึงเป็นสิ่งที่พลาโต้เห็นว่าคือ “แก่น” ของสรรพสิ่ง ซึ่งแก่นนี้คือปัจจัยให้มนุษย์เข้าใจ(แต่อาจจะเข้าไม่ถึง)ต่อสรรพสิ่งในโลก แก่นคือรูปแบบมูลฐานของทุกสรรพสิ่ง ทั้งที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม ที่มีอยู่จริง และมีหนึ่งเดียว ดังตัวอย่างที่พลาโต้ยกมาพรรณนา :
เช่นนี้แล้ว arete จึงเป็นสิ่งที่การศึกษาต้องให้ความสำคัญ เพราะในขณะที่การศึกษาคือสิ่งสำคัญยิ่งยวดในการสร้างจิตสำนึกของเยาวชนที่จะกลายมาเป็นพลเมืองที่ถูกควบคุมและให้ความสำคัญโดยรัฐ[9] แต่อีกทางหนึ่งในสภาวะสูงสุดของการศึกษานั้นคือส่วนสำคัญในการสร้างมนุษย์ให้สามารถคำนึงถึงสังคมที่สมบูรณ์แบบ[10], คือส่วนสำคัญในการสร้างพลเมืองที่สมบูรณ์แบบ และถึงที่สุดคือส่วนสำคัญในการสร้างราชาปราชญ์ ซึ่งในเรื่องการศึกษาสำหรับพลาโต้ได้กล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่าความรู้ และในกระบวนการแห่งการได้มาซึ่งความรู้(การศึกษา) นั้นพลาโต้เห็ว่ามาจากการรับรู้ของจิตซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น ๔ ขั้นอันได้แก่(Πολιτεία. 510 e – 511e, 517 c, 518 c)
๑. Είκασία – eikasia (imagining or perception ) พลาโต้ใช้อธิบายการรับรู้ที่ตาสัมผัสเข้ากับภาพแล้วรายงานสิ่งที่รับรู้สู่จิต ภาพที่รับรู้นั้นพลาโต้บอกว่าคือ “ภาพเหมือน” Είκονεσ - eikones ที่มีความเป็นจริงน้อยกว่า “แบบ” ของภาพนั้นๆ เพราะมันการจำลองแบบ(Μίμεςης - mimesis) และเป็นเพียง “ภาพที่หยิบยืม” (Σύντροφος - syntrophos) ความเป็นจริงมาจากแบบ หรือ “เป็นสิ่งที่จำลอง” - Αντανακλαστικός (antanaklastikos)[11] มาจากโลกแห่งแบบ การที่มนุษย์ยอมรับภาพเพียงในระดับนี้ก็เหมือนกับว่าเป็นการหนีออกจากแบบที่เป็นจริง
๓. Διανοια – dianoia (intellect or hypothetical) คือการก้าวพ้นโลกแห่งประสาทสัมผัส (ผัสสะ) เพื่อค้นพบสิ่งสากล ซึ่งพลาโต้ใช้วิธีแบบนักคณิตศาสตร์ หรือเรขาคณิต โลกของเหตุผลเป็นโลกของความรู้ที่บริสุทธิ์ สมบูรณ์ที่สูงส่ง เพราะเหตุผลจะทำให้ค้นพบบางหน่วยสัญลักษณ์(Symbolic)ของ “แบบ” ด้วยการตั้งสมมติฐานแล้วยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เห็นจริงแล้ว
๔. Νόησις or Έπιστήμη – noesis or episteme(perfect intellect) ความรู้ระดับนี้เป็นความรู้ที่จิตรับรู้จากแบบโดยตรง โดยจิตจะแยกเป็นอิสระจากประสาทสัมผัส และรับรู้ถึงแบบโดยปราศจากสัญลักษณ์ ซึ่งก็หมายความว่าปราศจากสมมติฐานด้วย ณ จุดนี้จึงไม่มีข้อจำกัดของการรับรู้ ทำให้จิตค้นพบเอกภาพของแบบทั้งหลายในโลกแห่งแบบ ความรู้ที่เป็นระดับนี้จึงเป็นความรู้ที่แท้จริง และวิธีที่จิตจะเข้าถึงโลกแห่งแบบได้ก็ด้วย Διαλεκτική – dialectic[12] (การถกเถียงที่วางบนฐานของ logos ซึ่งเป็นปฏิบัติการทางปรัชญา และเป็นวิธีที่โสคราตีสใช้หาความรู้)
การเข้าถึงแบบของการศึกษาที่นั้นสำหรับพลาโต้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตที่ดีในสังคมการเมือง ซึ่งหากมองจากพัฒนาการของการได้มาซึ่งความรู้ทั้ง ๔ ขั้น จะเห็นว่าพลาโต้ให้น้ำหนักที่ “จิต” เป็นหลัก ซึ่งก็สนับสนุนกับทฤษฏีโลกคู่ขนานของเขา อีกทั้งจากบทสนทนาเรื่อง Meno[13] จะยิ่งพบว่าจิตคือปัจจัยสำคัญที่สุดในการที่มนุษย์จะสามารถได้มาซึ่งความรู้ และ ได้มาซึ่งการเข้าใจและเข้าถึงโลกแห่งแบบ และความรู้ที่แท้จริงนั้นเอาเข้าจริงสำหรับพลาโต้แล้วไม่ได้มาจากอะไรทั้งสิ้นนอกจาก “ความกรุณาแห่งสวรรค์(the grace of heaven)”[14] ซึ่งทำให้ผมสงสัยอย่างยิ่งว่า แล้วเมื่อใดกันที่มนุษย์จะรู้ตัวได้ว่า ความรู้ใดสวรรค์ประทานมา? และ ความรู้ใดที่ได้มาจากนรก?
เหตุผลที่ผมตั้งคำถามเช่นนี้เพราะ ด้วยความที่ผมอ่านอย่างเคารพ(เท่าที่สามารถเป็นไปได้ที่สุดของผม)ผมมองเห็นเส้นแบ่งบางอย่างของการได้มาซึ่งความรู้ จะเห็นว่าจากทฤษฎีแบบของพลาโต้นั้น ความรู้คือวิถีทาง “เข้าถึง” โลกแห่งแบบ แต่ปัญหาก็คือช่วงระหว่างทางของกระแสธารของการได้มาซึ่งความรู้ของพลาโต้นั้นมี ๔ ขั้นตอน ที่หากมองพัฒนาการของความรู้นี้อย่างคร่าวๆแล้ว “ดูราวกับว่า” พลาโต้มองขั้นตอนนั้นต้องพัฒนาจาก ๑ à ๒ à ๓ à๔[15] จึงจะสามารถเข้าถึงความดี “ที่แท้” แต่การที่ พลาโต้ถือว่าโลกมี ๒ โลก คือโลกแห่งความรู้ทางผัสสะ (Sensible World) และโลกแห่งความรู้ทางจิต (Transcendental World) นั้นการเข้าถึง “ความดี” ในโลกแห่งแบบจึงเป็นปฏิบัติการณ์ที่เข้าใจได้ง่าย แต่เข้าถึงได้ยาก ในประเด็นอย่างน้อยดังนี้
๑. การที่โลกแห่งสสารเป็นเพียงเงาที่ลอกแบบมาจากโลกแห่งแบบ
๒. พัฒนาการทางความรู้ในการเข้าถึงโลกแห่งแบบต้องเริ่มจากการรับรู้ (perception) ไปสู่การเชื่อ (belief) ที่เป็นความรู้อันได้มาจากโลกแห่งผัสสะ แต่พอเข้าสู่ช่วง การใช้เหตุผล (hypothetical) นั้นความรู้ที่ได้มากลับมาจากอีกโลกหนึ่งซึ่งการจะได้มาซึ่งความรู้ขั้นนี้ หมายความว่าใน ๒ ขั้นตอนแรก ความรู้ต้องเป็นในแบบที่ควรจะเป็นซึ่งสะท้อนมาจากโลกแห่งแบบ
mean .....
เข้ามาเยี่ยม....
คิดว่า ถ้าไม่เรียนเรื่องนี้มาบ้าง คนเขียนคงจะมั่ว....
อันที่จริง คนเขียนไม่ได้มั่ว ...ถ้ามั่วก็คือคนอ่าน....
ขอยืนยันในฐานะเรียนปรัชญา...
เจริญพร