ก่อนอื่นผมขอจัดระเบียบความคิดจากวิธีอ่านแบบสเตราส์เสียก่อน ก่อนที่ผมจะเขียนต่อไปว่าเมื่อผมได้ลองใช้จริงแล้วรู้สึกอย่างไร ระเบียบวิธีการอ่านแบบนี้(เท่าที่อาจารย์บอก)มี ๕ ข้อ และผมก็จะแสดงข้อคิดเห็นเป็นข้อๆดังนี้
๑. the author is superior to readers.
แน่นอนว่าผู้เขียนย่อมอยู่ในสภาวะที่เหนือกว่าผม ไม่ว่าจะด้วยสติปัญญา, ประสปการณ์ ฯลฯ ข้อนี้ผมเถียงอะไรไม่ได้ และแน่นอนข้อนี้เป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งที่นักศึกษาปรัชญาควรตระหนัก เอาเข้าจริงแล้ว การเรียนการสอนปัจจุบัน(เท่าที่ผมประสป และเป็น)ดูจะทิ้งสิ่งนี้ไปมากพอควร แน่นอนว่าการอ่านงานปรัชญาเป็นความสนุกสนานอย่างหนึ่ง เพราะมันทำให้ผมสนุกที่ได้คิดมากขึ้น และสนุกยิ่งกว่าถ้าผมเถียงได้ แต่เอาเข้าจริงแล้วผมก็ลืมไปสนิทว่าผมเป็นใคร
๒. the author doesn’t make mistake.
สืบจากข้อแรกการที่ผมไม่รู้ตัวว่าผมเป็นใครมันทำให้ผมสูญเสียโอกาสที่จะเชื่อ ความสำคัญของสิ่งที่ผมทำหายไปนี้นั้น มันทำให้ผมไม่มีสติที่จะจำ เพราะผมจะเหลือเพียงสติที่จะเถียง และบ่อนทำลาย เสียมากกว่าที่จะเปิดใจรับรู้ข้อคิดที่ผู้เขียนต้องการเสนอ(หรือไม่เสนอ) ความยโสโอหังแบบนี้นั้นเป็นสิ่งที่จริงๆแล้วนักศึกษาปรัชญาเช่นผมไม่ควรปล่อยให้มีเกิดขึ้น
๓. the author write with different meaning.
สืบเนื่องกัน การที่ผมอยากรู้และอยากเถียงในเวลาเดียวกันมันย่อมส่งผมต่อความเร็วในการอ่านของผม ผมมักไม่สนใจว่าคำศัพท์มีความหมายโดยนัยเช่นไร คิดเพียงมีความหมายเชิงบวกหรือลบ และสิ่งที่ผมตั้งใจที่จะเถียงจึงเป็นเพียงความหมายที่ถูกฉาบเคลือบ และตกหล่นในการรับรู้ความหมายอื่นที่ปรากฏหรือไม่ปรากฏไป ซึ่งทำให้ผมที่อยากจะเป็นนักศึกษาปรัชญาที่ดี อยากเรียนรู้ให้มากที่สุด กลับต้องพลาดหลายสิ่งหลายอย่างไป
๔. Philosophical texts are not for everyone.
เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องที่ไม่ได้กระทบกับการอ่านของผมโดยตรง แต่กระทบกับจารีตทางความคิดในระบบที่เป็นที่นิยม(ซึ่งผมก็นิยมตามไป) หรือก็คือความคิดเรื่องความเสมอภาค แน่นอนในโลกแบบเสรีนิยม(ที่โฆษณากันว่าเป็นนี้) มนุษย์ควรจะเท่าเทียมกัน แต่ก็รู้ๆกันอยู่ว่ามันไม่มีทางเป็นจริง และมนุษย์ในปัจจุบันพยายามปฏิเสธความจริงข้อนี้ แน่นอนความเท่าเทียม(และไม่เท่าเทียม)กันนั้นผมเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นธรรมชาติหรือไม่ แต่ที่ผมรู้คือมนุษย์(กลุ่มที่ผมคลุกคลีด้วย)พยายามที่จะปฏิเสธมัน และด้วยการนี้การอ่านแบบนี้อาจทำให้ผม(และ/หรือมนุษย์คนอื่นๆ)ตระหนักบางอย่างได้ว่า ไม่ว่ามนุษย์สมควรจะเท่าเทียมกันหรือไม่ หรือธรรมชาติสร้างให้มนุษย์เป็นอย่างไร ไม่ว่าความจริงเป็นอย่างไรมนุษย์ต้องดำรงอยู่กับความไม่เท่าเทียมกัน
๕. the reader’s target is to understand the text as the author’s understand.
แน่นอนผมต้องถามตัวเองเสียแล้วว่าทุกวันนี้ผมได้อะไรจากงานเขียนอย่างที่ผมควรจะได้หรือไม่ หากพูดให้สุดขั้วมันคุ้มกับการที่ต้องลงทุนกับมันหรือไม่ การที่ผมยโสจองหองเกินไปมันตอบแทนมันสมองของผมมาเท่าใดนั้นมันไม่สำคัญไปกว่า สิ่งที่ผมได้รับตอบแทนมามันสมควรจะเป็นเพียงใด และผมคงต้องกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งว่าผมอยากรู้อะไร ไม่ใช่คิดแต่อยากเป็นอะไรสิ่งที่ผมสาธยายออกมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงเบื้องแรกที่ผมได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของระเบียบวิธีการอ่านแบบสเตราส์เท่านั้น และแน่นอนเมื่อผมได้สัมผัสกับมันโดยตรงย่อมต้องทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไป และก็เป็นไปใน ๒ ทาง
ทางแรกผมไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าผมรู้จักระเบียบวิธีอ่านแบบสเตราส์มากเพียงพอที่จะวิจารณ์ ผมขอยกเอาข้อความของ อ.สมบัติ จันทรวงศ์ มาสักส่วนหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นการสรุปเอาวิธีศึกษาแบบสเตราส์เอาไว้ ดังนี้
“...นั่นคือ “ปรัชญา” เมื่อนำมาอยู่กับ “การเมือง” ในคำว่า “ปรัชญาการเมือง” นั้น บ่งบอกถึงการศึกษาซึ่งมีทั้งด้านความลึกล้ำ คือการเจาะลึกให้ถึงรากถึงโคน และความกว้างขวางของขอบเขตการศึกษา...เพราะปรัชญาการเมืองเกี่ยวข้องด้วยเรื่องการเมืองในลักษณะที่มุ่งหวังจะให้มีความหมายต่อชีวิตทางการเมือง เนื้อหาของปรัชญาการเมืองคือเป้าหมายอันสูงสุดของกิจกรรมทางการเมือง...”[1]สิ่งที่ อ. สมบัติกล่าวถึงนี้ ผมพอจะแยกออกมาได้ว่าระเบียบวิธีแบบสเตราส์นั้น
๑. ศึกษาอย่างลึกล้ำ ถึงรากถึงโคน
๒. ศึกษาอย่างกว้างขวาง พยายามให้ได้อย่างผู้รอบรู้
๓. ศึกษาเพื่อบรรลุเป้าหมายต่อความเข้าใจในกิจกรรมทางการเมือง
ผมคิดว่าข้อคิดนี้น่าสนใจมาก และเป็นสิ่งที่ผมคิดว่านักศึกษาปรัชญาการเมืองสมควรต้องทำ แต่ผมเองก็มีข้อสงสัยอยู่บางประการดังนี้
๑. การศึกษาอย่างถึงรากถึงโคนนั้น ผมไม่สามารถแน่ใจว่า “ราก” และ “โคน” นั้นคือ “ราก และ โคน” ที่แท้จริงที่ผู้เขียนตั้งใจไว้หรือไม่ เอาเข้าจริง มันไม่มีหลักประกันว่าเมื่อเราดื่มด่ำกับการขุดค้นที่ลึกซึ้งเช่นนี้ เราจะไม่ได้หลงทางไปสู่ “รากฝอย” แทนที่เราจะไปสู่ “ รากแก้ว” กระนั้นหากแม้นเราเข้าสู่รากแก้วได้แล้วอย่างที่เราเข้าใจ แต่ผมก็คิดว่าเราแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ลืม “ดิน, น้ำ, แร่ธาตุ, ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆที่ทำให้ต้นไม้ต้นนี้ตั้งตรงอยู่ได้ ฉันใดฉันนั้นผมเชื่อว่ามนุษย์มีความ “ประทับแรก(first impression)” ที่ทำให้สภาวะการรับรู้ของเราถูกบิดเบือนไปได้จากความจริงแท้ และมนุษย์ไม่สามารถแน่ใจได้อย่างสัมบูรณ์เลยว่าความประทับแรกนั้นจะนำพาสมรรถนะทางความคิดไปในทางที่สมบูรณ์
๒. การศึกษาที่กว้างขวาง เพื่อเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างลึกซึ้งนั้นแน่นอนเป็นสิ่งที่สมควรมี และสมควรเป็นสำหรับนักศึกษาปรัชญาการเมือง แต่ลักษณะอย่างนี้ผมกลับรู้สึกลักลั่นในตัวเอง ผมมองว่าเราทำตัว ๒ แบบที่แตกต่างกันอย่างแปลกๆในเวลาเดียวกัน ทางแรกเราเหมือนเซลล์ชิ้นหนึ่งของต้นไม้ที่บังเกิดมีความคิดในตัวเองว่าอยากเข้าใจการดำรงอยู่ของตนเองและเซลล์อื่นๆรายรอบ เราจึงมองออกจากต้นไม้เพื่อสำรวจสภาวะรอบตัวเพื่อหาคำตอบให้ตนเองแต่อีกทาง เราก็ทำตัวเหมือนตัวบีเวอร์ขี้สงสัยที่วันดีคืนดีอยากรู้ว่าต้นไม้ที่ตนกัดไปทำรังนั้นมีรากลึกเพียงใด เราจึงไปที่โคนต้นไม้ที่ฝังอยู่ได้ดิน แล้วพิจารณาว่าต้นไม้ที่พึ่งกัดไปยืนต้นอยู่ได้ด้วยรากชุดใดกันแน่
๓. เป้าหมายคือความเข้าใจในกิจกรรมทางการเมือง หรือก็คือการเข้าใจปรัชญาการเมือง นั่นคือสิ่งที่เราต้องแสวงหา แต่ปัญหาคือกิจกรรมทางการเมืองมีรากฐานทางปรัชญาจริงหรือ? มีสักกิจกรรมทางการเมืองใดไหมที่ไม่มีฐานทางปรัชญาการเมือง? การตึค่าแบบนี้ผมเข้าใจว่าเป็นการตีค่าว่ากิจกรรมทางการเมืองคือความจริงที่ปรากฏขึ้นของความคิดทางการเมืองที่มีแฝงอยู่จริงในสังคม กิจกรรมทางการเมืองจึงเป็นภาพสะท้อนของกระบวนความคิดของสังคม ในทางหนึ่งผมคิดว่ามันถูก แต่ในอีกทางผมก็สงสัยว่าทุกคนมี “เหตุผล (λογός-logos)” ซึ่งเป็นฐานของปรัชญาการเมืองกันทุกคนหรือเปล่า ผมไม่สามารถแน่ใจได้ว่าทุกกิจกรรมทางการเมืองถูกตัดสินให้กระทำหรือไม่กระทำด้วยเหตุผล กิจกรรมทางการเมืองมากมายที่เกิดขึ้นจาก “ความเชื่อ(μηθο-mytho)” เป้าหมายที่ระเบียบวิธีนี้ต้องการสำหรับผมจึงดูขมุกขมัวอยู่พอสมควร
อีกทาง
ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่างานทางปรัชญาทุกชิ้นก็ไม่ต่างไปจากงานทางศิลปะอื่นๆที่มีขึ้นได้ก็ต้วยอิทธิพลจากสภาวะแวดล้อม ผมเชื่อว่าต้นไม้ใหญ่ขึ้นในป่าดงดิบได้เพราะมันขึ้นอยู่ในสภาวะแห่งป่า ไม่ใช่ว่าป่าเป็นป่าได้ด้วยต้นไม้เพียงต้นหนึ่ง หรือก็คือผมเชื่อว่ามันมีสิ่งที่เป็น “รูปแบบหลัก(theme)” ที่ซึ่งหนังสือทางปรัชญาเล่มหนึ่งดำรงอยู่ ไม่ใช่หนังสือปรัชญาเล่มหนึ่งดำรงอยู่จึงมีรูปแบบหลัก
ผมไม่แน่ใจว่าความคิดแบบนี้ของผมมันไปในทางเดียวกับระเบียบวิธีแบบสเตราส์หรือไม่ แต่ผมรู้ว่าด้วยพื้นฐานทางความคิดแบบนี้ของผมมันทำให้ผมอ่านหนังสือเร็ว และโดยก่อนที่ผมจะอ่านหนังสือสักเล่มผมจำเป็นต้องรู้ว่า “ใคร, อะไร, ที่ไหน, อย่างไร, แบบใด, เพราะอะไร หรือเพื่ออะไร” ที่ผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจให้สร้างสรรค์งานทางปรัชญาสักชิ้นขึ้นมา ผมอ่านหนังสือภายใต้รูปแบบหลักบางอย่างที่ผมเองก็ยอมรับว่าไม่แน่ใจว่ามันคือความจริงที่ผู้เขียนต้องการสื่อหรือไม่ และสิ่งที่ผมได้ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันคือความจริงอะไรกันแน่ ผมมีสิ่งที่หายไปแต่ผมก็มีสิ่งที่ได้มา แต่ที่สำคัญกว่าผมคิดว่าผมได้ข้อสรุปเพิ่มเติมบางอย่างที่อาจจะไม่ได้เกิดจากความจริงของผู้เขียนแต่ผมก็ได้ความจริงบางอย่างที่ผู้เขียนเองก็อาจไม่ได้คิดถึง ซึ่งผมเองก็ไม่ได้เก่งไปกว่าผู้เขียน แต่ในความไม่เก่งกว่าผู้เขียนของผม ผมก็คิดว่ามันก็มีอะไรน่าสนใจอยู่(เพราะถ้าไม่น่าสนใจผมคงไม่สนใจ)
เอาให้ง่ายที่สุดผมสนใจในการศึกษา ซึ่งระเบียบวิธีในการศึกษาเป็นระบบหนึ่งที่ผมก็ควรจะศึกษา และเพื่อการศึกษาจะสำเร็จอย่างที่ผมต้องการ ผมเองก็มีวิธีการศึกษาที่เป็นระบบบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าระบบทั้ง ๒ อาจไปด้วยกัน หรือไม่ไปด้วยกันกับระเบียบวิธีศึกษาแบบสเตราส์ ผมอาจจะชอบการศึกษาแบบฉาบฉวยมากกว่าความลึกล้ำในทางหนึ่งมันก็เป็นการศึกษาที่อยากรู้ให้มากๆ แต่ในอีกทางสิ่งที่ผมศึกษาอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่การศึกษาที่ดีควรจะเป็นเลยก็ได้ และนี่เป็นความลักลั่นของการศึกษาซึ่งอาจเกิดกับผมเพียงคนเดียวหรือกับคนอื่นด้วยก็ได้
อาร์. แอล. เนทเทิลชิฟ ทิ้งท้ายไว้ในชั้นเรียงเรื่อง “การศึกษาในรีพับบลิคของพลาโต้” ในทศวรรษ 1880 ว่า
mean.....
เข้ามาเยี่ยม...
ก่อนอื่นก็ขอชื่นชมบันทึกนี้ และบันทึกก่อนด้วย ... ว่าน่าสนใจ สำหรับอาตมา (ส่วนผู้อื่นไม่ยืนยัน)....
ในฐานะที่เรียนและอ่านหนังสือปรัชญามาบ้าง ก็ขอเริ่มต้นด้วยควมเห็นแย้งในประเด็น ผู้อ่านกับผู้เขียน ทั้ง ๕ ข้อ....
ประเด็นนี้ ผู้เขียนและสิ่งที่ถูกเขียนเพื่อสื่อความหมายออกมา ไม่เคยยิ่งใหญ่กว่าผู้อ่าน (คือตัวเรา) ...นั่นคือ ถ้าข้อเขียนนั้นยาก เราก็ไม่ต้องไปสนใจอ่าน หรือถ้าเห็นว่าไร้คุณค่าสำหรับเรา เราก็ไม่ต้องไปอ่าน...
งานเขียนต่างๆ ที่ถูกส่งคืนกลับสำนักพิมพ์ หรือถูกชั่งกิโลขาย.. เพราะผู้อ่านไม่ผู้ตอบสนองนั่นเอง... ส่วนงานเขียนในอดีตที่ยังดำรงอยู่ เพราะผู้อ่านให้ความสำคัญเท่านั้น ....
ดังนั้น ผู้อ่านย่อมยิ่งใหญ่กว่าผู้เขียน หรือสิ่งที่ถูกเขียนขึ้นเสมอมา...
ประเด็นนี้ ก็เช่นกัน ผู้เขียนหรือสิ่งที่ถูกเขียนเท่านั้นมีแต่ข้อผิดพลาด ยิ่งงานเขียนใดที่ได้รับความสนใจ ก็ย่อมมีผู้เห็นความผิดพลาดมากยิ่งขึ้น...
อาตมาเคยอ่านและศึกษางานของ อิมมานูเอล คานต์ มาบ้าง... ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งมีผู้บอกว่า คานต์เขียนมั่วเยอะ ใช้ศัพท์ผิดเยอะ ระหว่าง กฎสากล กฎธรรมชาติ กฎศีลธรรม ... บางครั้ง คานต์ก็บอกว่าเหมือนกัน บางครั้งคานต์ก็บอกว่าต่างกัน...ซึ่งในงานเขียนของคานต์ใช้กฎเหล่านี้สับสนมาก...
นั่นคือ ผู้เขียนเท่านั้นที่แสดงออกซึ่งความผิดพลาดของตัวเอง... โดยผู้อ่านเป็นผู้กำหนดว่า ประเด็นนั้นๆ ถูกหรือผิด หรือสับสน...
ประเด็นนี้ สะท้อนถึง ความเห็นของผู้เขียนว่า ไม่แน่นอน เชื่อถือได้ยาก เช่นเดียวกัน..นั่นคือ ผู้อ่านต่างหาก ที่จะมากำหนดกรอบความหมายที่เขียนนำเสนอมา...
ดังตัวอย่าง วิตเกนสไตท์ เขียนเล่มแรกด้วยอหังการ มมังการ แห่งตน ...แต่พอเขียนเล่มที่สองก็มาบอกว่าเล่มแรกไม่ถูกต้อง บางอย่างก็สามารถใช้ได้และมีความหมายอย่างอื่นได้... นั่นคือ เล่มที่สองแย้งเล่มที่หนึ่ง...
แต่ ผู้อ่านสามารถนำมาใช้ในบางกรณีได้ว่า วิดเกนสไตท์(คนที่หนึ่ง)ว่า อย่างนี้ ๆ ๆ.... แต่คนที่สองว่า อย่างนั้นๆ ๆ ...
นั่นคือ แม้ผู้เขียนให้ความหมายแตกต่างกัน แต่ผู้อ่านสามารถนำเฉพาะความหมายที่เห็นว่ามีคุณค่ามาประยุกต์ใช้ได้...
ประเด็นนี้ เห็นด้วย ขอผ่าน (อีกอย่าง ค่อนข้างเหนื่อย ....)
ประเด็นนี้เห็นด้วยครึ่งหนึ่ง... อีกครึ่งหนึ่ง...
ไม่สำคัญว่าผู้เขียนเข้าใจว่าอย่างไร แต่สำคัญว่าเราเข้าใจว่าอย่างไร นำไปประยุกต์ใช้ หรือสามารถนไปต่อยอดกระบวนการคิดของเราต่อไปได้หรือไม่...
ตัวอย่างหนังสือแนวปรัชญาการเมืองมากมายที่ อาตมาคิดว่า ผู้ที่นำมาขยายความต่อแตกต่างไปจากบริบทที่ผู้เขียนต้นเดิมเข้าใจ ...แต่เค้าก็ยังมาประยุกต์ใช้และต่อยอดได้ เช่น..
อุดมรัฐ ของพลาโต้ กำหนดจำนวนประชากรไม่กิ่พันเอง ซึ่งเทศบาลปัจจุบันก็มีจำนวนประชากรมากกว่าแนวคิดเดิมของพลาโต้มากมาย....
เจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ของมองเตสกิเออ ก็มีนัยแตกต่างกันมากมายในประเด็นที่ยกมา แต่ก็ยังมีคนพยายามนำความเห็นของเค้ามาอ้างถึง...
เจ้า ของมาเคียวเวลลี่ ใช้สถานการณ์ในยุโรปยุคใหม่เป็นตัวอย่างอ้างอิง ซึ่งแตกต่างจากสังคมปัจจุบันเช่นกัน แต่สำนวนว่า นักปกครองต้องมีเลือดราชสีห์ผสมกับสุนัขจิ้งจอก... ก็ยังรู้สึกว่าทันสมัย..
.....
จะติดตามอ่านบันทึกตอนต่อๆ ไป และขอโอกาสรับสู่แพนเน็ต น่าสนใจส่วนตัว ...
เจริญพร