โครงการฝ่าวิกฤติพิชิตพุง (ตอนที่2) วันแรกของการเข้าคอร์สหลังจากที่พวกเราได้พักดื่มน้ำสมุนไพร ได้แก่ น้ำกระเจี้ยบ น้ำใบเตย ที่ใช้น้ำตาลกรวดแทนน้ำตาลทรายขาว รสชาดดี ไม่หวานจัด เราก็ดำเนินการทันทีโดยเริ่มตั้งแต่แนะนำการทำกิจกรรมครั้งนี้ว่าเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก สปสช. เพื่อนำมาใช้ในเรื่องการส่งเสริมสุขภาพของข้าราชการ และต้องสรุปผลของโครงการให้ทาง สปสช. เมื่อสิ้นสุด โดยระยะเวลาที่เริ่มตั้งแต่เรารณรงค์ตรวจสุขภาพสิ้นสุดลง เราพราบจำนวน จนท.ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในเรื่องน้ำหนักเกิน (ค่าปกติของBMI=18-24) รอบเอวเกิน(หญิง ไม่เกิน32 นิ้วหรือ 80 ซ.ม ชายไม่เกิน36 นิ้ว หรือ 90 ซ.ม) ระดับน้ำตาลในเลือดสูง(ค่าปกติไม่เกิน110) ไขมันโคเลสเตอรอลเกิน(ค่าปกติไม่เกิน200) ไตรกลีเซอไรด์สูง(ปกติไม่เกิน 150) กรดยูริค (หญิงไม่เกิน 6 ชายไม่เกิน 7 ) ภาวะซีด ปัสสาวะมีเม็ดเลือดขาวและแดง รวมจำนวนทั้งสิ้น 150 คน และเขียนโครงการไปเพื่อขอรับการสนับสนุน จึงต้องมีการเซนต์สัญญากันขึ้นระหว่างหน่วยงานเรากับทาง สปสช. และก็ต้องสรุปผลให้เขาทราบตามที่บอกไว้ข้างต้น เราจะสรุปผลโดยการประเมิน 3 ด้าน ได้แก่คะแนนความรู้ก่อนและหลัง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินกับออกกำลังกาย จากการบันทึกในสมุดบันทึก ตลอดระยะ 3 เดือน (เม.ย-มิย.) และจากผลการตรวจร่างกายหรือทางห้องปฏิบัติการขึ้นอยู่กับความผิดปกติของคนนั้นๆที่พบ เพื่อเปรียบเทียบผลเป็นรายๆให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> จากนั้นก็ให้แบ่งกลุ่ม เป็นกลุ่มย่อยๆ เพื่อให้ทีมดูแลกันได้ทั่งถึง โดยมติสมาชิกขออยู่ตามภารกิจงานที่ทำอยู่(เพราะต้องสามารถพบกันได้ต่อเนื่อง)</p> หลังจากนั้นก็ได้แนะนำคณะทำงานให้ทราบ แนะนำที่พักแล้วต่อด้วยการบรรยายของอาจารย์ไกร มาศพิมล ซึ่งท่านได้เข้ามาเป็นทีมวิทยากรร่วมจัดคอรท์สุขภาพครั้งนี้ รวมทั้งแนะนำสถานที่แห่งนี้ให้ ซึ่งอาจารย์จะคุ้นเคยกับศูนย์มาตลอดคะ เรามีกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพให้กับกลุ่มเสี่ยงที่เป็นผู้รับบริการรวมทั้งมีชมรมผู้สูงอายุใน ร.พ ที่ต้องมีกิจกรรมที่หลากหลายอยู่แล้ว อ้อ คืออาจารย์เป็นนักโภชนบำบัดและศึกษาด้านแพทย์ทางเลือกรวมทั้งแพทย์แผนไทยเป็นผู้นำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากสิ่งรอบตัว ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษของเรา มาแนะนำปรับใช้ ทำให้เราสุขภาพดี แบบไม่ต้องกินยาฝรั่ง หัวข้อบรรยายคือ“กินอยู่อย่างไทยๆ ให้ห่างไกลโรค“ ใช้เวลา 1 ช.ม ก็ถึงเวลาทานอาหารกลางวัน ซึ่งเมนูก็สุขภาพอย่างที่ตอนแรกเล่าไป คือมีปลา มีผัก ซึ่งคนที่ชอบอยู่แล้วก็จะอร่อย กินแล้วสบายท้อง มีผักสด และผักลวก มากมาย ขนมว่างก็เป็นขนมไทยๆเช่น ขนมกล้วย ถั่วแปป (เราชอบมาก กิน 2ชุด แลกกับไม่กินข้าวมื้อเย็น แต่กินกับข้าวนะ) ลืมบอกว่า ข้าวก็เป็นข้าวกล้อง(ข้าวแดง) พอช่วงบ่ายก็เป็นเราเอง(มีสองหน้าคือหน้าสมาชิกกลุ่มเสี่ยงด้วยและอีกหน้าคือเป็นคนจัดกิจกรรมด้วย มันกันละซิ ตอนแรกเรากังวลมาก แต่ก็คิดว่าทำไป ปรับไป อยากให้ได้รูปแบบที่มีการทำกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์ของทุกคน อยากใช้เครื่องมือ KM ในครั้งนี้ แต่ก็มีคนช่วยที่รู้เรื่องดีมากคือ พี่ปอย ตอนทำกลุ่มในวันพรุ่งนี้คงจะลำบากเหมือนกัน) ช่วงบ่ายเป็นการให้ความรู้ในเรื่องการบันทึกอาหารในสมุดบันทึก จดทุกอย่างที่กินพร้อมจำนวน ซึ่งเราก็แจกแจงให้ทราบส่วนของอาหารให้ตักตวงอย่างง่ายๆ เช่นข้าว1 ทัพพี คิดเป็น 1ส่วน ผัก 1ทัพพี คือ 1 ส่วน ผลไม้เป็นส่วนเช่นฝรั่ง1ลูกกลางคือ1ส่วน ชมพู่4ลูกคือ1ส่วน และอื่นๆอีก จนถึงให้ทุกคนคิดคำนวณการเต้นของหัวใจที่เหนื่อยพอดี โดยสอนจับชีพจรขณะพัก และออกแบบการออกกำลังกายให้การเต้นของหัวใจเหนื่อยพอดีสำหรับตัวเองได้ โดยคำนึงถึงว่า หากออกกำลังเหนื่อย <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">น้อยเกินไปก็จะไร้ค่า และหากเหนื่อยมากเกินไปหัวใจวายได้ หากใครยังไม่สามารถจับชีพจรตัวเองได้คล่อง เราก็ใช้นาฬิกาข้อมือสำหรับการจับชีพจรขณะออกกำลังกาย เพื่อทดสอบให้ผู้ฝึกรู้ว่าหากออกกำลังกายในช่วงที่ WORK OUT เช่นนี้ต้องให้คงความเหนื่อยพอดีในระดับนี้ที่ชีพจรเต้น ให้ได้20 นาทีขึ้นไป (หรือง่ายๆที่จะรู้ว่าระดับความเนื่อยพอดีคือขณะออกกำลังกายให้ทดลองพูดหรือร้องเพลง หากเริ่มร้องเพลงไม่ไพเราะก็ใช่เลย แต่ต้องไม่ถึงกับลิ้นห้อยร้องไม่ได้แสดงว่าหนักเกินไป) ไหวมั้ย ถ้าต่อเนื่อง ไม่ได้สามารถทำสะสมได้ โดยต้องออกกำลังกายเช่นนี้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งๆละ 30 นาที เป็นอย่างต่ำโดยรวมช่วง WARM กับCOOL อย่างละ5นาที รวมแล้วก็จะเป็น 30 นาที และหากต้องการลดน้ำหนักลงควรออกกำลังกายเช่นนี้ทุกวัน เราสามารถเผาผลาญพลังงานออกไปได้ประมาณถึง 200 กิโลแคลอรี่ และหากสามารถเพิ่มช่วง WORK OUT ได้อีก จาก 20 นาที เป็น 30 นาที(รวมเวลา WARM+COOL ก็จะเป็น 40นาที )ก็จะสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 250 กิโลแคลอรี่ </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> </p> และหากเราลดพลังงานจากอาหารลงในแต่ละวันลง 250 กิโลแคลอรี่ ภายใน 1 สัปดาห์ จะสามารถเผาผลาญพลังงานได้ 3500 กิโลแคลอรี่ และน้ำหนักเราก็จะลดลงอาทิตย์ละ ครึ่งกิโลกรัม (หลายคนอาจจะเคยได้ยินสูตรลดน้ำหนัก 6 เดือน 10 กิโลกรัมได้โดยใช้วิธีนี้) โดยที่ไม่รู้สึกหิวโหยแต่อย่างใด แถมจะมาพร้อมกับหัวใจที่ฟิต ไม่เหนื่อยง่าย แต่สดชื่น เรื่องสวยๆอย่างอื่นจะตามมา เชื่อมั้ยว่า ทุกคนมองเห็นภาพได้ชัด สนใจคำนวณตัวเอง ซักถามในกลุ่ม ทดสอบกันจนเป็นที่พอใจ เราก็เลิกบรรยาย วันนั้นประมาณเวลา 17.00 น. เพื่อให้ทุกคนได้ไปออกกำลังกายตามชอบ และยึดหลักการออกกำลังกายที่ตัวเองทดสอบไว้ นัดหมายกินอาหารเย็น 18.30 น. ก็เป็นอันสิ้นสุดวันแรก พร้อมนัดหมายเจอกันลานออกกำลังกายริมน้ำ พรุ่งนี้ 05.30 น. ติดตามตอนที่3 ต่อนะคะ
ขอความกรุณาต้องการทราบเบอร์ติดต่อกับอ.ไกรค่ะ สนใจน้ำมันนวดของท่าน เคยใช้แล้วติดใจ หาซื้อยากมาก ต้องการนำมาจำหน่ายด้วยค่ะ ขอบพระคุณล่วงหน้า
ขอทราบเบอร์ อ.ไกรนะคะ จะเรียนเชิญมาเป็นวิทยากรน่ะค่ะ