แสงเตือนเอดส์


“ความเสียว 2 อย่าง ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน”

     สวัสดีครับ     บล็อกนี้ผมมีเจตนาเตือนสติผู้กล้าทั้งหลาย ที่คิดว่าตัวเองเก่ง ดวงดี มีแต่ได้ไม่มีเสีย เป็นการกระตุ้นให้เห็นถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด  เพื่อป้องกันความพลาดพลั้งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งนั่นไม่ใช่เพียงแค่เล็กน้อยแต่มันมีค่ามากเท่ากับชีวิตเลยทีเดียว     หากจะกล่าวถึงโรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสนั้นมีมากมายหลายโรค ตามปกติโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสไม่มียาที่จะสามารถทำลายเชื้อได้  ผู้ป่วยรักษาตัวด้วยการกินยาตามอาการเท่านั้น โรคร้ายที่มีความสำคัญอันมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสที่ประชาชนสามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันการได้รับเชื้อได้นั้น ปัจจุบันคงหนีไม่พ้นโรเอดส์ครับ  (AIDS หรือ Acquired Immune Deficiency Syndromes)  ในที่ขออนุญาตนำบทความทางวิชาการ  ของศูนย์ข้อมูลโรคติดเชื้อและพาหะนำโรค กระทรวง  สาธารณสุข  มากล่าวไว้พอเข้าใจครับ

      โรคเอดส์ (AIDS หรือ Acquired Immune Deficiency Syndromes) คือ โรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องจนไม่สามารถต่อสู้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่ายกว่าคนปกติA       =   Acquired   หมายถึง สภาวะที่เกิดขึ้นมาภายหลัง ไม่ได้มีมาแต่กำเนิด          
I        =   Immune     หมายถึง ส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทาน  
 ของร่างกาย          
D      =     Deficiency  หมายถึง ความเสื่อมลง      
S      =      Syndrome    หมายถึง กลุ่มอาการ หรืออาการหลาย ๆ อย่างไม่เฉพาะระบบใด
ระบบหนึ่ง

ประวัติการพบเชื้อ HIV       เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2524 มีรายงานผู้ป่วยที่มีอาการโรคนี้ครั้งแรกในอเมริกา ผู้ป่วยเป็นชายรักร่วมเพศป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อ Pneumocystis Carinii  ทั้งที่เป็นคนแข็งแรงมาก่อน และไม่เคยใช้ยากดภูมิต้านทาน ต่อมาพิสูจน์ได้ว่า สาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายไปติดเชื้อเพิ่มจำนวนในเม็ดเลือดขาว ทำให้เม็ดเลือดขาวถูกทำลายลดจำนวนลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดระบบอิมมูนไม่สามารถทำหน้าที่ต่อสู้ทำลายเชื้อโรคและเซลล์มะเร็งได้
      การระบาดของโรคนี้ สันนิษฐานว่าเริ่มจากประเทศในทวีปอัฟริกากลางในระหว่างปี พ.ศ. 2513-2523 และสามารถเพาะเลี้ยงแยกเชื้อได้จากคนเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2526 โดยคณะของ Dr. Luc Montagnier ในฝรั่งเศส เพาะเลี้ยงเชื้อได้จากต่อมน้ำเหลืองของชายรักร่วมเพศที่มีอาการต่อมน้ำเหลืองโต จึงให้ชื่อในครั้งแรกว่า LAV ย่อมาจาก Lymphadenopathy Associated Virus และเสนอชื่อในเวลาต่อมาว่า IDAVหรือ Immune Deficiency Associated Virus
      ต่อมาใน พ.ศ. 2527 คณะของ Dr. Robert Gallo สหรัฐอเมริกา สามารถแยกเชื้อไวรัสได้จากเม็ดเลือดขาวของคนไข้ที่มีอาการสัมพันธ์กับโรคเอดส์ ตั้งชื่อว่า HTLV III โดยย่อมาจากชื่อเต็มว่า Human T-cell Lymphotropic Virus type III ทั้งนี้เนื่องจากคณะของ Gallo ได้แยกเชื้อ retrovirus type I, II ได้ก่อนหน้านี้
      ในปีเดียวกัน คณะของ Jay levy สหรัฐอเมริกาแยกเชื้อไวรัสจากผู้ป่วยโรคเอดส์และให้ชื่อว่า ARV หรือ AIDS related virus
      เมื่อได้ศึกษาเปรียบเทียบเชื้อที่แยกได้ทั้ง 3 ตัวนี้แล้ว พบว่าเป็นเชื้อชนิดเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2529 คณะกรรมการศึกษา retrovirus จึงตั้งชื่อไวรัสเอดส์นี้ใหม่ว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV-1)
      ในปี พ.ศ. 2529 คณะของ Clavel ได้แยกเชื้อ HIV ที่มีลักษณะต่างไปจากเดิมประมาณ 50-60 % และตั้งชื่อสากลว่า HIV-2
      ในขณะนี้จึงมีเชื้อ HIV อยู่ 2 subtypes และมี variants ต่าง ๆ และมีเชื้อ HIV variant ตัวใหม่ (รหัส ANT70) แยกได้จากประเทศคามารูน ในอัฟริกาตะวันตก เมื่อ ปี พ.ศ. 2531 ที่มีลักษณะยีโนม และโปรตีนแตกต่างไป อาจจัดเป็น HIV-3 ในอนาคต
      สำหรับ HIV-1 มี 8 subtype คือ A-F, H และ O ในประเทศไทยพบว่า subtype ที่มีสำคัญคือ Bข และ E ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์และทางเข็มฉีดยาตามลำดับ
    

ความเสียว 2 อย่าง ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน  จากประโยคข้างต้นฟังดูน่าจะงงๆกันนะครับ       

     ผมเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านสาธารณสุขมาตั้งแต่ปี 2535  จนปัจจุบันก็พอจะได้พบกับเหตุการณ์อะไรๆที่ไม่คาดคิดอยู่เสมอ  อย่างเช่นครั้งหนึ่งผมได้ให้คำปรึกษากับเด็กหนุ่มวัยกระทงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นการให้คำปรึกษาที่น่าหวาดเสียวมากครับ  เรื่องมันมีอยู่ว่า    

      สายของวันหนึ่ง  วันนั้นเป็นวันหยุดผมไม่ได้ออกไปทำงาน  จู่ๆผมได้ยินเสียงเรียกจึงเดินออกไปดู ก็ได้พบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง (ขอสงวนนามและที่อยู่ครับ)  เดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี ดูอิดโรยเหมือนไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ หรือไม่ก็มีทุกข์ในใจ  ผมทักทายด้วยความสนิทสนมเพราะเป็นคนที่รู้จักกันครับ  แล้วผมจึงถามไปว่า เป็นอย่างไร มาหานี่มีธุระปะปังอะไรเหรอครับ  หรือไม่ค่อยสบายดูท่าทางไม่ค่อยดีเลยนะ (ปกติคนที่รู้จักผมจะไว้ใจในการมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพกับผมครับ เพราะผมทำงานด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนมานาน) เขาบอกว่า  ผมไม่รู้จะบอกอย่างไรดี  พร้อมกับอึ้งไปพักหนึ่ง  ผมเลยพูดต่อว่าคุยได้เลยตามสบาย  มีอะไรก็เล่าให้ฟังกันได้  น้องก็รู้ว่าพี่เป็นคนอย่างไร เก็บความลับได้ดีแค่ไหน  เขาเลยพยักหน้ารับ  แล้วเริ่มต้นถามผมด้วยประโยคที่ทำให้ผมไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดกับเด็กสมัยนี้ได้ 

     เขาเล่าว่า  ผมไปเที่ยวผู้หญิงมาครับ  ผมมีถุงยางอนามัย (condom) เพียงลูกเดียว แต่ผมเสร็จภารกิจไปแล้ว  1  ครั้ง  ผมยังมีความต้องการอีกครับ  ผมเลยเอาถุงยางอนามัยลูกเดิมนั่นแหละครับ  เอามากลับด้าน  จากด้านในเป็นด้านนอก  (ฟังถึงตรงนี่ผมเสียวไส้แทนครับ อะไรจะเกิดขึ้นกับเขา ถ้าผู้หญิงคนนั้นมีเชื้อ HIV)   แล้วผมก็เอามาสวมใส่อวัยวะเพศของผมดำเนินการจนเสร็จกิจอีก 1 ครั้งครับ  ผมถามหน่อยครับพี่  อย่างนี้ผมมีโอกาสติดเชื้อเอดส์มั้ยครับ  ผมกลัวจังเลย  เขาเล่าด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย บ่งบอกถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด  เขาบอกต่อว่าขณะที่ผมทำภาระกิจครั้งที่ 2 อยู่นั้น  ผมมีความรู้สึกเสียว  2 อย่างพร้อมกันครับพี่  1  คือ เสียวอย่างว่าครับ  2  เสียวเพราะกลัวจะติดเอดส์ครับ   พอเขาพูดจบผมดูท่าทางเขาอยากให้ผมบอกกับเขาว่าไม่ติดหรอก  เหมือนเขากำลังลุ้นอย่างเต็มที่  คล้ายๆลุ้นลูกก็อปให้ลงหลุมอย่างไรอย่างนั้น     

     ฟังจบผมก็เลยเสียวตามเขาไปด้วย  ผมจะบอกกับเขาอย่างไรดีนะ ว่าไอ้ที่น้องทำนะมันเสี่ยงเต็มประตูเลย  ผมตั้งสติก่อนสตาร์ทครับ  ต้องใช้วิทยายุทธเก่าๆที่สะสมมาครับ  เริ่มต้นด้วยอธิบายถึงโรคเอดส์พอเข้าใจ  วิธีการติดต่อ  โอกาสเสี่ยงของการได้รับเชื้อ  และผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อให้เขาได้ใช้ข้อมูลดังกล่าวในการหาคำตอบของเขาเองเหตุที่ผมทำเช่นนั้นเพราะดูอาการทางจิตใจเขาแล้ว หากบอกกันตรงๆคงรับไม่ได้แน่  สุดท้ายจึงสรุปให้เขาฟังว่า  ตอนนี้ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลนะครับ  ปฏิบัติตัวตามปกติ  หากต้องการความสบายใจ  ก็ให้ไปพบแพทย์เพื่อขอรับการตรวจเลือดดูนะครับนับจากวันเกิดเหตุไปประมาณ 3  เดือนครับ  และปิดท้ายด้วยคำให้กำลังใจไปว่า  พี่คิดว่าน้องคงไม่เป็นอะไรหรอกครับ  ไม่น่าจะได้รับเชื้อนะ  เขาฟังจบดูสีหน้าเขายิ้มแย้มขึ้นมาเลยครับ      

     สิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าจะมีคนคิดอย่างนี้ กระทำอย่างนี้มันมีด้วยหรือครับ  ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าอาจจะไม่ใช่เขาคนเดียวเท่านั้นที่คิดอย่างนี้  น่ากลัวจริงๆครับ โอกาสพลาดพลั้งเพียงแค่สนองความเสียวในรูปแบบหนึ่งกลับมาส่งผลให้เกิดความเสียวอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งไม่น่าจะคุ้มและแลกกันได้เลย  

     นั่นคือ   “เสียวซ่าส์กับเสียชีวิต                                    

                                                                 ด้วยความเคารพ

                                                                     แสงตะวัน

หมายเลขบันทึก: 89765เขียนเมื่อ 11 เมษายน 2007 16:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:09 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ทำการเจาะเลือดผู้ป่วย ตรวจวิเคราะห์รู้สึกไม่ดีและน่าสงสารผู้ป่วยมาก ค่ะ พี่แสงตะวันผ่านมาทักทาย อ่านจบแล้วค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท