ช่วงนี้ใกล้สงกรานต์ครับ บางครั้งการตั้งสติสักนิด ทบทวนสิ่งที่ผ่านมาแล้วหายใจให้ลึก มองไปข้างหน้า อาจจะทำให้เรามีกำลังที่จะเดินต่อได้ดีขึ้น
ปีที่ผ่านมามีความสนใจเรื่องเชื้อเพลิงชีวภาพเช่นเอทานอลและไบโอดีเซลกันทั่วโลก มีการขับเคลื่อนกันอย่างเต็มที่ เริ่มแรกก็ทำเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางและความมั่นคงเชิงพลังงาน ถัดมาก็เพื่อสร้างตลาดให้กับผลผลิตส่วนเกิน และล่าสุดก็มีการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมทั้งระดับโลกและท้องถิ่น
ประเทศไทยมีการประกาศนโยบายผ่านมติ ครม. ครั้งแรกเมื่อ ๑๙ ก.ย.๔๓ อนุมัติในหลักการให้มีการพัฒนาโครงการเอทานอล ซึ่งเป็นการน้อมนำเอาโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการเกษตร ปัจจุบันมีโรงงานเดินเครื่องแล้ว ๙ แห่ง กำลังการผลิตโดยรวมประมาณ ๑ ล้านลิตรต่อวัน นับว่าเป็นโครงการที่ปักธงให้กับประเทศไทยได้แล้วว่าเป็นประเทศแรกในเอเซียที่ผลักดันโครงการนี้อย่างเอาจริงเอาจัง ถึงแม้การดำเนินการจะช้าไปบ้าง แต่ก็เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมแล้ว
โครงการไบโอดีเซลก็เช่นกัน วันนี้มีกำลังการผลิตรวมกว่า ๑ ล้านลิตร/วันแล้วและมีการจำหน่ายผ่านสถานีทั่วประเทศ ที่ดีคือมีการจัดกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อผลิตไบโอดีเซลกว่า ๘๐ แห่งทั่วประเทศแล้ว นี่แหละครับเป็นตัวอย่างของการพัฒนาเพื่อการพึ่งพาตนเองที่แท้จริง
วันนี้ผมเข้าไปอ่านบทความใน www.prachatai.com ว่าด้วยเรื่องโครงการเอทานอลของสหรัฐและบราซิล ซึ่งเป็นผู้ผลิตอันดับที่ ๑-๒ ของโลกตามลำดับ ข้อมูลของผู้เขียนนั้นอ้างอิงมาจากแหล่งของต่างประเทศ ในกลุ่มของผู้ต่อต้านโครงการทั้งนั้น มุมมองที่สรุปออกมาจึงติดลบมาก
ในฐานะที่ติดตามข้อมูล และประสานงานกับบราซิล-สหรัฐมาตลอด ๗-๘ ปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าข้อดีของการแปรรูปผลผลิตการเกษตรส่วนเกินมาเป็นสินค้าพลังงานนั้นมีมากกว่าข้อเสียในหลายประเด็น โดยเฉพาะประเทศไทยที่เราเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรปฐมภูมิ (ข้าว มันสำปะหลังตากแห้ง ฯ) การยกระดับรายได้ของเกษตรกรที่เป็นฐานใหญ่ของประเทศ (จ้างงานเกือบ ๕๐% แต่สร้างมูลค่าเพิ่มต่อผลผลิตประชาชาติต่ำกว่า ๑๐%) เพียงเหตุผลเดียวนี้เราก็ต้องทำแล้ว
แต่ก็ต้องเตรียมรับสถานการณ์ครับ ต้องทำอีกหลายเรื่อง การคอยตอบ Negative Press ก็เป็นภาระกิจหนึ่งที่ต้องกระทำครับ