การที่บ้านอยู่ริมน้ำต้องทำใจและมีความรู้ ข้อหนึ่ง คือ หน้าน้ำน้ำอาจท่วมได้ ที่จริงก็ทำใจและหาข้อมูลก่อนปลูกบ้านหลังนี้ ซึ่งเป็นบ้านหลังแรกในชีวิตที่เป็นเจ้าของและเป็นบ้าน ไม่ใช่คอนโดมิเนียมที่เคยอยู่สมัยยังเป็นมนุษย์เงินเดือนในกรุงเทพ
เราคิดว่ามีเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์แล้วบ้านอยู่ใต้เขื่อนคงจะรอดพ้น ที่ไหนได้ปีแรกที่ปลูก พ.ศ.2545 น้ำท่วมใหญ่ทั้งประเทศ แถมผู้รับผิดชอบบริหารน้ำผิดพลาดหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ เรียบร้อยเลยค่ะ ชั้นล่างท่วมแค่คอ ว่างมาหลายปี ปีทีผ่านมาโดนอีกครั้ง ทีนี้ท่วมแค่ระดับอก บ้านปลอดภัยดีแม้ว่าจะต้องซ่อมไม่น้อย แต่ต้นไม้ตายมากมาย ที่รอดก็เยอะ ทำให้ได้คิดว่าคนสมัยนี้(ตัวเอง)มักมองข้ามความสำคัญของความรู้ของบรรพบุรุษ
บ้านริมน้ำใครเขาปลูกต้นไม้ดัดจริตผิดที่กันบ้าง เช่นลีลาวดี ไม่ชอบน้ำ ยืนในน้ำแค่อาทิตย์กว่าๆก็ไปซะแล้ว ต้นไม้ที่อยู่ติดพื้นที่ของเดิมอยู่ยงคงกระพัน เช่น กนุ่น มะกอกน้ำ กุ่ม การปลูกบ้านชั้นล่างชาวบ้านจะไม่ทำอะไรถาวร ปล่อยโล่งยกใต้ถุนสูง ผูกเปลนอนเล่นกลางวันสบายใจ น้ำมาก็ปลดเรือที่ขึ้นคานเอาลงมาพาย น้ำท่วมเด็กๆชาวบ้านสนุกที่สุด เล่นน้ำกันเสียงดัง
คนสมัยก่อนเรียกช่วงเวลาที่น้ำมากว่า "หน้าน้ำ" หรือหน้าน้ำหลาก แต่คนสมัยนี้เรียกว่า "อุทกภัย"
ปีนี้พอน้ำลงปกติ ป้านวลปรับที่ ตากดิน เราเลยชวนกันปลูกแต่ของกินได้ พวกผักสวนครัว ผักที่ออกลูก ออกฝัก ให้หมดกันเป็นรุ่นๆ พวกดอกไม้ที่ปลูกใหม่ก็ปลูกแบบรู้ถึงความไม่เที่ยง
ใครผ่านมาทางอยุธยา บอกนะคะ เผื่อมีโอกาสมาแวะชิมอาหารจานผักแถมบรรยากาศริมน้ำ
เห็นว่าอากาศร้อนมากเลยคุยถึงเรื่องน้ำมากให้อ่านกันเย็นๆค่ะ
มองจากบ้านเห็นแม่น้ำชัดเจน
สวัสดีค่ะ
สมัยเด็ก ครอบครัวเรามีบ้านริมแม่น้ำบางปะกง มีคนแวะเรือมาขายกาแฟ ก๋วยเตี๋ยว กับข้าว คุณพ่อพาไปพักแทบทุกวันเสาร์ อาทิตย์ เพราะคุณพ่อ ชอบขับเรือ เครื่องยนต์กลางลำ แบบสปอร์ตหน่อย ออกทะเลกับคุณแม่
มีอยู่วันหนึ่งกลับตั้ง 4 ทุ่ม ลูกๆ3คนร้องไห้กระจองอแง รออยู่ที่บ้านสวนแห่งนี้ ได้ความว่า เครื่องเสีย กลางทาง แวะซ่อม เลยช้า เข็ดเลย ไม่อยากให้ไปกัน 2คนอีก กลัวค่ะ
เดี๋ยวนี้ บ้านยังอยู่ แต่เป็นของพี่สาว ไม่ค่อยได้ไปแล้ว พี่สาวก็ไม่ค่อยได้ไป มีแต่คนเฝ้า