“ชีวิต คือ ความไม่แน่นอน” จากเด็กผู้หญิงที่แข็งแรงคนหนึ่ง โตขึ้นมาเป็นนักกรีฑาระดับเขต ใช้ชีวิตมาด้วยความสุข สดใส วันหนึ่งชีวิตต้องมาพบกับจุดเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต
"สิ่งที่เราไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่ามันจะเกิดขึ้นกับเรา และก็ไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้เราต้องมาเผชิญกับโรคร้ายที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตที่เหลืออยู่"
จำได้ว่าประมาณต้นปี 2544 ตอนนี้เรามีอาการปวดท้องมากจนทำให้ต้อง admidอยู่หลายวัน ทีแรกก็คิดว่ากระเพาะอักเสบธรรมดา ซึ่งหมอฉีดยาให้ก็คงหาย แต่เวลาผ่านไป 3 วันกับการรักษา ทุกอย่างดูเหมือนมันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากแค่ปวดท้องเรากลับเริ่มมีอาการ บวม ปัสสาวะไม่ออก ความดันโลหิตเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้หมอต้องสั่งตรวจวินิจฉัยเพิ่มมากมาย ทั้งการเจาะเลือด ส่องกระเพาะ อาหาร อุลตร้าซาวน์ กลืนแป้ง สวนแป้ง การนอน โรงพยาบาลครั้งนั้นยอมรับว่าสาหัสมากสำหรับเรา เพราะในชีวิตไม่เคยเจ็บป่วยอะไรขนาดนี้มาก่อน และในที่สุดหมอก็วินิจฉัยว่า “ไตอักเสบเฉียบพลัน”ตอนนั้น มันเกิดคำถามมากมายกับตัวเอง ว่าเราเป็นอะไร ทำไมเรื่องแบบนี้จึงต้องเกิดกับเรา และไม่ทราบว่า เป็นโรคไตแล้วมันร้ายแรงอย่างไร รู้เพียงแค่ว่า เรารับสภาพตัวเองที่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆแบบนี้ไม่ได้ เพราะตอนนั้นเราเข้าออกโรงพยาบาลอาทิตย์เว้นอาทิตย์เลยก็ว่าได้ ยอมรับว่าปรับสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองไม่ได้เลย
เพราะด้วยความที่เราเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง เราเป็นนักกีฬาเรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดกับเรายิ่งคิดไม่รู้น้ำตามันมาจากไหน ยอมรับว่าตอนนั้นเสียใจมาก เครียด กังวล และรู้สึกสับสนในชีวิต ไม่รู้ว่าเราต้องทำอย่างไรต่อไปดี ในการนอนโรงพยาบาลครั้งแล้วครั้งเล่าก็คงหนีไม่พ้นเข็มฉีดยา ยาเม็ด และ lab ต่างๆตามคำสั่งของหมอ และ Lab ที่ทำให้เราเจ็บปวดและจำมันมิรู้ลืมจนทุกวันนี้ คือ การถูกหมอสั่ง เจาะน้ำไขสันหลัง คงไม่ต้องบรรยายว่ามันเจ็บแค่ไหน
ทุกครั้งที่ต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วได้ฟังว่า คุณต้อง admid "น้ำตาแห่งความเสียใจและความเจ็บปวด ก็มาหาทุกครั้ง คำถามมากมายยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเรา ความท้อแท้ สิ้นหวัง เริ่มเข้ามาในความรู้สึกอย่างต่อเนื่อง" แต่ทุกครั้งที่มองหน้าแม่ (ซึ่งไม่เคยหนีเราไม่ไปแม้แต่วันเดียว) ทำให้เรามีรอยยิ้ม มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
หลังจากนั้นไม่นานต้องไปศิริราชเพื่อรับการรักษาต่อ ในชีวิตไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน วันแรกแห่งการนอนโรงพยาบาลศิริราช ความรู้สึกสับสน ท้อแท้ สิ้นหวัง เริ่มกลับมาอีกครั้งความไม่คุ้นเคยทำให้เรารู้สึกกลัว แต่ละคืน ณ โรงพยาบาลศิริราชช่างเป็นที่คืนแสนยาวนานเหลือเกินในชีวิต วันๆได้แต่นั่งมองแม่น้ำเจ้าพระยา มองดูเรือที่ล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อคลายเหงา แต่ละวันต้องนั่งมอง นอนมอง คนไข้ที่ค่อยๆจากไปทีละคนทีละคน จิตใจเริ่มหดหู่ขึ้นเรื่อยๆ 2 สัปดาห์ผ่านไปของการรักษา เราก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ความดันโลหิตก็ยังคงสูงต่อเนื่อง 200 กว่า ตลอดเวลา ทำให้ ORDER การรักษาเริ่มเกิดขึ้นอีกมากมาย เริ่มจากการเจาะเลือด เก็บปัสสาวะ x-ray ทำ EKG ตอนนั้นรู้สึกอย่างเดียวว่าอยากร้องไห้ แต่ก็ต้องเก็บน้ำตาเอาไว้บอกกับตัวเองว่าเราต้องอดทน เราต้องไม่ร้องไห้กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เราต้องสู้และต้องผ่านเวลานี้ไปให้ได้
หลังจากนั้นหมอขอเจาะน้ำไขสันหลังอีกครั้งตอนนั้นมันก็เกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า เราเคยเจาะไปแล้วนี้ ทำไมเราต้องทำอีก จะมีใครรู้ไหมว่ามันเจ็บและทรมานแค่ไหน แต่เราก็ต้องพยายามอดทน ไม่แสดงความเจ็บปวดใดๆให้แม่เห็นเพราะทุกครั้งที่มองหน้าแม่ก็รู้ทันทีว่าแม่เจ็บปวดกว่าเรามากมายนัก เราก็พยายามอดทนจนผ่านมันไปได้อีกครั้ง และอีก 7 วันต่อมา หมอก็ขอตัดชิ้นเนื้อไต พยายามบอกกับตัวเองว่าอย่ากลัว ในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มันคงไม่เจ็บเพราะเราผ่านสิ่งที่เจ็บปวดมาแล้วตั้งหลายครั้ง ครั้งนี้เราก็ต้องผ่านมันไปได้ และแล้วเมื่อเวลามาถึง เข็มที่ยาวมากๆ ในชีวิตนี้ไม่เคยเห็นเข็มอะไรที่ยาวขนาดนี้มาก่อนต้องมาปักตรงที่หลังเราเพื่อตัดเอาเนื้อไตออกมาตรวจ
คงไม่ต้องบอกว่ารู้สึกอย่างไร ว่ามันเจ็บและทรมานแค่ไหน ยาชาก็ยาชาเถอะคงไม่ช่วยอะไรเราได้มากนัก ผลการตรวจพครั้งนั้น หมอพบบว่าเราเป็น IgA Nephopathy ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร รู้แค่เพียงว่า มันเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ที่ Immune ที่ไต ชนิด A มันทำให้เนื้อเยื่อที่ไตเราฟ่อลงไปเรื่อยๆ ไตจะค่อยๆสูญเสียการทำงานไปเรื่อย ๆ
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ก็ 7 ปี แล้วที่เรารู้จักกับโรคไต และใช้ชีวิตร่วมกับโรคไตมา ทุกความเจ็บปวด ทุกความทรมานที่ได้รับจากโรคไต มันทำให้เรารู้ซึ้งเลยว่า ความสุขที่สุดในชีวิต มันคือ แค่การยังสามารถหายใจเข้าออกได้แค่นั้นเอง ทุกครั้งที่มีอาการ ทุกครั้งที่ทรมานสิ่งเดียวที่เราทำได้ คือ อดทน และก็อดทน ให้ทุกอย่างมันผ่านไปให้ได้ และวันนี้เราต้องมาเป็นผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ระยะที่ 3 แล้ว เพราะไตสูญเสียการทำงานไปกว่า 80 % แต่วันนี้ต่างจากเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เพราะเราหาคำตอบให้กับตัวเองได้แล้วว่า"ทุกวันนี้เราไม่ได้กลัวความตายที่รอเราอยู่ตรงหน้า แต่เรากลัวไม่ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำให้คนที่เรารักและรักเรา"
เราค้นหาเป้าหมายในชีวิตที่เหลืออยู่ของเราพบแล้วต่อจากนี้เราจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว เราทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราได้แล้ว น้ำตาที่มันเคยไหล มันจะไม่มีอีกแล้ว มันจะเป็น "น้ำตาหยดสุดท้าย" ที่เราจะร้องไห้เพราะความเสียใจ
ขอบคุณ"โรคไตที่ทำให้เรารู้จักคุณค่าของชีวิตรู้จักการใช้ชีวิตและที่สำคัญทำให้เรารู้ว่าชีวิตและเวลาที่เราเหลืออยู่เราต้องทำอะไร"
สู้ต่อไปนะคะ พี่แมว จะเป็นกำลังใจให้ ถึงร่างกายจะอ่อนแอ แต่หัวใจ อย่าอ่อนแอนะคะ สู้ๆ
หวัดดีน้องแมว
เป็นแรงใจให้อีกคนนะจ๊ะ
ดูแลสุขภาพดี ดี จ้ะ.......ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ ที่คาดเดาผิดไป
ผมเข้าใจอาการณ์ทุกอย่างครับว่ามัน เจ็บปวดมาก
มีลูกน้องผมคนหนึ่ง เป็นเหมือนกัน ผมเข้าใจดีครับ แต่กำลังใจเขาดีมาก อย่ายอมแพ้นะครับ คนที่แย่กว่าเรายังมีอีกเยอะครับ ถ้าว่าง หรือเหงาๆ โทรมาคุยกันก็ได้นะครับ ยินดีคุยได้ทุกเรื่องนะครับ ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
สู้ ๆๆๆๆ นะคะพี่แมว กำลังใจพี่ดีมาก ๆ กุ๊กจะเพิ่มเติมกำลังใจให้พี่ด้วยนะ ให้มีกำลังใจเยอะ ๆ เพื่อจะได้อยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุขในทุก ๆ วัน
ขอเป็นกำลังใจให้ด้วยอีกคนค่ะ ฉันเองทราบจากหมอว่าก็คงเป็นโรคนี้ด้วยเมื่อเดือนกุมภานี่เอง แต่ฉันไม่รู้สึกกลัวเหมือนที่คุณรู้สึก เพราะฉันอยู่ในอาชีพพยาบาลและนับถือพุทธศาสนาไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่ดูแลตนเองให้มีสติ มีวินัยในการปรับปรุงตนเอง ใหม่ลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่นอาหารไม่กินเค็ม ลดประเภทเนื้อสัตว์ใหญ่ ไม่เครียด ไม่นอนดึก ไม่ออกกำลังหักโหมและเพิ่มความต้านทานด้วยการทำสมาธิ มองโลกในแง่ดี ให้อภัยไดทุกอย่าง และยิ้มสู้ค่ะ
ถึง แมว
ที่ถาม "น้ำตาหยดสุดท้าย" เพราะ เห็นน้ำใจของคนมาบุกงานในพื้นที่เป็นรุ่นแรก และ ทราบว่าไม่สบาย ก็ตั้งใจจะพูดคุย แต่ไม่ค่อยมีโอกาส มาเห็นอีกครั้ง ติดใจ ที่ หยดสุดท้าย เลยได้โอกาสถาม
ด้วยเคยฟังเพลงของวงโฮป ชื่อ ธูปดอกสุดท้าย พรรณาว่า แม้มีเพียงแสงไฟจากดอกธูป (ที่ริบหรี่มาก) ก็จะเดินหน้าต่อไป ไม้ท้อแท้
ดีใจที่ได้ข่าวสุขภาพ โรคนี้ผมก็พึ่งเคยได้ยิน ดีแล้วที่หันหน้าสู้ และอยู่กับโรคให้ได้ เพื่อใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ต่อไป
ผมเองก็สุขภาพ ไม่ดีเท่าไร เคยผ่าหลัง หมอนรองกระดูกทับเส้น เมื่อ ๒๐ ปีก่อน แม่บ้านก็หอบ ภูมิแพ้ เราก็อยากทำโน่นทำนี้ ให้สังคมดีขึ้น ทุกคนมีเวลาจำกัดด้วยกันนทุกคน ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า
ขอเป็นกำลังใจให้กันและกัน
พรรษา ทาเจริญศักดิ์
๒๕ เมย ๕๔ ๘.๒๐ น
เป็นกำลังใจให้ทุกคนเลยนะค่ะเพราะดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังเป็นโรคนี้อยู่
หมอบอกต้องเจาะเนื้อเยื่อมาตรวจดิฉันยังทำใจมิได้เลย คงจะเจ็บมาก
ใครมีคำแนะนำดีๆไหมค่ะ ดิฉันได้นำมาปฏิบัติตาม
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เป็นโรคนี้นะค่ะ สู้ต่อไปค่ะ
ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอค่ะ
สู้นะคับ เป็นกำลังใจให้