เมื่อความคิดเปลี่ยน


เมื่อความคิดเปลี่ยน การกระทำก็เปลี่ยน เมื่อการกระทำเปลี่ยน ผลสะท้อนกลับก็เปลี่ยน และทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆจวบจนหวนกลับมาหาจุดเริ่มต้น วนเวียนไม่วันจบสิ้น

เมื่อวาน ผมไม่มีโอกาสได้ไปร่วมสัมมนา "การจัดการความรู้ฯ" ด้วยได้ ปล่อยให้ เบียร์จัง ดวงจังและอุ๋มจังต้องขาดเอกคุงไปด้วย เหตุที่ผมไม่ได้ไปเพราะมีนักศึกษาที่ต้องรับผิดชอบจำนวนหนึ่งซึ่งมากพอสมควร ผมเข้ารับผิดชอบนักศึกษาสิ้นสุดที่เวลา ๑๕.๓๐ น. ผลสท้อนกลับทำให้ผมมีความรู้สึกใจชื้นขึ้น เนื่องจากนักศึกษากลุ่มหนึ่งได้เข้ามาหาผมและบอกให้ผมฟังว่า "ไม่เห็นอาจารย์สอนแบบเคร่งเครียดอย่างที่พี่ๆ เขาว่าเลย.....อยากให้อาจารย์แทรกเนื้อหาที่เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตให้มากๆ เหมือนที่ผ่านมา ทำให้เนื้อหาวิชาเกิดการผ่อนคลาย" ถือเป็นคำแนะนำที่ดียิ่งและผมก็มองว่านี่คือความเอื้อเฟื้อจากมิตรที่ดี ผมไม่รู้หรอกว่าผมพลาดอะไรบ้าง สิ่งที่ผมคิดคือผมทำในสิ่งที่ผมคิดว่าดี ส่วนคนอื่นว่าดีหรือไม่ อันนี้ผมตอบไม่ถูก แต่ผลสะท้อนกลับทำให้ผมรู้สึกว่าผมได้รับการตอบรับด้วยคำพูดและความรู้สึกที่ดี ผมคิดอยู่ในใจว่า ใช่สินะ ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยที่ผมเป็นผู้นั่งฟัง ผมก็ชอบอะไรๆ ที่เป็นประสบการณ์จากครูบาอาจารย์เหมือนกัน ผมจะปรับปรุงคุณภาพการเสนอเนื้อหาให้ดีเท่าที่จะทำได้ตามความสามารถ

วันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อวาน ช่วงเช้าพบนักศึกษากลุ่มการจัดการทั่วไป วันนี้สิ่งที่นักศึกษาต้องเรียนรู้คือ ๔ ทัศนะทางปรัชญาที่มีผลต่อพฤติกรรม แต่ก็มี ๒ กลุ่มที่ต้องออกอภิปรายสืบเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านไม่มีความพร้อม เมื่อถึงเวลาต้องอภิปราย นักศึกษากลุ่มหนึ่งก็ไม่พร้อมอีก ผมก็ได้แต่บอกเขาว่า เป็นสิทธิของเธอว่าจะอภิปรายหรือไม่ กำหนดการอภิปรายกลุ่มปัญหาสังคมคือสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่เธอขอเลื่อนจะอภิปรายให้แล้วเสร็จ แต่ถ้าไม่พร้อมที่จะอภิปรายก็เป็นสิทธิที่เธอจะกระทำได้ แต่เพื่อนของเธอจำนวนหนึ่งได้อภิปรายตามกำหนดการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เอาละ ถ้าไม่มีกลุ่มไหนจะทำหน้าที่ ผมก็จะทำหน้าที่ของผมต่อ" แต่ก็มีนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งที่เตรียมมาอภิปรายในสิ่งที่ค้างไว้ เขาทำทุกอย่างได้ดีทีเดียว เมื่อเปรียบเทียบกับผมเองแล้ว ผมยังรู้สึกว่าผมบกพร่องเป็นอย่างยิ่ง การที่ผมบอกว่าผมบกพร่องเพราะผมนำสื่อมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน ที่ผมทำอยู่ทุกวันคือ แผ่นใส และอุปกรณ์จำนวนหนึ่ง เครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะหิ้วขึ้นห้องบรรยายก็ไม่มี เครื่อง LCD ก็ไม่มี เรียกว่าตกยุคก็ได้หากเปรียบเทียบกับสมัยนี้ นักศึกษากลุ่มนี้นำอุปกรณ์มาพร้อมสรรพ์ เครื่อง LCD คอมพิวเตอร์ ลำโพง ตลอดถึง กลุ่มตัวอย่างที่เชิญขึ้นมาเพื่อเป็นวิทยากร (หน้าตาเหมือนโจรแต่ไม่ใช่โจร) ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและดียิ่ง เวลาล่วงเลยกว่ากำหนดการไป ๒๕ นาที เมื่อนักศึกษาทำหน้าที่จบ ประมาณครึ่งห้องรีบลุกขึ้นออกจากห้อง ผมถอนใจเฮือก ..... (เนื่องจากวันนี้ คณะวิทยาการจัดการมีกิจกรรมวิทยาการจัดการแฟร์) อึ้งกิมกี่อยู่พักใหญ่ และพูดออกไปว่า "อ้าว เราเลิกกันแล้วหรือ ไม่คิดจะทำอะไรอื่นกันก่อนหรือ"  โดยผมคิดในใจว่า เราน่าจะสรุปเนื้อหากันก่อน อย่างน้อยจะได้สาระสำคัญอะไรบ้าง เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เราต้องย้ำเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ซ้ำเป็นสิ่งที่มีอยู่ นักศึกษาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังว่า "หมดเวลาแล้ว นี่ก็เลยเวลามามาก" อีกสองสามคนก็สมทบว่า "ใช่ๆๆ"  นักศึกษาไม่ได้ฟังเสียงอื่นใด รีบเก็บสิ่งของทยอยเดินออก "ผมบอกให้เลิกแล้วใช่ไหม" ผมพูดเสียงดัง เพื่อจะให้ดังกว่าเสียงเก้าอี้ และทำเสียงแข็งคล้ายกับมีเรื่องแน่ "ก็มันเลยเวลาแล้ว และพวกหนูก็หิวแล้วด้วย" "อืม.. แล้วผมไม่หิวหรือ เพื่อนๆ ของเธอที่เสียสละมาให้ความรู้ที่ดีนี้ไม่หิวหรือ....มันหมดเวลาแล้วหรือ แล้วที่เธอเข้าชั้นเรียนไม่ทันล่ะ ...เธอคิดบ้างสิว่าสิ่งที่ควรจะเป็นมันเป็นอย่างไร" ผมเน้นเสียดัง ห้องทั้งห้องเงียบงัน แต่ละคนหยุดอยู่กับที่พร้อมกับกระเป๋า หนังสือ เป้ใส่ที่กำลังหอบหิ้วอยู่ ผมยอมรับและรู้ว่า ตอนนี้ความมีตัวตนของผมปรากฎขึ้นแล้ว ผมมีสติทุกอย่างและรู้ว่าผมพูดอไร ที่ผ่านมาใครจะเข้าห้องบรรยายเวลาไหน อย่างไร ผมไม่เคยพูดให้นักศึกษาต้องขุ่นเคืองใจ เพราะถือว่าเขาโตแล้ว อย่างวันนี้ มีนักศึกษาที่มาก่อนผมจำนวน ๓ คน ในขณะที่ผมเข้าเลยเวลาไป ๕ นาที (จากนาฬิกาที่ผมดูขณะยืนหน้าห้องบรรยายก่อนกิจกรรมการเรียนรู้) บางวันผมเข้ามาเป็นอันดับแรก ต้องมานั่งรอเจ้านาย(นักศึกษา)ของผมที่ห้องบรรยาย อีกอย่างหนึ่งที่ผมถือคือ ปัจจุบันความรู้ไม่จำเป็นต้องหาในห้องเพียงอย่างเดียว ไม่เข้าชั้นเรียนตามเกณฑ์ (ขาดเกิน ๔ ครั้ง หมดสิทธิ์สอบ) ผมก็ยังให้โอกาสในการสอบ การแต่งกายที่สำนักกิจการนักศึกษาบังคับให้อาจารย์กำชับให้นักศึกษาแต่งกายตามแบบมหาวิทยาลัย ผมก็บอกให้นักศึกษาทราบเฉพาะสัปดาห์แรกและย้ำในสัปดาห์ที่สองว่าควรแต่งกายอย่างไร จากนั้นผมก็จะนิ่งเฉย สิ่งหนึ่งที่ผมคิดคือ ผมไม่ได้ใยดีกับการแต่งกายนั้นมากมาย อยากให้เขาเป็นอิสระในการแต่งกาย เพราะคิดว่าเขาน่าจะมีอิสระ แต่แล้ววันนี้ผมมองว่า เราปล่อยปละละเลยเกินไป เราบกพร่องเกินไปแล้ว นักศึกษาเหล่านี้จึงขาดวินัย ไม่รู้เลยว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ทุกคนนิ่งงันอยู่กับที่ครู่หนึ่ง จากนั้นผมก็คิดในใจว่า ผมควรจะสั่งสอนอะไรเขาสักอย่าง จึงพูดออกไปจากความรู้สึกที่เป็นจริงหลายเรื่อง เรื่องที่ผมย้ำคือ เราน่าจะรู้นะว่าเราควรทำอย่างไร ผมจะชดเชยเวลาที่เกินไป ๒๕ นาทีนั้นให้ ส่วนสาระอื่นๆ ที่อยากให้เขารู้คือ คิดดูนะ เกี่ยวกับการเรียนรู้ นักศึกษากลุ่มนี้เขาเป็นแบบอย่างที่ดีในการเสนอข้อมูลและอุปกรณ์ การเตรียมความพร้อม เราน่าจะสรุปกันก่อน ก่อนที่จะรีบออกไปโดยไม่ใยดีอะไร เธอเรียนหนังสืออย่างไรกัน ปล่อยให้ทุกอย่างมันผ่านไป ผ่านไปนะหรือ อันนี้มันไม่น่าจะใช่การเรียนละมั้ง ...... เธอ... เสียงของผมเน้นหนัก ขณะที่ผมยืนชี้นิ้วไปที่นักศึกษาหญิงคนหนึ่งซึ่งก็ยืนหอบหิ้วของที่จะออกจากห้องเหมือนกัน ที่ผ่านมาผมสังเกตว่าเขาไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มที่จะตั้งใจศึกษานักและนักศึกษาคนนี้เอง ระหว่างที่ผมฟังกลุ่มอภิปรายวันนี้ ผมต้องหันไปมองเขาด้วยความรู้สึกบางอย่าง เธอผู้นี้คือหนึ่งในกลุ่มที่ขอเลื่อนอภิปรายครั้งที่แล้ว และวันนี้ก็ไม่พร้อมจึงขอเลื่อนเป็นสัปดาห์ถัดไปโดยให้เหตุผลว่า งานอยู่ที่เพื่อน ผมไม่ได้พูดอะไรเพราะเป็นสิทธิ์ที่เขาจะอภิปรายวันไหนก็ได้ แต่ก็บอกเขาว่า ทุกสัปดาห์เรามีสิ่งที่ต้องทำอยู่นะ งานอะไรที่ควรทำก็รีบทำอย่างปล่อยค้างไว้ เพราะมิฉะนั้นจะกระทบกับเรื่องราวอื่นๆ ระหว่างที่กลุ่มวันนี้อภิปราย เขาก็พูดเสียงดังเรื่อยเปื่อยเป็นระยะๆ (การพูดอย่างนี้ ภาษาปักษ์ใต้ว่า "คนพอได้) คำหนึ่งที่เขาพูด ถึงกับผมต้องหันไปมองเขาด้วยสีหน้ายิ้มๆ คือ "ถ้าอาจารย์ไม่ให้คะแนนเต็มกับกลุ่มนี้นะ เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วออกไปคุยกับหนูข้างนอกเลย"  ระหว่างที่ผมหันไปมองเขา ผมสังเกตเห็นว่า มีนักศึกษาหญิงซอีกคนหนึ่ง (เธออยู่ในกลุ่มนักศึกษาที่ตั้งใจเรียน) หันมามองหน้าผม คล้ายกับจะบอกว่า ทำไมเธอคนนั้นพูดอย่างนี้ จริงๆ แล้วผมไม่ได้คิดว่าผมมีเกียรติอะไรมากมาย ผมรู้แต่ว่า หน้าที่ของผมคือ การทำให้เขารู้เรื่องราวในเนื้อหาที่รับผิดชอบ และแนะนำอะไรบางอย่างที่คิดว่าเหมาะสมอันเป็นคุณค่าของชีวิตให้กับเขา แต่วันนี้ มีแขกที่เชิญมาให้ความรู้ด้วยสิ ผมควรจะสั่งสอนอะไรอีกแล้ว "เธอ...น่าจะยกเลิกวิชาที่อยู่ในความรับผิดชอบของผมเถอะ" ในห้องนิ่งเงียบ เริ่มทยอยเข้ามานั่งอย่างเรียบร้อยในชั้นเรียน ผมสอนบางอย่างให้กับเขาครู่ใหญ่ ประโยคถัดมาคือ "เอาละ เราไปทานอาหารกันได้ เลิกเรียนเท่านี้ ค่อยเจอกันใหม่สัปดาห์หน้า" ดูเหมือนแต่ละคนไม่กล้าที่จะลุกขึ้น มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ผมจึงย้ำเสียงเนิบๆช้าๆขึ้นอีกว่า ไปสิ เลิกแล้ว ค่อยเจอกันใหม่.. หรือจะไม่เลิก" พร้อมกับหัวเราะในลำคอพอให้ได้ยิน แต่ละคนจึงค่อยๆ ลุกทยอยออกไป ส่วนผมก็ค่อยเก็บของ ปิดแอร์ ปิดไฟ และเดินออกจากห้องตามนักศึกษาไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะไปยืนกล่าวคำขอบคุณกับวิทยากรตลอดถึงนักศึกษาที่พยายามทำหน้าที่ที่ดีในวันนี้

บทเรียนจากห้องเรียน

   ๑. สิ่งที่เราคิดว่าดี อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับคนอื่นก็เป็นได้

   ๒. จงทำทุกอย่างโดยที่เรารู้ตัวเสมอว่าเรากำลังทำอะไร

   ๓. บัวมีอยู่ ๔ เหล่าที่พระพุทธเจ้าค้นพบ สำหรับเหล่าที่ ๔ เป็นบัวในโคลนตม บัวเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่ หากแต่เป็นคนฉลาดที่มีความรู้เพียงแต่ไม่ยอมรับความรู้อื่นหรือความเห็นของคนอื่นเท่านั้น

   ๔. คำขอบคุณ น่าจะเป็นประโยคคำที่ดีหลังจากได้รับรู้สิ่งที่ผู้อื่นนำมาให้ด้วยความพยายาม

   ๕. คนเรามีเอกลักษณ์ต่างกัน ความรู้สึกชอบพอ ความสามารถก็ต่างกัน

   ๖. เมื่อวานพบสิ่งดี วันนี้เจอสิ่งร้าย พรุ่งนี้อาจจะดีหรือร้ายก็ได้ ไม่มีอะไรแน่นอนตายตัว

   ๗. พ่อแม่ที่ปล่อยปละละเลยให้ลูกคิดเองทำเองโดยไม่ได้ชี้แนะหรือบังคับให้เขาทำในสิ่งที่ควรจะเป็น ถือเป็นการฆ่าลูกของตนในทางอ้อม

   ๘. เพราะเราแหละไม่มีมารยาท คนที่อยู่ใกล้เราจึงขาดมารยาทไปด้วย เพราะเราแหละไม่ให้เกียรติคน คนจึงไม่ให้เกียรติเรา แม้เกียรติยศชื่อเสียงจะเป็นเพียงมายาภาพ แต่เป็นความงามอย่างหนึ่งของคน มีได้แต่ต้องมีโดยไม่คิดว่ามี

   ๙. ขงจื้อสอนสานุศิษย์ของตนว่า เมื่อเธอไม่คิดที่จะเรียน ฉันก็ไม่สามารถจะเปิดวิชาให้เธอได้" ดังนั้น ศิษย์ของขงจื้อจึงเป็นศิษย์ที่ต้องการเรียน ไม่ใช่ศิษย์ที่ถูกบังคับให้เรียน

ช่วงบ่าย ผมเข้าประชุมพร้อมกับหัวหน้าเรื่องการจัดการศึกษาทั่วไป ผลสรุปคือ วิชาศึกษาทั่วไปกลายเป็นวิชาที่นักศึกษามีสิทธิ์เลือก ประชุมเสร็จกลับมาบอกให้เพื่อนได้รับทราบ ผลสรุปการวิเคราะห์นอกรอบและเรื่องราวจิปาถะอื่นๆคือ การศึกษาปัจจุบันมีเงินเป็นตัวตั้ง เพราะฉะนั้นทำใจเสียเถอะ ยอมรับมันเถอะ วิชาที่เรารับผิดชอบคือวิชาความจริงของชีวิต (ปรัชญาและศาสนา) ที่เน้นเรื่องจริยธรรมกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต และตลอดถึงความเข้าใจชีวิตฯลฯ กลายเป็นหนึ่งตัวเลือกใน ๓ วิชาที่เป็นวิชาพื้นฐานทั่วไป ผมก็เหมือนกับทุกคน เรียนมาจากศาสตร์แขนงใดก็จะยืนยันว่าศาสตร์แขนงนั้นดี เพราะเราเห็นสิ่งที่ดีในศาสตร์แขนงที่เราเรียน จึงอยากให้สิ่งดีนี้เกิดขึ้นกับคนทุกๆคนเหมือนอย่างที่เราเห็น ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่ กับการที่จะทำให้คนทุกคนเป็นอย่างที่เราคิด อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดจริยธรรมในสังคมผมมองว่าเป็นปัญหาหลัก เท่าที่มีการเรียนการสอนการอบรม ปัญหายังไม่รู้จักจบสิ้น และนี่หากวันหนึ่งไม่มีอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคม ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ได้แต่พูด แต่ไมได้หมายถึงไม่ทำ พยายามทำแล้ว ได้แค่นี้ก็แค่นี้ ไม่มีอะไรเป็นของๆเรานี่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้นำ แต่ก็โทษไม่ได้ หากผู้ตามไม่รู้จักแข็งข้อ  ดังนั้น การปล่อยปละละเลย จะเป็นการเห็นแก่ตัวหรือเปล่าหนอ บทสรุปของพวกเราคือ ทำไปเถอะเท่าที่ความสามารถจะมี ในร้อยคน ได้ดีสักคนหนึ่งก็พอ แม้ตัวเราเองจะไม่ดีเท่าเขาก็ตาม สร้างตึกสร้างง่าย สร้างคนสร้างยาก.....

------------------------

ฉลาดมาก รู้วิธีการเอาเปรียบเพื่อนมาก ฉลาดลึก รู้วิธีการเอาเปรียบลึก ฉลาดแต่ไร้มนุษยธรรม ก็กลายเป็นมนุษย์ผู้เอาเปรียบมนุษย์ ฉลาดแต่มีมนุษยธรรม ก็กลายเป็นผู้ที่มนุษย์ยกย่อง เชิดชูในฐานะผู้นำมนุษย์

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 8645เขียนเมื่อ 2 ธันวาคม 2005 16:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 ตุลาคม 2015 10:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท