1. มาจากการติดต่อสื่อสารระหว่างอาจารย์กับศิษย์ เพราะนักศึกษากับอาจารย์มีการติดต่อสื่อสารกันน้อยมาก บางครั้งขาดหายไปเป็นเวลาเดือน สองเดือน หรือมากกว่านั้น ....
ดิฉันคิดว่าอาจารย์ไทยใช้เทคโลยีการสื่อสารให้เป็นประโยชน์น้อยมาก ไม่ใช้อินเทอร์เน็ต ไม่ใช้อีเมล ไม่เคยใช้และสื่อสารทางบล็อก โปรเฟสเซอร์ดิฉัน ใช้ทุกอย่าง โดยเฉพาะอีเมล และการแชต
ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากนักศึกษาไม่กล้าจะเข้าพบหาอาจารย์ ไม่กล้าซักถาม หรืออื่นๆ
นักศึกษาของเราในระดับโท และเอก ส่วนใหญ่ไม่ชินกับการคิดอะไรเอง ไม่ค่อยมีความมั่นใจ เหมือนคนไม่ค่อยอยากรู้อะไร แต่อยากเรียนให้ได้ชื่อว่าจบปริญญาโท หรือเอก ให้อ่านหนังสือวิชาการ อ่านแล้วก็สังเคราะห์ไม่ได้ ดิฉันว่าตรงนี้เป็นประเด็นใหญ่มาก และน่าเป็นห่วงคุณภาพของเขาเมื่อจบมา ทำให้ได้คนอีโก้สูงเต็มเมือง แต่ไม่มีความรู้ที่จะมีประโยชน์ต่องานหรือสายวิชาการที่ตนจบมา
อาจารย์ส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยก็งานยุ่งมาก ไม่จัดสรรเวลาที่ลูกศิษย์จะเข้าพบได้ ทำตัวห่างเหิน ตามแบบวัฒนธรรมไทย ทีอาจารย์จะต้องดูสูงส่ง ลูกศิษย์ก็ไม่กล้าเข้าพบ หรือกว่าจะให้พบก็นัดกันยาวนาน หากไม่มีเวลาพบกันแบบเห็นหน้า ยิ่งต้องหาทางเชื่อมกันด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารนะคะ
2. องค์ความรู้ที่มีอยู่ในตัวนักศึกษารุ่นพี่ ที่จบการศึกษา ไปแล้ว รวมทั้งเทคนิคต่างๆ ในการศึกษา มันก็ได้หายไปพร้อมกับนักศึกษาคนนั้น แทนที่จะนำความรู้นั้นมาถ่ายทอด แลกเปลี่ยนกับรุ่นน้อง เพื่อเป็นเทคนิคที่ใช้ในการทำโปรเจค
นี่ล่ะค่ะคือจุดที่จะช่วยได้ อาจารย์คงต้องคิดหาเวทีที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ในการเรียนรู้นี้ ดิฉันคิดว่า "วิธีเรียนรู้" มีความสำคัญไม่น้อยกว่าตัวความรู้ค่ะ ทำให้เสียเวลาด้วยค่ะ เช่นวิธีการค้นคว้า วิธีการเสนองาน วิธีการทำให้รู้สึกดีระหว่างการเป็นอาจารย์กับศิษย์ การสร้างให้เกิดโอกาสการได้พบกัน เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันนี่แหละค่ะ เป็นส่วนหนึ่งของการใช้กระบวนการเคเอ็ม อาจารย์อาจเป็นผู้เริ่ม แนะนำ อำนวยให้เขา และอาจารย์เองก็จะเกิดความเข้าใจลูกศิษย์มากขึ้น เรียนรู้ไปด้วยกันค่ะ
3. เครือข่ายของกลุ่มนักศึกษา ที่เรียนในสาขานี้ไม่มีให้เห็นเท่าที่ควร ทั้งๆที่น่าจะมี เช่น เครือข่ายนักศึกษาที่เรียนในศาสตร์เดียวกัน เพื่อจะได้แลกเปลี่ยน ความรู้ระหว่างกัน เพื่อสามารถนำความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในการเรียนของแต่ละแห่ง
เรื่องนี้ดิฉันและอาจารย์หลายท่านเคยกล่าวถึงเมื่อมีการเสวนาวิชาการด้านการจัดการความรู้กันค่ะ ดิฉันว่าเรื่องเครือข่ายระหว่างมหาวิทยาลัยนี่หากสร้างได้จะดีมากเลยค่ะ ที่จริงหากเป็นไปได้เร็วก็คือเครือข่ายของอาจารย์ที่อยู่ในศาสตร์เดียวกัน บรรยากาศของการประชุมประจำปีเพื่ออัพเดทในสายวิชาการเดียวกันในเมืองไทยมีหรือเปล่าดิฉันไม่ทราบ
ยกตัวอย่างดิฉันจบมาในทางScience Communication ในต่างประเทศมี International Network on Public Communication of Science and Technology ซึ่งคนในวงการสายวิชาการนี้จะมีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการประชุมนานาชาติ ทุกสองปี ทั้งคนทำงาน อาจารย์ที่สอนด้านนี้ นักศึกษาปริญญาโท เอก จะถูกอาจารย์ของตนผลักดันให้เข้าร่วมหาความรู้ในงานนี้และเสนอผลงานวิชาการของตนด้วย และระหว่างครูอาจารย์ผู้สอนด้านนี้เขาก็มีเน็ตเวิร์กกันในยุโรป คุยกันเรื่องหลักสูตร วิธีสอน แนวคิดใหม่ๆที่เกิดขึ้นในสายวิชาการนี้ เรียกว่า European Network of Science Communication Teachers (ENSCOT) เป็นต้น ทั้งอาจารย์และศิษย์ต้องแอคทีฟมากเลยค่ะ
4. อื่นๆ
ซึ่งก่อนหน้านี้ดิฉันเองก็คิดว่า เราจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร จนกระทั่งมาได้ยินคำว่า KM ขึ้นมา แต่ดิฉันก็ยังไม่แน่ใจว่า KM จะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร
KM เป็นเพียงเครื่องมือ ที่ต้องนำไปประยุกต์ใช้ จะใช้เคเอ็มได้ดีต้องเริ่มที่ความรักที่จะพัฒนางานที่ทำอยู่ มีตัวอย่างมากมาย เริ่มเล็กๆจากความสำเร็จที่มีอยู่และหากัลยาณมิตร อยากชวนอาจารย์เข้าร่วมงาน มหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติครั้งที่๔ ปลายเดือนี้ ดูรายละเอียดได้จากในเว็บไซท์ของสถาบันการจัดการความรู้นะคะ
ดังนั้นในฐานะที่อาจารย์ มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้ อาจารย์พอจะแนะนำหรือให้ข้อเสนอแนะที่ดี ได้หรือไม่ค่ะ จะขอบพระคุณไว้ล้วงหน้าค่ะ
ดิฉันอาจไม่ได้วยให้คำตอบที่อาจารย์ต้องการ การจัดการความรู้ไม่มีสูตรสำเร็จ อาจารย์ต้องลงมือ ลงแรงแสวงหาคำตอบในการมาเดินเส้นทางสายนี้ด้วยกันจะพบกัลยาณมิตรมากมายค่ะ ท่านอาจารย์ Handy ที่แสดงความคิดเห็นไว้ก่อนหน้าอาจารย์ก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์มาก อาจารย์อาจตามไปที่บล็อกของท่าน อ่านเรื่องราวต่างๆดู แล้วจะเกิดกำลังใจค่ะ
ขอให้มีพลังในการช่วยพัฒนาเยาวชนของชาติต่อไปนะคะ