เรามาพูดถึงแนวความคิดบางอย่างในด้านศาสนาและด้านวัฒนธรรม ซึ่งจะทำให้เราสามารถค้นหากฎแห่งความสมดุลได้
(1) ซูเราะฮฺ 3:112 ได้สอนความสัมพันธ์ใน 2 รูปแบบ นั่นคือความสัมพันธ์กับพระเจ้าและความสัมพันธ์กับมนุษย์ ความสัมพันธ์กับพระเจ้าจะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับมนุษย์ อิบาดะฮฺ (การเคารพภักดีพระเจ้า) จะต้องติดตามด้วยมุอามาละฮฺ (สังคม) ศาสนาจะสมดุลกับวัฒนธรรม ความสมดุลระหว่างศาสนากับวัฒนธรรมจะนำสู่ความสมดุลระหว่างอาคิเราะฮฺ (ปรโลก) กับดุนยา (โลกนี้)
(2) การกระทำทุกอย่างจะต้องตั้งเจตนาเพื่ออัลลอฮฺ การกระทำเช่นนี้จักนำประโยชน์สุขแก่มนุษย์เป็นการกระทำที่มุ่งภักดีต่ออัลลอฮฺซึ่งจะมีผลสะท้อน (ฮิกมะฮฺ) สู่มนุษย์เองความสมดุลนี้จะประมวลในคำที่ว่า "เพราะอัลลอฮฺ เพื่อมนุษย์"
(3) อีมาน (ความศรัทธา) จะต้องสมดุลกับอามัลศอลิหฺ (การประกอบการดี) ความศรัทธาอย่างเดียวจะไม่มีความหมายถ้าไม่มีผลให้เกิดเป็นอามัล (การปฏิบัติ) การศรัทธาที่ไม่มีการปฏิบัติเสมือนต้นไม้ที่ปราศจากดอกผล การปฏิบัติแต่เพียงอย่างเดียวไม่มีความหมายเช่นเดียวกับต้นไม้ที่มีผลเน่าเหม็น อีมาน หรือความศรัทธาคือทฤษฎี ส่วนอามัลคือภาคปฏิบัติ อีมานหรือความศรัทธาเป็นหลักประการแรกในคำสอนของอิสลาม อามัลศอลิหฺหรือการประกอบการดีเป็นจุดหมายปลายทางของคำสอนอิสลาม ความสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ปรากฏในอัลกุรอาน ด้วยอายะฮฺ หรือโองการที่มีความหมายว่า "บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดีทั้งหลาย"
(4) หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอิบาดะฮฺ (การเคารพภักดีพระเจ้า) นั้นจะมีลักษณะเข้มงวดที่สุด ไม่มีการลดหย่อน แต่ในความเข้มงวดก็มีการผ่อนผันเพราะอัลลอฮฺทรงไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้ใดที่ไม่อาจแบกรับได้ (ดูอัลกุรอาน 2:286) เช่น ในการละหมาดมีการยืนตรง (กิยาม) การยืนตรงนี้ไม่อาจลดหย่อน แต่ถ้าหากผู้ละหมาดไม่อาจยืนตรงได้ก็อนุมัติให้เขานั่งได้ ถ้าไม่สามารถนั่งได้ก็อนุมัติให้นอนละหมาดได้
(5) มัสยิดมีลักษณะเป็นสถานที่บริสุทธิ์ในฐานะเป็นศูนย์แห่งการทำอิบาดะฮฺ (การเคารพภักดีพระเจ้า) นอกจากนี้ยังมีลักษณะเป็นศูนย์มุอามาละฮฺ หรือศูนย์ทางสังคมด้วย
(6) เราจะทำอิบาดะฮฺอย่างไรนั้นอัลลอฮฺเป็นผู้กำหนด เราจะดำเนินการทางวัฒนธรรมอย่างไรมนุษย์เป็นผู้กำหนด อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจากสิ่งที่ไม่มี (ดูอัลกุรอาน 16:40) แต่มนุษย์สร้างสรรค์จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว มนุษย์คิดสร้างจากสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสร้างนั่นคือเปลี่ยนแปลงโลก อัลลอฮฺทรงสร้างโลกและจักรวาล มนุษย์เป็นคอลีฟะฮฺ (ตัวแทน)ของพระองค์บนโลกนี้
(7) หลักการอีมาน (หลักการศรัทธา) จะถูกทำให้เกิดดุลโดยหลักการอิสลาม อีมานจะเป็นเรื่องในใจ ใครมีอีมานหรือไม่เราไม่อาจรู้ได้ แต่อิสลามจะปรากฏออกมาในรูปของการกระทำ หลักการอิสลามจึงเป็นผลแสดงออกมาของอีมาน (ความศรัทธา)
(8) ตักกวา (ความยำเกรง) เป็นปลายสุดของศาสนา เป็นที่มาของวัฒนธรรมทั้งปวง ตักวาเป็นท่าทีการดำเนินชีวิตที่ถูกหล่อหลอมจากศาสนา มีลักษณะเกิดภายในจิตใจและจะกลายเป็นการปฏิบัติในวัฒนธรรมหรือสังคม การตักวา (Passive) จะส่งผลให้เกิดการปฏิบัติ (Active)
(9) มนุษย์เป็นบ่าวของพระเจ้า มนุษย์เป็นคอลีฟะฮฺ (ผู้แทน) ของพระองค์ เป็นผู้ปกครองโลก มนุษย์จะมอบตนต่ออัลลอฮฺ แต่นอกจากอัลลอฮฺแล้วมนุษย์เป็น"นาย"ต่อตนเอง มนุษย์จะผูกพันต่อพระเจ้า แต่กับสิ่งอื่นมนุษย์จะมีอิสรภาพ มนุษย์จะเกรงกลัวอัลลอฮฺและหาญกล้ากับสิ่งอื่น
(10) ซะกาตนั้น"วายิบ" แต่ไม่เป็นการ"บังคับ"โดยพฤตินัยแล้วไม่มีการบังคับ แต่โดยนิตินัย (ทางจิต) มีการบังคับไม่มีอำนาจภายนอกใดที่จะไปบังคับให้คนเขาบริจาคได้แต่จิตใจที่รู้จักรับผิดชอบจะบังคับจากภายในเพื่อบริจาค
(11) "ไม่มีการบังคับ"ในการนับถือศาสนา แต่ถ้าผู้ใดเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามแล้วคำสอนของอิสลาม "บังคับเขา" ให้ประกอบการดี (อามัล)
(12) มนุษย์แสวงหา "ความบริสุทธิ์" แต่จะต้องไม่แยกตัวออกจากสังคมซึ่งมากไปด้วย "ความสกปรก" ในการแสวงหาความบริสุทธิ์นักบวชแคทอลิกจะต้องครองความเป็นโสดตลอดชีวิต แต่มุสลิมที่แสวงหาความบริสุทธิ์เขาจะต้องแต่งงานใช้ชีวิตท่ามกลางสังคมที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและการท้าทาย มนุษย์จะต้องมอบตน (เป็นบ่าว) ต่ออัลลอฮฺ แต่ต้องไม่เป็นนักพรตนักบวช
ไม่มีความเห็น