ชายคนหนึ่งขอร้องเพื่อนสนิททั้งสาม ได้แก่ หมอ นักสังคมสงเคราะห์ และทนายความ ว่าเมื่อใดที่เขาตายไป ให้นำเงินหนึ่งล้านบาท ในซองที่เขากำลัง จะมอบให้เพื่อนแต่ละคนนี้ ใส่ลงไปในโลงศพด้วย ก่อนที่จะเผา เพราะเขาอยากจะมีเงิน ไว้ใช้ในชาติหน้า สัปดาห์ต่อมา ชายคนนี้ได้ตายลง ด้วยอุบัติเหตุ ในงานเผาศพ เพื่อนทั้งสามก็ได้ใส่ซอง ที่ชายคนนี้มอบให้ ลงไปในโลงทั้ง 3 ซอง อย่างที่ได้ตกลงกันไว้
เมื่องานเผาศพ ผ่านไปได้สัปดาห์หนึ่ง คนทั้งสามบังเอิญมาเจอกันในบาร์ จึงชวนกันกินเหล้า นั่งไปได้สักครู่ นักสังคมสงเคราะห์เริ่มรู้สึกละอายใจ จึงสารภาพออกมา "พวกนายจำเรื่องซองเงิน หนึ่งล้านนั่นได้ไหม พวกนายจะด่า จะว่าเราก็ได้นะ เราขอสารภาพว่า เราใส่ลงไปแค่ 10,000 บาท เท่านั้นเอง แม้เงินที่เหลือนั้น ส่วนหนึ่งเราเอาไปบริจาค ให้พวกเด็กกำพร้าเมื่อวานนี้ แต่เรายังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย" ฝ่ายหมอได้ยินเข้า จึงรีบพูดขึ้นว่า "ก็ดีแล้วที่นายพูดขึ้นมา เราก็ขอสารภาพเหมือนกัน ว่าเราเหลือเงินไว้ในซองแค่ 8,000 บาท เท่านั้นเอง เราเอาเงินไปใช้ส่วนหนึ่ง แล้วก็บริจาคให้มูลนิธิโรคไต"
ฝ่ายทนายนั่งฟังอยู่นาน ทนไม่ไหวจึงโวยวายขึ้น "อะไรกันเนี่ย พวกนายเป็นเพื่อนประเภทไหนกัน ไอ้จ้อยมันอุตส่าห์ไว้ใจพวกเรา แต่แกกลับโกงคนตายอย่างงี้เรอะ ให้ตายเถอะ ฉันจะบอกพวกแกไว้เอาบุญนะ ว่าในซองนั่นน่ะฉันใส่เงินครบ ทุกบาททุกสตางค์ตามที่จ้อยมันสั่ง แถมยังเพิ่มเงินของฉันให้อีก 300,000 บาท"
"อะไรนะ นายหมายความว่า ทั้งหมดหนึ่งล้านสามแสนบาทถ้วนๆ เลยเรอะ" เพื่อนทั้งคู่ถาม อย่างไม่เชื่อหูตนเอง
ทนายนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนตอบเบาๆ "อืม! ใช่ ถ้วนๆ เลย แต่ฉันเปลี่ยนเป็น เช็คเงินสดว่ะ เพื่อให้สะดวก ขณะเดินทางสำหรับไอ้จ้อย"
ชายคนหนึ่งเพิ่งย้ายบ้านเข้าไปอยู่ในชนบท วันหนึ่งเขาจำเป็นต้องออกไป หาซื้ออาหารให้ไก่ที่เลี้ยงไว้ เขาพบร้านเพียงร้านเดียว ที่อยู่ห่างไปประมาณ 5 กิโลเมตร เมื่อเข้าไปในร้าน เขาถามหาอาหารไก่ เจ้าของร้านรีบหยิบมาให้ แต่เมื่อเขาจะจ่ายเงิน
"คุณจะจ่ายเงินได้ ก็ต่อเมื่อคุณแสดงให้เราเห็นว่า คุณเลี้ยงไก่จริงๆ นะครับ ไม่งั้นทางเราจะทราบได้อย่างไร ว่าคุณจะไม่เอาไปกินเอง หรือเอาไปใช้อย่างอื่น" เจ้าของร้านกล่าว
ชายคนนั้นคิดว่า มันเป็นเรื่องไร้สาระที่สุด ที่เคยพบมา จึงเกิดการโต้เถียงกัน แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้ ขับรถกลับบ้าน ตรงไปที่กรงไก่ แล้วอุ้มไก่ตัวหนึ่งออกมาขึ้นรถ แล้วขับกลับไปที่ร้านเดิม เมื่อเจ้าของร้านแน่ใจแล้ว ว่าเขาเลี้ยงไก่จริง จึงยอมขายอาหารไก่ให้เขา
สัปดาห์หนึ่งผ่านไป อาหารสุนัขเกิดหมด ชายคนนั้นจึงต้องขับรถ ไปที่ร้านเดิม ด้วยความสะเพร่า เขาลืมอุ้มสุนัขมาด้วย เมื่อเจ้าของร้านยืนกราน ที่จะต้องเห็นตัวสุนัขก่อน จึงจะยอมขายให ้เขาจึงต้องย้อนกลับมา อุ้มสุนัขขึ้นรถไปที่ร้านเดิม เมื่อเจ้าของร้านแน่ใจแล้ว จึงยอมรับเงินของเขา พร้อมกับส่งอาหารสุนัขให้
สองสามวันต่อมา ชายคนนี้ได้ไปที่ร้านเดิมอีกครั้ง คราวนี้เขาถึอกล่องรองเท้า ที่ปิดฝาไว้อย่างมิดชิด แต่เจาะรูเล็กๆ ไว้รูหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปในร้าน เขาวางกล่องลงบนเค้านเต้อร์ "ลองเอานิ้วแหย่ลงไปในรูนี้ จิ้มดูแล้วเอามาดมซิ" ชายคนนั้นบอกเจ้าของร้าน ด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อเจ้าของร้านแหย่นิ้วลงไป แล้วควักออกมาดมดูก็ร้องลั่น "เฮ้ย! นี่มัน..."
"เออ ขอซื้อกระดาษชำระม้วนนึงซิ"
ขำ ขำ ขำ ....
ดีใจที่เห็นรอยยิ้มของทุกคนครับ
ขอบคุณ อ.ย่ามแดงครับ
เพิ่งมีโอกาสเข้ามาเยี่ยม ...อ่านแล้วขำ..จริงๆสนุกมากคลายเครียดได้ดีเลย ขอบคุณครับ
ขอบคุณคุณวิทย์ ที่แวะมาทักทายครับ
อืม เรื่องที่สองนี้ ชวนทั้งฮา ทั้งยี้ เลยอ่ะค่ะ นึกภาพออกเลย บรื้อ... แต่ขำมากๆๆ สมน้ำหน้าเจ้าของร้านขายของชำ 555
ขอบคุณครับ คุณ Amy
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อยากรู้อยากเห็นได้พอสมควร แต่อย่าชอบสงสัยมากไปก็แล้วกัน