เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2550 ดิฉัน และคณะ ได้ไปร่วมจัดกระบวนการ " เพื่อ ชี้แจงและทำความเข้าใจ" กับทีมงานของสำนักงานเกษตรจังหวัดนครนายก และกลุ่มเกษตรกร และ "เพื่อทำงานวิจัยชุมชน" ในเนื้อหาของวิสาหกิจชุมชน ซึ่งก่อนจะไปเราก็ได้มีการมอบหมายและแบ่งสรรงานของแต่ละคนที่จะทำในทีมงาน
ในภาคเช้า เมื่อไปถึงก็ได้มีการแนะนำทีมงาน และเจ้าของพื้นที่ก็ได้ทักทายและต้อนรับกัน หลังจากนั้นเราก็ได้เริ่มกระบวนการโดยหัวหน้าทีมเล่าถึง 1) เป้าหมายของการมาครั้งนี้ นั้น...เพื่อมาชี้แจงและทำความเข้าใจเกี่ยวกับงานวิจัยชุมชนของวิสาหกิจชุมชนกับจังหวัด 2) เพื่อมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ข้อมูลระหว่างกัน และ 3) เพื่อทำความรู้จักกับทีมงานวิจัย ของจังหวัด/พื้นที่ ส่วนการทำงานที่เกิดขึ้นนั้นเราจะใช้ “วิจัยชุมชน หรือ PAR” และ ใช้ “การจัดการความรู้ หรือ KM” มาเป็นเครื่องมือในการทำงานร่วมกัน หลังจากนั้นก็ได้นำเสนอตัวอย่างผลงานวิจัยชุมชนเรื่อง Food Safety ของปีงบประมาณ 2549 แล้วก็เปิดเวทีปรึกษารือร่วมกันว่า “เห็นเป็นอย่างไรบ้าง?” แล้วก็ให้จังหวัดนำเสนอข้อมูลและสถานการณ์ของวิสาหกิจชุมชน ซึ่งได้ทำการซักถามและแลกเปลี่ยนสถานการณ์ร่วมกัน หลังจากนั้นก็เปิดเวทีให้อำเภอ "ช่วยเล่าข้อมูลของกลุ่มที่จะไปในช่วงบ่ายนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?" เช่น กลุ่มเขาทำอะไรบ้าง? มีสมาชิกกี่คน มีปัญหาอุปสรรคอะไรบ้าง และกลุ่มเขาต้องการพัฒนาหรืออยากทำอะไรต่อไป? ซึ่งมีการซักถาม โต้ตอบ และอภิปรายร่วมกัน ซึ่งดิฉันก็ทำหน้าที่ฟังเขาคุยกันและฟังเขาเล่ากัน แล้วก็จับประเด็นมาเขียนและสะท้อนข้อมูลทั้งหมดกลับสู่บุคคลเป้าหมายเพื่อให้เติมเต็ม
ส่วนในภาคบ่าย เราก็ได้ชวนกันลงพื้นที่เพื่อไปพูดคุยกับ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนจิกสูง ตำบลปากพลี จังหวัดนครนายก เพื่อไปหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์กลุ่มเป็นอย่างไร? ตอนนี้กลุ่มทำกิจกรรมอะไรบ้าง? ขายสินค้าที่ไหน? ปัญหาอุปสรรคที่กลุ่มพบ และทางออกที่กลุ่มทำมีอะไรบ้าง? โดยใช้เครื่องมือ ได้แก่ Mind Map ปฏิทินรายรับ/รายจ่าย ปฏิทินกิจกรรม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และวิถีการตลาด เป็นต้น ส่วนการสรุปข้อมูลเราได้ใช้ตารางและวิถีการตลาด สิ่งที่เราพบก็คือ 1) เจ้าหน้าที่มีความเป็นห่วง ว่า “เกษตรกรจะทำไม่ได้และเขียนไม่เป็น...จึงเขียนให้เองดีกว่า ...และเข้าไปอยู่ในกลุ่มด้วย 2) เกษตรกรติดเจ้าหน้าที่ ก็จะเรียกหา...ให้เจ้าหน้าที่เขียนให้ และ 3) การซักถามเกษตรกรขณะทำงานกลุ่มนั้น เจ้าหน้าที่จะซักถามตลอดเวลาจนเกษตรกรไม่คอยได้สนทนากันเอง แต่จะหันมาตอบคำถามของเจ้าหน้าที่แทน ดังนั้นหลังจากเสร็จงานเราก็ได้มาพูดคุยกันเรื่องนี้ว่า 1) เชื่อเถอะว่า.....เกษตรกรเขาเขียนเป็นและเขียนได้ 2) ถ้าเราทำใจไม่ได้ที่จะประกบเกษตรกรในกลุ่มเพราะเป็นห่วงก็ให้....เดินหนีไปไกล ๆ เสีย และ 3) เราจะต้อง...รู้จักและใช้เครื่องมือ...ในการชวนชาวบ้านคุยและเก็บข้อมูลเป็น แล้วจะทำให้เราจัดกระบวนการได้ไม่เหนื่อย เพราะศูนย์กลางจะอยู่ที่เกษตรกรทันที ฉะนั้น สิ่งนี้คือ งานที่เราจะมาทำร่วมกันภายใต้ “การวิจัยชุมชน” ในเนื้อหาวิสาหกิจชุมชน
ซึ่งดิฉันก็เห็นว่า...เป็นสิ่งที่ดีที่เราได้เห็นและได้สัมผัสกับการทำจริงของเจ้าหน้าที่ในขณะทำกระบวนการกลุ่ม ซึ่งทำให้เราสามารถให้คำปรึกษากับเจ้าหน้าที่ในการทำงานกับชุมชนได้โดยการ “ทำให้ดู” แต่ตอนนี้ดิฉันเริ่มจะประสบปัญหาแล้วว่า.....เมื่อเราทำอะไรได้? เราก็จะต้องเป็นผู้ทำสิ่งนั้น ๆ ไปเรื่อย ๆ เช่น การจับประเด็น การสรุป เป็นต้น ฉะนั้นจึงได้พูดกับทีมงานว่า “แค่พี่ ๆ กล้าออกมาหน้าชั้นหรือหน้าห้อง....หนูก็ดีใจแล้ว” และ “เมื่อพี่ ๆ จับปากกาเคมีเขียน...พี่ก็จะผ่านประสบการณ์ขั้นที่ 1 แล้วค่ะ....ส่วนจะใช่หรือไม่ใช่ จะถูกหรือไม่ถูก จะทำเป็นหรือไม่เป็นนั้น ก็อยู่ที่การฝึกฝนตนเอง” และเมื่อผ่านครั้งที่ 1 เราก็จะกล้าทำงานดังกล่าวเพิ่มขึ้น เพราะมีประสบการณ์มาบ้าง
แต่งานชิ้นนี้ ของจังหวัดนครนายกยังไม่เสร็จและครั้งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นกับการทำงานที่เหลือกับการพัฒนาทีมงานร่วมกันกับเกษตรกร แต่เป็นการเริ่มต้นที่มีบรรยากาศที่ดีต่อกัน และได้ค้นพบว่า “มีคนที่มีประสบการณ์เรื่องการวิจัยชุมชน (PAR)” มาแล้วด้วย เราจึงได้พี่เลี้ยงเพิ่มขึ้นมาอีกค่ะ.
ไม่มีความเห็น