ถึงคราว เอาลูกสาวเข้าโรงเรียน(แนวพุทธ)


เข้าเรียน

พาภรรยากับลูกสาวไปสัมภาษณ์ เพื่อจะเอาลูกสาวเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลแนวพุทธใกล้บ้าน ด้วยหวังให้ลูกสาว โตขึ้นอย่างสามารถช่วยตัวเองได้ ใจหนึ่งก็คิดอยากให้ลูกเรียนแบบ Home School (ไทยเรียก "บ้านเรียน" ฟังแล้วแปลก ๆ ) พร้อมกันไป ด้วยความที่ว่าเราเองก็อยู่ในครอบครัวครูมาตั้งแต่เล็ก ๆ (ครูสมัยก่อน ความเป็นครูเยอะกว่าครูสมัยนี้ ไม่อยากบอกว่าเพราะอะไร เอาไว้มีเวลาจะมาระบายความอัดอั้นตันใจ) ทำให้รู้สึกว่า เราก็น่าจะมีศักยภาพในการถ่ายทอดความรู้ ให้กับลูกเราได้พอสมควร (รุ่นน้อง เราก็เคยสอนวิชาชีพจนเขาเอาไปทำงานได้มาแล้ว ลูกตัวเองก็น่าจะได้ล่ะน่า) ก่อนจะพาไปสมัครเรียน ก็เลยหาข้อมูลเกี่ยวกับ Home School มาศึกษาดู  ทำให้รู้ว่าจริง ๆ แล้ว Home School จะหนักไปที่ผู้ปกครองต้องเป็นผู้จัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ เพราะมันจะไม่มีเวลาที่ตรงตัวแน่นอน แต่ที่สำคัญคือผลสำเร็จที่ลูกหลานได้รับ คือความเข้าใจใจเรื่องที่เรียนอย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง ซึ่งพอเข้าไปสัมภาษณ์ ที่โรงเรียน เขาก็บอกในแนวที่ว่าโรงเรียนต้องการให้เด็กรู้จักช่วยตัวเอง ทำอะไรได้ด้วยตัวเอง แนวของการเรียน ก็จะเน้นไปที่ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียน ด้วยการปฏิบัติจริง ซึ่งกระทำได้จาก การวางแผนการสอน พอเรามาสังเคราะห์ (ถูกไหม เห็นส่วนใหญ่คนใช้วิเคราะห์ หมายถึงแยกแยะ แต่เราไม่ได้แยกแยะ เราเอามาคิดรวมกัน ก็ต้องเป็นสังเคราะห์ใช่ไหม) ดู ทำให้เห็นว่า เรื่องที่ได้เรียนรู้จริง รู้ลึก และเข้าใจ ก็จะได้จากการปฏิบัติจริง แต่ เรื่องที่ไม่ได้ปฏิบัติจริง ก็จะได้รู้กว้าง ๆ ซึ่งถ้าการสอนสัมฤทธิ์ผล เด็กก็จะรู้จะคิดที่จะประเมินเรื่องราว นำมาปะติดปะต่อ ให้สามารถรู้ได้กว้างและลึกได้เช่นกัน เพราะผลสัมฤทธิ์ของการเรียนทั้งสองแบบนี้ คือ กระตุ้นให้เด็กใฝ่รู้ รู้จักคิดอย่างเป็นแบบแผน ได้ออกแรงทำจริง ปฏิบัติเพื่อที่จะได้มาซึ่งความรู้ และทักษะความสามารถที่จะทำได้จริง แต่ถ้าในทางกลับกัน ถ้าเด็กไม่สามารถก้าวถึงผลสำเร็จได้ เด็กจะถูกทิ้งให้อยู่ในความรู้ เพียงเฉพาะด้าน ไม่แตกฉาน ไม่กว้าง ซึ่งอันนี้ มีผลจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กเป็นอย่างมาก เช่น ผู้ใหญ่มีความเชื่ออย่างงมงาย เมื่อเจอเด็กที่เรียนใจแนวนี้ถาม ก็จะตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้รู้กระจ่าง แต่จะบังคับให้เด็กเชื่อตาม อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง หรือ ผู้ใหญ่สอนให้เด็กกลัวสัตว์เลี้ยง ให้กลัวว่าจะโดนทำร้าย แต่ไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไมต้องกลัว เด็กก็จะซึมซับความกลัว ว่าต้องกลัว เมื่อเจอสัตว์เลี้ยงก็จะเลี่ยง หรือหนี แทนที่จะสอนให้เด็กรู้จักว่าสัตว์เลี้ยง (หรือไม่เลี้ยง) ส่วนใหญ่กลัวคนจะเข้าไปทำร้าย และจะตอบโต้เมื่อจวนตัว ให้เด็กรู้ว่า เราไม่ควรเข้าไปแกล้งหรือเข้าไปเล่นด้วย หากไม่คุ้นเคย เพราะเขาอาจเข้าใจผิด และอาจจะตอบโต้ หรือทำร้ายเราได้ แม้แต่การที่มดกัด เพราะเราเข้าไปขวางทางเดินของพวกเขา หรือไปใกล้รังของพวกเขา ก็เนื่องจากเราไปรบกวนเขา เขาจึงตอบโต้ ไม่ใช่ เพราะเคยโดนกัด เมื่อไรที่เห็นมด ก็จะเข้าไปบี้ ไปฆ่ามด อย่างนี้เป็นต้น

ฉนั้น ถ้าจะเอาลูกหลานเข้าเรียนในแนวนี้ (ไม่ว่าจะเป็นแนวพุทธ หรือ บ้านเรียน) ผู้ใหญ่ ที่เป็นสิ่งแวดล้อมของเด็ก ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าแนวทางที่จะให้เขาเรียน เขารู้นั้นเป็นแบบใด เพื่อจะได้ปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน ให้ได้สัมฤทธิ์ผล ตามต้องการ

ส่วนลูกสาวนั้นจะได้เข้าเรียนตามต้องการหรือไม่ก็คงต้องรอดูผลการสัมภาษณ์ นั่นแหละ

หมายเลขบันทึก: 85311เขียนเมื่อ 21 มีนาคม 2007 02:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤษภาคม 2012 18:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ดีแล้วครับ อย่าน้อยๆ โรงเรียนแนวพุทธก็ของคนไทย สอนลูกเราแบบคนไทยสังคมคนไทยควรฟูมฟักด้วยคนไทยที่มีจรรยาบรร

ผมขอเชีบร์โรงเรียนแนวพุทธอีกที่หนึ่งโรงเรียนสยามสามไตร(อนุบาลหนูน้อยและบ้านพุทธประถม) เป็นโรงเรียนในกลุ่มผู้ริเริ่มแนวพุทธหรือวิถีพุทธ สอนเด็กไม่รีบเร่งโต แต่โตอย่างผู้มีปัญญา พึ่งพาตนเองได้ แถมยังพาพ่อแม่ไปปฎิบัติธรรม

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท