มอนอของเรา


        เมื่อคืนดิฉันเช็คเมล์พบว่ามีเมล์หัวข้อเดียวกันจากคนใน มน. ส่งมาให้ซ้ำกันโดยใช้หัวข้อว่า "มอนอของเรา" หลังจากอ่านจบพร้อมๆ กับรอยยิ้มหลังจากนึกภาพตามในแต่ละหัวข้อ  ดิฉันคิดทบทวนไปมาหลายตลบว่าควรจะนำมาลงใน blog ดีมั้ย  จนถึงเช้าจึงตัดสินใจนำมาลง ... ก่อนอื่นดิฉันต้องขอตั้งกฎกติกาในการอ่านบันทึกนี้ก่อนนะคะว่าอ่านแล้วห้ามคิดมากเพราะบันทึกนี้ลงเพื่อความบันเทิงในบางแง่มุมของคนบางกลุ่มเท่านั้นค่ะ ... 

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

แด่น้องรัก
         ข้อความดังกล่าวทำให้ คุณพี่รหัส 43 รู้สึกหวนระลึก ถึงมอ.ยิ่งนัก คงมีโอกาสสักครั้งที่พี่น้องเหล่า มน.จะได้เจอกันอย่างพร้อมหน้า พร้อมกับบรรยากาศใหม่ๆ  ในความทรงจำเก่าๆๆ

  • มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก มีชื่อเล่นว่า มน. (มอ-นอ) (NU) เป็นมหาวิทยาลัยที่ร้อนและแดดแรงมากๆ  ที่สุดในสยามประเทศ  (ร้อนไปได้ไง ซัมเมอร์ 43 องศาและแดดแรงขนาดมีศูนย์พลังงานแสงอาทิตย์)
  • เราเรียกนักศึกษาที่นี่ว่า “นิสิต”
  • บัตรนิสิตเป็นบัตรที่เราไม่อยากจะให้ใครได้เห็นเพราะรูปนั้นมันนรกมากช่างกล้องที่ถ่ายบัตรช่างเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการถ่ายรูปอย่างสูงจริงๆ
  • สิงที่นิสิตเคารพบูชาที่สุด  คือ  พระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในท่าประทับนั่ง  พระหัตถ์ขวาทรงสุวรรณภิงคารหลั่งทักษิโณทก เราเรียกที่นี่ว่า “ลานสมเด็จ”  ลานสมเด็จนี่เองจะมีช่วงคึกคักมากๆ ที่สุดในรอบปี คือ สอบมิดเทอม และช่วงสอบไฟนอลเท่านั้น
  • สิ่งที่นิสิตมักบนสมเด็จเสมอ  คือ  วิ่งรอบลานสมเด็จ (เมื่อก่อนเล็กกว่านี้ ปัจจุบันขยายกว้างขึ้น) ถูลานสมเด็จ (อันนี้สมเด็จท่านอนุโลมให้เอาเพื่อนมาช่วยถูได้) ดอกไม้สีสันสวยงามต่างๆ ตุ๊กตาไม้ที่เป็นช้าง ม้า และไก่ชน (เท่านั้น)
  • ดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย คือ ดอกเสลา ซึ่งเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธ์มากๆ บางคนเรียนมา สี่ปียังไม่เคยเห็นดอกเสลาซะที
  • หน้ามหาวิทยาลัยยังทำนา และเลี้ยงเป็ดอยู่
  • ถนนหน้ามหาวิทยาลัยบางทีชาวบ้านก็เอาข้าวเปลือกมาตากซะงั้น
  • นิสิตมน.เกือบทุกคนต้องรู้จักเจ๊เสริฐ (กะเทยสมรภูมิที่ขายกับข้าวตามสั่ง)
  • มน.มีชาไข่มุกของป้าที่อร่อยสุดๆ ของแคว้นแดนไทยซึ่งในกรุงเทพฯ ยังหากินได้อร่อยไม่เท่า
  • ช่วงใกล้รับปริญญาคนสวนของมหาลัยจะมีอิทธิปาฏิหาริย์สามารถเนรมิตพื้นที่และดอกไม้ให้สวยได้ภายใน3-4วัน
    และช่วงรับปริญญานี่เองเป็นช่วงที่น้องหมาสุดรักประจำคณะต้องเก็บตัว
  • คณะเราต้องเรียกพี่ยามเท่านั้น ห้ามเรียกลุงยามแกบอกว่าแก่ไปพี่ก็พอ
  • พาหนะที่ใช้มากที่สุด คือ รถมอเตอร์ไซต์ และรถวิ่งรอบมอเมื่อก่อนเราเรียกว่ารถส้ม ปัจจุบันมันเป็นรถไฟฟ้าไปซะแล้ว
  • ใครขับรถรอบ ม.ตอนเที่ยงๆ  ถึงบ่ายสามสิ่งที่คุณได้รับอย่างไม่น่าเชื่อ คือ สีผิวเปลี่ยนได้ทันตาเห็น และคุณจะกลายเป็นลูกครึ่งผมแดงทั้งที่พ่อแม่คุณเป็นคนไทย
  • ตอนที่ยังไม่เป็นหวยบนดิน นิสิตสามารถแอบซื้อหวยได้กับป้าแม่บ้าน
  • สะพานลอยหน้ามหาลัยมีไว้ให้มอเตอร์ไซต์หลบฝนและนิสิตไว้หลบแดดตอนรอรถเท่านั้นไม่ได้มีไว้ใช้ข้าม
  • มนุษย์เพศชายในคณะมนุษย์ส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่น่าสงสัยว่าเป็นมนุย์กึ่งชาย
  • มน.มีการแข่งขันประกวดดนตรี เราเรียกมันว่า NU VOICE
  • มน. มีระบบ SOTUS เด็กปีหนึ่งต้องผ่านการว้าก และการเข้าห้องเชียร์มาอย่างโชกโชน ซึ่งทางอาจารย์ก็พยายามหาทางควบคุมให้อยู่ใน limit ที่พอควรมาตลอด แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จนกระทั่งเกิดเรื่องนศ.ม.เกษตร ฆ่าตัวตายเนื่องจากทนไม่ได้กับการรับน้อง
  • น้องปีหนึ่งจะต้องแต่งตัวถูกระเบียบ น้องผู้หญิงใส่เสื้อนิสิตที่เชยที่สุด คือเสื้อไม่มีสาบ ติดกระดุมคอ กระโปรงทรงเอคลุมเข่าสีดำ รองเท้าหุ้มส้นสีดำ ห้ามมีลวดลาย น้องผู้ชายใส่เชิ้ตขาวแขนยาว ผูกไทด์สีเทา กางเกงสแล็ค รองเท้าหนังกระดุมคอและเนคไทด์ของน้องปีหนึ่ง จะได้รับการปลดให้โดยพี่รหัสเมื่อปิดห้องเชียร์เรียบร้อยแล้ว ชุดพิธีการของ มน. หมายถึง ชุดที่ใช้ในพิธีสำคัญต่างๆ ซึ่งคือการแต่งกายถูกระเบียบ แต่เปลี่ยนนากกระโปรงและกางเกงสีดำ  เป็นกระโปรงและกางเกงสีเทาแทน
  • ช่วงเทอมหนึ่งน้องปีหนึ่งทุกคนจะได้รับการบอกกล่าวให้ไหว้รุ่นพี่และอาจารย์ที่เดินผ่าน  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อรุ่นพี่หรืออาจารย์เดินผ่านหรือขับรถผ่านจะมีน้องๆซึ่งแต่งตัวถูกระเบียบไหว้และร้องทักว่า "พี่คะ/ครับ สวัสดีค่ะ/ครับ"
  • ช่วงก่อนเปิดเทอม 1 จะมีการจัดค่ายให้น้องๆ ปี 1 มาอยู่รวมกันทำความรู้จักกันทำกิจกรรมร่วมกัน เรียกว่า "begining Camp" โดยน้องปีหนึ่งจะได้รับการบายศรีสู่ขวัญ และผูกข้อมือ
  • ครุย มน. เป็นครุยผ้าโปร่งสีขาว มีแถบสีเทา-แสด อันเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย  มองเผินๆคล้ายกับชุดพระยาแรกนาขวัญ (อันนี้เพื่อนชอบแซว)
  • ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากสมเด็จพระเทพฯ ในช่วง ธ.ค.- ม.ค.  ช่วงรับปริญญาที่ มน. เป็นช่วงที่คึกคักและทำให้การจราจรติดขัดที่สุด
  • ชื่อเดิมของ มน. คือ "มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพิษณุโลก"
  • ที่นั่งเล่น/ออกกำลังกายในมอนอ มี 2 แห่ง คือ ที่โอเอซิส หรือที่เรียกอีกชื่อว่า เนินเทเลทับบี้ ใครนึกไม่ออกจินตนาการถึงสนามหญ้าที่พวกเทเลทับบี้ชอบออกมาเต้นกับอีกแห่ง คือ อ่างเก็บน้ำ ที่นี่มักมีคนไปให้อาหารปลาด้วย
  • มีผับที่แทบจะติดรั้วของมหาลัย ประมาณห้าเมตรได้ (toxic)
  • ไอติมทอดข้างมอร้าน "กิ่งแก้ว" (เอ๊ะ หรือเปล่า - -*)  ป้าคนขายเป็นคนขี้ลืมมากๆถ้าไม่จดให้ป้าแก ป้าแกจะลืมทำ หรือถ้าไม่จด เวลาคิดเงิน ป้าแกจะถามว่าสั่งไรบ้าง เดินไปก้าวนึงก็จะถามคำถามเดิม เดินอีกก้าวก็ถามใหม่จนกว่าจะถึงเก๊ะเก็บตังค์ -*-
  • ไก่ทอดร้าน กะต๊าก (หรือกะโต๊กนี่แหละ) อร่อยม้ากๆๆ อร่อยกว่า KFC อีก !!!
  • มีโลโก้ประจำ ม.ก็คือ ยุงที่มีมือซ้ายกางร่ม มือขวาครีมกันแดด  (ยุงเยอะมากกกกกกกแดดแรงมั่ก )
  • รถไฟฟ้าที่วิ่งรอบมหาวิทยาลัยจะเรียกสั้นๆว่า " โดเรม่อน" หรือ "เตาอบเคลื่อนที่"
  • นิสิตหอ ญ (เก่า) ส่วนใหญ่จะรู้จัก " ยามจอย" (ดุมาก)
  • ลานสมเด็จจะคึกคักช่วงก่อนสอบ และจะมีควันธูปตลบอบอวนอยู่ตลอดเวลา
  • เด็กปี 1 ผู้หญิงจะต้องโดน "รองเท้าคัดชูกัด" แทบจะทุกคน
  • นิสิตที่รหัส 46-47-48-49 มักจะรู้จัก "พี่โฟน" (แกดังจริงๆนะ)
  • แทบจะทุกคนจะต้องได้ไปเรียนที่ตึก MD
  • ตลาดนัดทุกวันอังคารจะเป็น center point ของเด็ก มน.จะมีขายทุกสิ่งอย่าง ผักสด, เสื้อผ้า ,สุนัข ฯลฯ และเป็นศูนย์รวมแฟชั่น
  • ที่นี่จะขับรถเหมือนเวียดนาม ก็คือ ไม่มีไฟเขียวไฟแดง นึกจะเลี้ยงก็เลี้ยว นึกจะปาดก็ปาด ไฟเลี้ยวไม่เปิด
  • ที่นี่จะมีอยู่ 2 ฤดู ก็คือ ร้อน กับ ร้อนอิ๊บอ๋าย.. - -*
  • วิศวะชอบไปกินข้าวที่โภชนาคาร เวลาไปกินที่โภนิ จะเจอพวกนี้เยอะมากกก..
  • ทางหลัง ม. ตรงทางแยก  ถนนตรงนั้นจะไม่สามารถซ่อมได้ และสามารถเลี้ยงปลาได้
  • ประตูทางออกตรงคลองหนองเหล็ก ส่วนใหญ่เค้าจะเรียกว่า "ป่าดงดิบ"
  • ลานเทเลทับบี้มีไว้ให้ลูกหมาวิ่งเล่น
  • ที่ฟิตเนสจะมีพวก กึ่งๆ ชายกึ่งหญิง ตัวล่ำขาวๆ มักจะเล่นอยู่ประจำ
  • อ่างเก็บน้ำมีไว้วิ่งออกกำลังกาย และ ให้อาหารปลา
  • รถไฟฟ้าเปิดประทุน ช่วงเย็นถ้าคุณจะนั่งคุณต้องไปขึ้นที่โรงเก็บรถ
  • 7-11 ตรงโภ จะมีไว้ให้นิสิตหญิงใช้เท่านั้น!!
  • อ.ผู้ชายที่หน้าตาดีที่สุดของมหาวิทยาลัยอยู่ที่คณะเภสัช หน้าตาดีเป็นจำนวนมากด้วยจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นศูนย์รวม อ.หน้าตาดีอะไรได้ขนาดนี้  แต่80เปอร์เซนต์ของอาจารย์ที่ว่ามาเป็น.....
  • มีลานเทเลทับบี้อยู่ใกล้หอสมุด  ตรงลานเทเลทับบี้เด็ก มน.หลายคนอาจไม่ทราบมีการปลูกต้นไม้ประจำจังหวัดของทั้ง76 จังหวัด ปลูกเรียงกันเป็นแผนที่ประเทศไทย
  • บริเวณตลาดหลังมอ เรียกอีกอย่างว่า ตลาดปอยเปต  เพราะสภาพไม่ต่างอะไรกับตลาดชายแดน
  • มีแยกวัดใจ ตรงหน้าคณะมนุษย
  • ลานสมเด็จโหดร้ายมากๆ ถ้ารุ่นพี่ให้ไปยืนร้องเพลงคณะตอนเที่ยงตรง
  • ก๋วยเตี๋ยวไก่ป้าล้อม มามอนอ แล้วไม่ได้กิน เสมือนว่ามาไม่ถึง (ตอนนี้ยังมีรึเปล่าหว่า เพราะโภ1หายไปแล้ว)
  • เด็กรุ่นรหัส43 เป็นรุ่นสุดท้ายที่เกรดไม่มีประจุ (บีบวก ซีบวก ดีบวก)
  • รหัส 43 นอกจากเป็นรุ่นสุดท้ายที่เกรดไม่มีประจุยังเป็นรุ่นสุดท้ายที่เวลาตกจะได้ "E" แทน "F" ในรุ่นต่อๆ มา
  • รุ่นรหัส43 ยังเป็นรุ่นสุดท้ายด้วยที่รู้จักการต่อคิวลงทะเบียน หลังจากนั้นลงผ่านเนทหมด
  • ร้านข้าวต้มอารมณ์ดี ร้านข้าวต้มหน้ามอเจ้าอร่อย เจ้าของร้านใจดีด้วย
  • รพ.มหาลัย ก่อนเปิดเป็นรพ.ในปัจจุบันเริ่มแรกเปิดเป็นหอหญิงด้วย
  • คณะเภสัชศาสตร์ ม.นเรศวร เป็นคณะเภสัชแห่งแรกในประเทศไทยที่เปิดหลักสูตร 6 ปี
  • รพ. มหาลัยไม่เคยมีห้องเต็ม
  • สภานิสิตมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยนเรศวร  เป็นสภาแห่งแรกที่จดโดเมนเนมเป็นของตัวเองในชื่อ  sapanisit.com
  • เป็นมหาวิทยาลัยแห่งเดียวที่คณะเภสัชศาสตร์เป็นคณะบุกเบิกในการถ่ายภาพ  และที่คณะเภสัชฯ แห่งนี้มีห้องมืดล้างอัดภาพขาวดำเป็นของตัวเอง
  • ในอดีต ไม่มีหอพักชายภายในตัวมหาวิทยาลัย มีแต่หอพักหญิง
  • พระรูปสมเด็จพระนเรศวรทรงคนโฑด้วยพระหัตถ์คนละข้างกับพระรูปที่อยู่ที่ในตัวเมือง
  • เป็นมหาวิทยาลัยที่มีตราสัญลักษณ์สองแบบ คือ 1.องค์สมเด็จไว้สำหรับติดในที่สูง  และ 2.ช้างเจ้าพระยาไชยานุภาพไว้ติดในที่ต่ำ (เช่นหัวเข็มขัด)
  • วิดวะมีร้านอาหารข้างใต้ แต่ไปกินโภ 2 เพราะใกล้กว่าโภ
  • ตลาดนัดเป็นที่ทำไว้สำหรับจอดรถทั้งมหาลัยแล้วให้นั่งรถไฟฟ้ามาเรียนแต่โดนประท้วง
  • ร้านข้าวใต้ตึก EN อาหารที่ฮิต คือ ข้าวไข่เจียว
  • ร้านถ่ายเอกสารตาตู้ มีชีทของทุกคณะทุกวิชาที่เรียนที่ตึก ENอาจารย์วิดวะสามารถแจ้งข่าวการสอนได้ที่ร้านตาตู้
  • เมื่อก่อนรุ่นพี่วิดวะพาน้องไปลองของที่ วัดจูงนาง
  • ตึกวิดวะก่อนสอบมีแต่นักศึกษาแพทย์เอากระดูกมาท่อง
  • สมัยก่อนลานสมเด็จยังไม่กว้าง แก้บนด้วยวิ่งรอบมอ
  • คนที่แก้บนด้วยการถูลานสมเด็จคนแรกเป็นเด็กคณะวิดวะ
  • ช่วงก่อนสอบและหลังสอบผ้าถูพื้นลานสมเด็จไม่เคยแห้ง
  • เด็กวิดวะ ถ้าไม่เข้าครอบครูประจำปีจะเรียนไม่จบ
  • คณะวิดวะใช่จะมีชายแท้หญิงแท้มาเรียน เคยมีกระเทยมาเรียนแล้วเรียนไม่ไหวลาออกไปแปลงเพศ
  • ปัจจุบันเจ๊เสริฐขายร้านอาหารตามสั่งทิ้งไปแล้ว
  • ร้านเช่าการ์ตูนไทเกอร์ ตอนนี้น้องไทเกอร์เข้าประถมแล้ว
  • ประตูหน้ามอ ใกล้ๆ กับศูนย์วิจัยจะเปิดตอนรับปริญญา
  • ก่อนที่ถนนจะมีลูกระนาด เคยมีเด็กวิดวะเคยแข่งมอไซค์รอบมอด้วยความเร็วกว่า 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • มีบางคนเรียนจบแล้วยังไม่รู้ว่ามีประตูออกจากมออีกตรงคณะวิทยาศาสตร์
  • มน.เคยมีเรื่องฆ่าเก็บแต้มด้วยแต่มันก็ผ่านไปแล้ว  ซึ่งช่วงนั้นนิสิตผวาและกลัวกันสุดๆ  ...
หมายเลขบันทึก: 85118เขียนเมื่อ 20 มีนาคม 2007 00:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 12:45 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)
  • มาอ่านแล้วไม่ต้องคิดมากจริงๆ
  • เมื่อคืนยังไม่เห็นบันทึกนี้..พึ่งเปิดเผยตอนใกล้ๆ ๑๐ โมงนี่เอง

เจ๋งมากๆ คิดได้ไง

เพิ่งรู้นะเนี่ยว่า ตรงลานเทเลทับบี้ เขาปลูกต้นไม้เป็นรูปประเทศไทย..โอ้ว

ยกนิ้วให้เลย..10 นิ้วเลยเอ๊า.....

  • รวบรวมได้เยอะจริง ๆ ค่ะ 
  • สำหรับชุดครุยเพื่อนราณีเรียกขอยืมกันยุง เพราะยุงมน.เยอะใช่ไหมค่ะ
  • เจ๊เสริฐ (กะเทยสมรภูมิที่ขายกับข้าวตามสั่ง) ตั้งชื่อซะน่ากลัววววว
  • รวมมิตรจริง ๆ ค่ะมน.เนี่ย จากเด็กศิษย์เก่ามน.ค่ะ  เห็นด้วยนะค่ะเรื่องร้อนเนี่ย ราชภัฏฯ ก็ไม่แพ้กันค่ะ
  • แต่สิ่งดี ๆก็เยอะ เพราะเจริญเร็วมาก และเป็นสัดส่วนกว่าตอนราณีเรียนอีกค่ะ

พี่ตูนนี้เก่งจริงๆรวบนวมข้อมูลได้ละเอียดยิบเลยนะคับพี่สาวคนนี้

ทั้งเก่งทั้งน่ารัก55

เจ๋ง จริงๆ รู้อะไรเพิ่มอีกตั้งเยอะ..
อื่ม เท่จังครับ สมกับที่อยู่มานาน เหอะๆ

เพิ่งเปิดอ่านเมื่อคืนเหมือนกัน

แต่ต้องอ่านแบบขำๆ และเก็บรายละเอียดได้ดี

คงเพราะเรียนได้ตลอก สี่ปี นี่เก็บรายละเอียดดีมาก

สงสัย ไม่เรียนวิศวะ ก็เภสัชนะค่ะเนี่ย

  • เจ๊เสริฐ ตอนแรกแกเปิดพนันบอลด้วยครับ พอตำรวจจับ ก็เปลี่ยนไปใช้ระบบพนันออนไลด์ผ่านเว็บ ซึ่งไฮเทคมาก
  • แต่ก็โดนจับอีกจึงย้ายหนีไป
  • กว่าสภานิสิตจะได้โดเมนนี้มา อยากบอกว่า ลำบากมากครับ ต่อสู้กับสภานิสิตทั่วประเทศ เพื่อจะให้ได้โดเมนนี้มา
  • สมแล้วที่อยู่มานาน ดังเช่นที่ มหา ว่าจริงๆ
  • หลังจากที่พวกเก็บแต้มหมดไปแล้ว เด็ก มน.ก็หันมายิงกันเอง
  • ขอบคุณครับ
อ่านแล้วคิดถึง มน. จัง

ผมเป็นคนเขียนหนังสือ มีเรื่องราวของมอนอที่ผมเขียนไว้เหมือนกัน ลองอ่านดูได้

....

สมาคมพ่อค้าแม่ชายมอนอ

พวกคุณเรียนอยู่ที่ไหน?  ธรรมศาสตร์  มอชอ  หอการค้า  รังสิต  มอขอ  มอบู  และอื่น ๆ อีกมากมาย....ทุกที่ล้วนเป็นแหล่งทำมาหากินของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าไม่ว่าจะขายข้าวปลาอาหาร  หรือขายอุปกรณ์การศึกษา  และอื่น ๆ อีกมากมายที่มีทั้งประโยชน์และโทษ  ....แต่คำถามก็คือ  พวกคุณรู้จักพวกพ่อค้าแม่ค้าเหล่านั้นบ้างมั้ย?....หลายคนบอกไม่รู้  หลายคนบอกไม่จำ  หลายคนบอกไม่สำคัญ  และหลายคนก็บอกว่า "จะรู้ไปเพื่ออะไร?"....

     ที่มอนอ...ผมรู้จักพ่อค้า 1 คน และรู้จักแม่ค้าอีก 3 คน ...รวมเป็นสี่คน  ทั้งสี่คนประจำอยู่ สี่ทิศ  ดั่งท้าวจาตุโลกบาล ....เริ่มคนแรกเลยละกัน

 

     คุณป้าเอนกประสงค์  มีร้านขายของโชว์ห่วยอยู่ที่หน้ามอ  หรือทิศตะวันตก....ป้าแกอายุประมาณ  60 กว่า ๆ แก่มาก  แก่แบบหงึก ๆ เลยอ่ะ  ผมหงอกเต็มหัวแล้วก็รัดไว้  เป็นคนจีน  พูดไม่ค่อยชัดเท่าไหร่  ใส่แว่นตาหนา ๆ อันใหญ่ ๆ   ทำอะไรก็งก ๆ เงี่ยน ๆ เอ๊ย! เงิ่น ๆ ร้านของแกนั้นเป็นห้องแถวห้องเดียว...ขนาบด้วยร้านคอมพิวเตอร์และร้านคาราโอเกะ...  ชื่อคุณป้าเอนกประสงค์นั้นเป็นชื่อที่พวกเด็กแถว ๆ หน้ามอนั้นตั้งให้แก  เพราะว่าร้านของแกนั้นถึงจะเป็นร้านเล็ก ๆ ก็จริงแต่มีทุกอย่าง  ขอย้ำเน้น ๆ ว่ามีทุกอย่างจริง ๆ (ของที่เค้าซื้อหากันนะ ไม่ต้องตั้งคำถามกวนตีน ๆ ว่ามีเครื่องบินขายมั้ย?)  ...แผนผังร้านก็จะเป็นดังนี้  ด้านหน้าจะเป็นแผงหนังสือมีทุกอย่าง  ตั้งแต่การ์ตูน  นิตยสารรายสัปดาห์ เช่น มติชน  แปลก  มวยตู้ 191 อาชญากรรม เป็นต้น  หนังสือพิมพ์ก็มี  ถัดเข้ามาอีกก็เป็นของกินเล็กน้อยโดยจะวางตู้เย็นขายน้ำอัดลมตรงหน้าร้าน (วางตรงฟุตบาท)  และข้างตู้เย็นก็เป็นโต๊ะเล็ก ๆ มีขนมปังเล็กน้อย  และเก้าอี้ที่แกนั่งประจำก็อยู่ที่นี่   เลยเข้าไปในร้านก็จะเป็นชั้นวางด้านซ้ายจะรับผิดชอบเกี่ยวกับอุปกรณ์การเรียน   ด้านขวาจะรับผิดชอบอุปกรณ์การช่างเช่น ไขควง  ค้อน  ตะปู  และด้านในผมบรรยายไม่ถูกเพราะของมันวางเยอะเหลือเกิน  และด้านบนเพดานก็จะห้อยอุปกรณ์กีฬาต่าง ๆ เช่น  ลูกบอล  ขอย้ำว่ามีทุกเบอร์  ลูกบาส  ไม้แบด  นวมมวย  เป็นต้น  ....เวลาไปซื้อของไม่ต้องไปมองหาให้เมื่อยคอ  เพียงแต่บอกกับแกว่าต้องการอะไร  แกก็จะไปหาให้ทันที...

 

     ผมมีเคสต์เกี่ยวกับแกที่สุดคลาสสิคก็คือ  เพื่อนผม ไอ้อ้น  มันกำลังต้องการสายทีวีไปต่อทีวีที่ห้องมัน  มันก็เลยไปหาซื้อที่ร้านป้าเอนกฯ  มันเดินเข้าไปหาป้า  แล้วก็ถามว่า

 

     "ป้าคับ  ป้ามีสายทีวีมั้ยคับ"....

 

     "จะเอายาวแค่ไหนล่ะ?" ป้าแกเงยหน้าขึ้นถาม

 

     "สักประมาณ  เมตรนึงคับ"

 

     "อ่อ  เอ่อ ...เด๋ว ๆ นะ   รอแป๊บนึง"  ป้าแก่บอกพลางงงเล็กน้อย จากนั้นก็เดินหายเข้าไปหลังร้านสักประมาณ สามนาที

 

     "เอ้า ได้แล้ว" ....ไอ้อ้นทำหน้าตะลึง  เพราะป้าแกเล่นตัดสายทีวีของตัวเองมาให้  มือก็ยังกุมมีดอยู่เลย  แถมหัวให้ด้วย  สายนี่สีเหลืองเก่าเลยล่ะ 

 

     สุดยอดมั้ยคับ...  จากนั้นป้าแกก็ได้ชื่อใหม่ก็คือ  ป้าเอฟ  มาจากคำว่า Everything....

 

 

     ป้าแมว  มีร้านขายอาหารตามสั่งอยู่ข้างมอฝั่งทิศใต้  ฝั่งคณะวิทยาฯ  ข้าง ๆ หอเก่าผม  แกทำกับข้าวอร่อยมาก  โดยเฉพาะกะเพรา  น้ำผัดนี่เยิ้มเข้มข้น กินแต่น้ำผสมกับข้าวก็อร่อยแล้ว...เมื่อก่อนที่ผมอยู่หอเก่า  ตอนปีหนึ่ง ผมไม่ค่อยได้กินข้าวกับแกเท่าไหร่ เพราะเคยได้ยินมาจากเพื่อนว่าแกดุมาก  ขั้หงุดหงิด  อารมณ์ประมาณว่าถ้ามึงเรื่องมากก็ไม่ต้องกินอะไรแบบนั้น  อย่างเช่น  ถ้าคุณสั่งกะเพราไม่ใส่พริก ก็ไม่ได้กิน  ถ้าคุณสั่งกะเพราไก่ไข่ดาวไม่สุกก็ไม่ต้องกิน ถ้าคุณสั่งกะเพราไก่ไข่ดาวกรอบ ๆ ก็ไม่ได้กินอีก  หรือถ้าคุณสั่งกะเพราะไก่ใส่หมูหมัก ก็ไม่ได้กิน  เป็นต้น  ....แกก็คงจะรู้นิสัยของแกที่ชอบหงุดหงิดใส่คนสั่งข้าวเรื่องมาก   แกก็เลยคิดสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ก็คือ  "กะเพราเรื่องมาก"   เป็นผัดกะเพราราดข้าวที่ผสมไก่ หมู  เนื้อ  ปลาหมึก  เอาทุกอย่างมาผัดรวมกัน  ปรากฏว่าฟีดแบ็คดีมากคับ  คนสั่งกินเยอะมาก  เป็นเมนูอาหารสุดฮิตของร้านแกเลย  ไม่น่าเชื่อ...มีอยู่ช่วงนึงผมกับเพื่อนไปกินกันประจำจนแกจำอีฟได้  แล้วจากนั้นมาพวกเราก็สนิทกันมาจนถึงทุกวันนี้....

 

 

     น้าหมาน  ขายโรตีที่ข้างมอฝั่งสนามกีฬา  ประจำทิศเหนือ  ชื่อของแกคือสมานโรตี  แต่ผมเรียกแกว่าน้าหมาน  คนนี้ผมสนิทด้วยที่สุด  เพราะผมชอบในนั่งเล่นที่ร้านแกประจำ  ร้านของแกนั้นเป็นร้านรถเข็นธรรมดาที่ไม่ธรรมดา  เพราะโรตีน้าหมานนั้นเป็นแฟรนไชร์ประจำพิดโลกเลยแหละ....เมื่อก่อนแกขายอยู่ในเมือง  แกเพิ่งจะมาขายแถวมอตอนผมอยู่ปีสองมั้ง  บุคลิกของแกดูเป็นคนดุ  ประกอบกับหน้าตาของแกนั้นดูเหี้ยม ๆ คล้ายคนใต้มีตาจะโต ๆ ผิวเข้ม ๆ หน่อย  ดูน่ากลัว  แต่แกเป็นคนตลกมาก...พูดอะไรนี่มุขกระจาย  พื้นเพแกเป็นคนเพชรบูรณ์  แต่มาได้เมียเป็นคนพิดโลกเลยไปไหรไม่รอด  แฟน ๆ โรตีของแกมีหลายรุ่นมาก  แกขายมาเกือบสามสิบปีแล้ว  ฉะนั้นแฟนไม่ได้มีเฉพาะเด็กวัยรุ่น  แต่คนทำงานก็มี  แกจะชอบโชว์ใบทหารผ่านศึกให้ดู  แกบอกว่าแกเป็นพลร่มและตอนสมัยที่อยู่กองทัพแกก็เป็นพลปืนกลเล็ก เอ็ม 60 โม้สุด ๆ อ่ะ

 

      ครั้งแรกที่ผมเห็นแกนะ  ผมเข้าไปเดินไนท์ริมน่านที่ในเมือง  พอเดินเสร็จก็ขับผ่านรถเข็นโรตีซึ่งคนเป็นสิบมุงอยู่ก็เลยสนใจจึงแวะซื้อกัน  พอจอดรถแกก็บอกว่า 

 

     "อ้าวไปไงมาไงเนี่ย?  เข้ามาในบ้านก่อนสิหนู"  พลางแกก็หันชี้ไปที่ที่ว่างด้านหลังแกทั้ง ๆ ที่เป็นร้านรถเข็นนะ  มาบ้านเบิ้นอะไรก็ไม่รู้  ผมนี่งงไปหมด  เพื่อนผมก็งงกัน...แต่ผมก็เดินไปด้านหลังแก 

 

     "อ้าว   เข้ามาบ้านได้ไงเนี่ยประตูก็ยังไม่เปิดกัน"

 

      ผมไม่รู้ว่าเป็นมุขคับ  เพราะแกเป็นพวกตลกหน้าตาย   มุขเด็ด ๆ ของแกก็เช่น  "โรตีใส่กล่องใช่มั้ย  พรุ่งนี้เอากล่องกับช้อนมาคืนด้วยนะ", ถ้าผมไปนั่งที่ร้านแก  แกก็จะบอกกับลูกค้าว่า  "นี่แฟนชั้นเอง  บอกว่าไม่ต้องมาเฝ้าก็ยังจะมาอีก  ไม่รู้สิ  ตั้งแต่กินยาคุมย้อนแผงนี่ชอบทำอะไรเพี้ยน ๆ "  มุขของแกก็จะเป็นมุขเดิม ๆ ที่คนเดิม ๆ ก็จะพอรู้  แต่ถ้าเป็นเด็กปีหนึ่งมาใหม่ ๆก็จะงง ๆ และติดแกมาก  และจะมาซื้อโรตีแกกินประจำ  ผมยอมรับตรง ๆ ว่าโรตีแกก็ธรรมดานะ   แต่คนมากก็เพราะว่าชอบอัธยาศัยของแกดีเหลือเกิน  แล้วยิ่งตอนเปิดเทอมใหม่ ๆ นะคนยิ่งแน่น  ฟีดแบ็คดีมาก ๆ เป็นพ่อค้าที่มีเรตดีที่สุดแถวมอเลยแหละ....ทุกวันนี้เวลาที่ผมมีปัญหาผมก็จะไปคุยกับแก  เพราะไม่ใช่แค่จะให้คำปรึกษาในฐานะที่เป็นลุง(แต่เรียกน้า)เท่านั้น  แต่ผมก็ยังได้หัวเราะไปกับแกด้วย

 

 

     คนสุดท้าย  อีป้าน้องมิ่ง  ผมไม่รู้ชื่อแก  แต่ร้านแกชื่อว่า น้องมิ่ง ผมก็เลยเรียกอีป้าน้องมิ่ง แกขายผักและเครื่องประกอบอาหารต่าง ๆ อยู่หลังมอ  ประจำทิศตะวันออก  ผมไม่สนิทกับแกเลย  แต่ถูกใจยังไงก็ไม่รู้สิ  ...แกเป็นป้าแก่ ๆ พอ ๆ กับป้าเอฟ  แต่กวนตีนกว่าเยอะ  ร้านของแกจะขายผักเป็นเสียส่วนใหญ่  ร้านไม่ใหญ่เป็นห้องแถวธรรมดา  มีผักต่าง ๆ เนื้อหมู วัว ไก่  หมูยอ  น้ำปลา พริก มะนาว  และอื่น ๆ อีกมากมายที่เกี่ยวกับการปรุงอาหาร...

 

     ผมไม่รู้ว่าทำไมต้องตั้งชื่อร้านว่าน้องมิ่ง  คงจะเป็นชื่อหลานหรือลูกแกทำนองนั้น  แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ใช่ชื่อแกเป็นแน่  ผมเคยมีเคสที่ลืมไม่ลงเกี่ยวกับแกอยู่สองเคส 

 

     เคสแรก  วันนั้น  ผมเพิ่งกลับจากอุดร  และได้แหนมเนืองมากิน  รู้ ๆกันใช่มะว่าแหนมเนืองเป็นชุดที่ซื้อที่วีทีจะมีสลัดมาให้  แต่สลัดแม่งไม่สดอ่ะ  ก็เลยต้องไปซื้อสลัดที่ร้านอีป้าน้องมิ่ง  "ป้าคับ  สลัดมีมั้ยคับ"  ผมถาม

 

          "มี"  ป้าตอบห้วน ๆ และทำท่าทางไม่สนใจพร้อมกับมองทีวีมือก็พัดตัวเองไป

 

          "ขีดเท่าไหร่คับ?" ผมถามอีกครั้ง

 

          "แปดบาท" 

 

          "งั้นเอา สี่ขีดคับ"

 

          "อืมม์ ..นู่นในถึงแช่สีส้ม ๆ โน่น ไปหยิบเอาเอง"  แกไม่สนใจ  มือพัดไป  และหัวเราะกับบางรักซอยเก้าเฉยเลย

 

          -_-"  แสด..

 

     เคสที่สอง  ผมไปซื้อกะล่ำหรือผักกาดเนี่ยแหละมากินกะมาม่า  ประมาณว่าปลายเดือนแล้ว กินแกลบ(นักเขียนไส้แห้งเว้ย)  ก็ไปที่ร้านอีป้าน้องมิ่งเนี่ยแหละ  ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยอยากจะไปนะ  แต่ก็ไป 

 

     "ป้าคับ  ผัดกาดนี่ขายยังไงคับ?"

 

     "ขีดละแปดบาท ...จะเอาก็หยิบมาชั่งเลย"  สายตาแกมองผมยังไง ๆ ก็ไม่รู้สิ  ไม่ชอบเลย

 

     "คับ"  ผมหยิบมาชั่งให้แกดู  แกก็ดูนะ  แล้วเสือกถามผมอีกว่า  "กี่ขีดล่ะ?"

 

     "เอ่อ  สามขีดกว่า ๆ คับ"  ผมบอกกับแก

 

     "แปดสามยี่บสี่..ยี่บห้า" แกพึมพำคำนวณของแกคนเดียวแล้วก็บอกผมว่า "ยี่บห้าละกัน"

 

     ผมยื่นแบงค์ห้าร้อยให้แก  ทันใดนั้นแกก็บ่นออกมาว่า "โอ้ย ไม่มีทอนแล้ว  เพิ่งเอาเงินไปฝากธนาคารเมื่อเช้านี่เอง  ไปแลกมาก่อนไป"

 

     "คับ  เด๋วผมไปแลกมาให้"  ผมเดินออกจากร้านด้วยความเซ็ง...ทันใดนั้นป้าแกก็ถามว่า  "จะไปแลกเงินที่ไหนล่ะ?"

 

     "เด๋วจะไปแลกที่ร้านค้าฝั่งโน้นน่ะคับ" ผมตอบแล้วชี้มือไปที่อีกฝั่งของถนน

 

     "เออ  ดี ๆ  ซื้อไส้กรอกอีสานมาให้ป้าด้วย ยี่สิบ"....แกตะโกนบอกส่งท้ายว่า "หิว.."

 

     ผมไม่ตอบแก  ผมเดินมุ่งหน้าไปที่ร้านไส้กรอก  พร้อม ๆ กับคำถามที่ว่า กูจะได้เงินค่าไส้กรอกมั้ยเนี่ย...

 

 

     จบ....สมาคมพ่อค้าแม่ขายแห่งมอนอ
ลูกพระพิรุณรุ่นที่ 66

เรื่องนศ.ม.เกษตร ฆ่าตัวตายเนื่องจากทนไม่ได้กับการรับน้อง

 

 

 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เรียก "นิสิต" ครับ ไม่ใช่นักศึกษา

อือ มันจริงแฮะ ผมรหัส 42 อ่ะ

จำเรื่องราวต่างๆ ได้ เพราะ บล็อกนี้ล่ะ

อิอิอิ

เก็บเงินที่ต่างประเทศอยู่น่ะ เดี๋ยวกลับไป มอนอ นะ

เอ้อ....

พ่อแม่ ส่งมาเรียน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท