3 ปี สคส.
กับการจัดการความรู้เพื่อสังคม
สคส. เน้นการทำงานเชิงสร้างสรรค์ เป็นการทำงานของ
“ผู้ไม่รู้” หรือผู้ไม่มีความรู้
ว่ารูปแบบของการจัดการความรู้ที่เหมาะสมต่อสังคมไทยควรเป็นอย่างไร
สคส. จึงไม่มีรูปแบบหรือสูตรของการทำงานแบบตายตัว
แต่ทำงานแบบ “ทำไปเรียนรู้ไป” แบบ “องค์กรเคออร์ดิก” (Chaordic
Organization)
องค์ประกอบขององค์กรเคออร์ดิก มี 6 ประการ
โดยมีตัวย่อ คือ PPPOCP
Purpose
Principles
Participants
Organization
Constitution
Practice
สคส.
ยึดหลักการทำงานแบบองค์กรเคออร์ดิก
คือยึดมั่นต่อสององค์ประกอบแรกหรือ 2 P คือ Purpose กับ
Principles ส่วนอีก 4
องค์ประกอบเน้นการทำไปพัฒนาไป
ไม่สร้างกรอบหรือข้อจำกัดให้ตัวเอง
ปณิธานความมุ่งมั่น
(Purpose)
ปณิธานความมุ่งมั่นเป็นองค์ประกอบหลักหรือหัวใจของการทำงานของ
สคส.
เรามุ่งมั่นทำงานเพื่อขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมที่มีความรู้เป็นฐาน
(Knowledge – Based Society) ผู้ปฏิบัติงาน ภาคีพันธมิตร
และเครือข่าย
มีความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างสรรค์สังคมไทยสู่สังคมเรียนรู้หรือสังคมที่มีความรู้เป็นฐาน
เรามีความมุ่งมั่นในระดับความเชื่อ คุณค่า
ความดี และศีลธรรม
ซึมซาบอยู่ในระดับจิตสำนึก จิตใต้สำนึก
และจิตเหนือสำนึก
เราร่วมกันมุ่งมั่นฟันฝ่าเพื่อการสร้างสรรค์สังคมไทยสู่เป้าหมายนี้
โดยพร้อมที่จะทำงานระยะยาว
พร้อมที่จะทำงานหนัก
เผชิญอุปสรรคหรือความล้มเหลวโดยไม่ย่อท้อ
สคส.
พันธมิตร และเครือข่าย
ทำงานภายใต้พลังแห่งปณิธานความมุ่งมั่นร่วมกัน
เป็นความมุ่งมั่นรวมหมู่
และพร้อมที่จะเรียนรู้ร่วมกันทั้งจากความสำเร็จและความล้มเหลวในการดำเนินการไปสู่เป้าหมายนี้
หลักการและหลักปฏิบัติ
(Principles)
พนักงานของ สคส. พันธมิตร และเครือข่าย
ยึดถือหลักการและหลักปฏิบัติร่วมกัน
ที่จะเอื้อให้เกิดการสร้างสรรค์ในทุกส่วนขององค์กรและเครือข่าย
เพื่อการบรรลุปณิธานหรือความมุ่งมั่นร่วมกันในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมที่มีความรู้เป็นฐาน
หลักปฏิบัติสำคัญ ๆ ได้แก่
·
พนักงาน/สมาชิกมีสิทธิรวมตัวกันได้เอง
เพื่อปฏิบัติการกิจตามปณิธานความมุ่งมั่นขององค์กร
· มอบอำนาจตัดสินใจไว้ ณ
จุดปฏิบัติงาน หรือใกล้จุดปฏิบัติงานมากที่สุด
· สร้างความพร้อมใจ
ไม่ใช่บังคับ
·
ถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว
ประโยชน์ส่วนใหญ่มากกว่าประโยชน์ส่วนย่อย
·
ยึดถือความซื่อสัตย์ต่อตนเอง
ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อองค์กรและต่อภาคีเครือข่าย
·
ทำงานให้แก่องค์กรเต็มเวลา ไม่มี “งานแฝง” ใด ๆ
· เน้นความสัมพันธ์แบบ
“เอื้ออำนาจ” (empowerment) ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
และระหว่างองค์กร
หลักการและหลักปฏิบัติเหล่านี้พนักงานของ สคส.
และภาคีเครือข่าย ค่อย ๆ ซึมซับและ
พัฒนาขึ้น จนเป็นวัฒนธรรมองค์กร
อันเป็นวัฒนธรรมขององค์กรเรียนรู้
ภาคีหรือผู้ร่วมงาน
(Participants)
ภาคีหรือผู้ร่วมงานของ สคส. มี 3 ชั้นหรือ 3 ระนาบ
ได้แก่
(1) พนักงานของ สคส.
(2) พนักงานขององค์กรพันธมิตร
(3) ประชาชนทั่ว ๆ ไป
สคส. ถือว่าคนใน 3
ระนาบนี้เป็นภาคีร่วมผลักดันขับเคลื่อนสู่ปณิธานความมุ่งมั่นในการ
ขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมที่มีความรู้เป็นฐาน
การดำเนินการของ สคส. จะคำนึงถึงภาคีทั้ง 3 ระนาบนี้เสมอ
การจัดองค์กร
(Organization)
สคส.
จัดองค์กรเพื่อความคล่องตัวสูงสุดในการทำงานแบบองค์กรเรียนรู้
มีการเรียนรู้ในทุกอณูขององค์กร
ในทุกส่วนของภาคีหรือผู้ร่วมงาน
และในทุกกิจกรรม ทุกขณะจิต
สคส.
จึงจัดองค์กรแบบไม่มีรูปแบบ
คล้ายรูปร่างของตัวอะมีบาที่เปลี่ยนรูปทรงได้ทุกขณะ
ถ้าจะให้ระบุรูปแบบการจัดองค์กร
น่าจะกล่าวได้ว่าจัดแบบ “คณะทำงาน” (Task Force)
เพื่อทำภารกิจอย่างใดอย่างหนึ่งทั้งที่เป็นภารกิจระยะสั้นและภารกิจต่อเนื่อง
ผลัดกันทำหน้าที่นำและหน้าที่สนับสนุน
กฎเกณฑ์กติกา
(Constitution)
เนื่องจาก สคส. เป็นโครงการภายใต้ สกว.
จึงปรับใช้กฎระเบียบของ สกว.
ทำให้มีความสะดวกคล่องตัว
แต่ในขณะเดียวกันก็มีระบบตรวจสอบที่เข้มงวดรัดกุม
มีความโปร่งใส มีหลักการชัดเจน
ภารกิจ
(Practice)
ภารกิจของ สคส.
คือการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายตามปณิธานความมุ่งมั่น
คือ ขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมที่มีความรู้เป็นฐาน
โดยทำความชัดเจนว่า สคส.
“ดำเนินการส่งเสริมการจัดการความรู้ในสังคมไทย
ทั้งในภาคสังคม – เศรษฐกิจพอเพียง และในภาคสังคม –
เศรษฐกิจแข่งขัน ทั้งในภาคราชการ
ภาคธุรกิจเอกชน ภาคเอกชนไม่ค้ากำไร
(เอ็นจีโอ) และภาคประชาชน
ทั้งดำเนินการส่งเสริมการพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินการจัดการความรู้ในบริบทและรูปแบบที่หลากหลาย
และส่งเสริมขบวนการเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมความรู้และสังคมเรียนรู้
โดยมีการสร้าง “ศาสตร์” ด้านการจัดการความรู้ในสังคมไทย
และสร้าง “สุขภาวะ” ทางสังคม และทุนทางสังคมไปพร้อม ๆ
กับการดำเนินการดังกล่าว”
นวัตกรรมในการดำเนินงาน ปี
2548
ปี 2548 เป็นปีที่ สคส.
และภาคีเครือข่ายร่วมกันสร้างนวัตกรรมในการทำงานขับเคลื่อนเครือข่ายจัดการความรู้ของประเทศมากกว่าในปีก่อน
ๆ หลายเท่า นวัตกรรมสำคัญ ๆ ได้แก่
· บล็อก
Gotoknow.org
เป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ทรงพลังมาก
· กิจกรรม “จับภาพ
KM”
จะเป็นกลไกเชื่อมโยงและกระชับความสัมพันธ์เครือข่ายที่มีพลังมาก
· การสร้างวิทยากร KM ขึ้นภายใน
สคส. และภายนอก จะเป็นบันไดสู่การสร้างวิทยากร KM
จำนวนมากในปี 2549
· “KM สัญจร”
เป็นกิจกรรมที่ก่อผลกระตุ้นและสร้างความมั่นใจให้แก่กลุ่ม
“คุณกิจ” และ “คุณอำนวย” ที่คณะของ KM สัญจรไปเยี่ยมชม
ก่อผลเชื่อมโยงกิจกรรมจัดการความรู้กับกลไกนโยบายระดับประเทศ
ที่บุคคลในคณะ KM สัญจรมีส่วนเกี่ยวข้อง
หรือรับผิดชอบอยู่
และเป็นกลไกเคลื่อนกระแสของการจัดการความรู้ในสังคมไทยไปพร้อม ๆ
กัน
·
เทคนิคการจัดตลาดนัดความรู้และการประชุมปฏิบัติการเพื่อทำความรู้จักการจัดการความรู้
มีรูปแบบที่ชัดเจนขึ้น
และเห็นได้ชัดว่าทำไม่ยาก
ทำให้การฝึกนักจัดการความรู้และวิทยากร KM ทำได้ง่ายขึ้น
·
มีภาคีเครือข่ายที่ขับเคลื่อนกิจกรรมจัดการความรู้ได้เอง
ช่วยเหลือองค์กรอื่นได้ เกิดวิทยากร KM
ขึ้นในองค์กรภาคี
·
เริ่มมีหน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางเครือข่าย (hub)
เข้ามาขอความร่วมมือ
ขอเรียนรู้วิธีการดำเนินการจัดการความรู้เพิ่มขึ้นมาก
แสดงว่าวิธีการของ สคส. ได้รับความเชื่อถือ
·
มีการจัดมหกรรมจัดการความรู้แห่งชาติครั้งที่ 2
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ สคส. เป็นผู้ดำเนินการหลัก
และเชิญองค์กรภาคีเครือข่ายเข้ามารับผิดชอบจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้
เป็นการปูทางสู่มหกรรมจัดการความรู้แห่งชาติ
ขนาดใหญ่มากในปีต่อ ๆ ไป
· รูปแบบของการจัดการความรู้ของ
สคส. เน้นการจัดระบบและเน้นบทบาทของ “คุณเอื้อ”
มากขึ้น
เพื่อให้เกิดการดำเนินการต่อเนื่องและเป็นเนื้อเดียวกันกับงานประจำ
·
มีการพัฒนารูปแบบของการประชุมวิชาการ
ให้มีความหลากหลายมากขึ้น
·
มีการให้รางวัลเพื่อสร้างบรรยากาศในการจัดการความรู้
ได้แก่รางวัลสุดคะนึง และรางวัลจตุรภาคี
·
มีการให้สัญญาสนับสนุนแบบใหม่
ที่คณะผู้ดำเนินการต้องเขียนบันทึกกิจกรรมจัดการความรู้ลงบล็อก
สคส. เป็นองค์กรขนาดจิ๋ว มีพนักงาน 10
คน ทำงานใหญ่
ในระดับขับเคลื่อนสังคม โดย
ใช้พลังของความเล็ก พลังขององค์กรเคออร์ดิก
พลังของเครือข่าย
โดยที่ความสำเร็จของปณิธานความมุ่งมั่นนี้
ขึ้นอยู่กับบทบาทของบุคคล กลุ่มคน
หน่วยงาน และองค์กรที่มีความหลากหลายซับซ้อน
ภายใต้บริบทของสังคมไทยที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลง (transition)
อย่างรุนแรง
เป็นการทำงานสร้างการเปลี่ยนแปลงในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยอย่างซับซ้อน
(และสับสนในหลายกรณี
รวมทั้งกรณีความเข้าใจเรื่องการจัดความรู้)
ความสำเร็จในเบื้องต้นของการทำงาน 3 ปีของ สคส.
คือการวางรากฐานความรู้ ความเข้าใจ
ศาสตร์และศิลป์ของการจัดการความรู้ที่เหมาะสมต่อสังคมไทย
รวมทั้งการขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้การจัดการความรู้ในบริบทขององค์กร
และบริบทของชุมชน
และที่สำคัญที่สุดคือการสถาปนากระบวนทัศน์หลักของการจัดการความรู้ในสังคมไทย
อันได้แก่
การพัฒนารูปแบบของการจัดการความรู้ที่เหมาะสมต่อสังคมไทยขึ้นใช้เอง
ไม่ลอกเลียนแบบจากต่างประเทศโดยตรง
รวมทั้งมีขบวนการขับเคลื่อนการเรียนรู้ (ศาสตร์และศิลป์)
ของการจัดการความรู้ผ่านการปฏิบัติ
เป็นวงจรที่เป็นพลวัตมีมีสิ้นสุด
ไม่มีความเห็น