จากกระแสพระราชดำรัสจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นหลักการที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ทุกระดับในทุกภาคส่วนของสังคมไทย ทังในภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงภาคประชาชน ด้วยหลักการห้าประการคือ (1) ความพอประมาณ (2) ความมีเหตุผล (3) ความมีภูมิคุ้มกัน (4) การใช้ความรู้ และ (5) การมีคุณธรรม ซึ่ง เป็นหลักการที่เน้นความพอดี ความสมดุลย์ ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคง ความยั่งยืน และเป็นหลักการที่รวมถึงความรอบคอบระมัดระวัง ความไม่สุ่มเสี่ยง ความไม่สุดโต่ง และความไม่โลภอย่างมาก ดังจะเห็นได้ว่า “การใช้ความรู้” เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งที่เป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง โดยจะต้องมีความตระหนักถึง “ความต้องการความรู้” ที่เป็นความรู้ทั้งเชิงทฤษฏีและสามารถปฏิบัติได้จริง เราต้องการความรู้ที่ถูกต้องและถูกหลักการ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นความรู้จากในตำรา แต่เป็นความรู้ที่สามารถหาได้จากภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่สามารถนำมากลั่นกรอง วิเคราะห์ สังเคราะห์ บวกกับหลักวิชาการลงไปด้วย เพื่อจะได้นำเอาความรู้ที่อยู่ในตำราที่เป็นความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และ ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์และทักษะ รวมถึงความเชี่ยวชาญที่มาจากปราชญ์ชาวบ้าน (Tacit Knowledge) มาบูรณาการเพื่อให้เป็นองค์รวม ทำให้สามารถนำองค์ความรู้ใหม่นั้นไปใช้ในการประกอบสัมมาอาชีพได้ต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมฐานความรู้ที่จะต้องประยุกต์ใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ความรู้จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สำคัญในการที่จะทำให้องค์กรสามารถอยู่รอดได้ ซึ่งเป็นทั้งความรู้ในเชิงวิชาการและวิชาชีพ ครอบคลุมถึงความรู้ที่ใช้ในการผลิต การบริโภค การลงทุน การกระจายรายได้ ดังนั้นประเทศจึงหวังให้มหาวิทยาลัยและสถาบันทางการศึกษาต่างๆ ให้มีการสั่งสมองค์ความรู้ที่มาจากภูมิ สร้างองค์ความรู้ใหม่ จากภูมิปัญญาในท้องถิ่นผสมผสานกับความรู้ที่สามารถหาได้จากการศึกษาเล่าเรียน การวิจัย หรือการปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จ (Best Practices) ก็จะสามารถใช้ความรู้ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างมีทิศทางและสอดคล้องกับกระแสพระราชดำรัส ให้เราพออยู่ พอกิน อย่างพอเพียงและเพียงพอต่อไป