ไม่รู้จะจั่วหัวยังงัยให้น่าสนใจ แต่ใครเข้ามาอ่าน อยากจะบอกว่า ต้องดูครับเรื่องนี้ แม้จะล่วงเลยมาพอสมควร ได้อ่าน Times เล่มบุคคลแห่งปี (คือคุณ) เห็นรายชื่อหนังสิบเรื่องแห่งปี 2006 รู้จักอยู่สองเรื่อง คือ United 93 และ Cars เรื่องแรกดูไปแล้ว ไม่ผิดหวัง ผู้กำกับเข้าใจทำ เอาข้อมูลมาประติดประต่อจนจำลองเหตุการณ์ขึ้นมาได้
ส่วนเรื่อง Cars ซื้อเก็บไว้ เปิดดูต้นเรื่อง ไม่น่าจะสนุก เลยดูได้นิดเดียวในรอบแรก รอบสอง เมื่อได้ดู ครึ่งแรกของเรื่องยังดูเรื่อยๆ เริ่มเห็นถนนสาย 66 และสาย 40 ที่พูดในหนัง
คำเด็ดๆ ให้คำจำกัดความของถนนสาย 66 คือ รถไม่ได้ขับผ่านเพื่อให้ได้เวลาดี แต่ขับเพื่อให้ได้เวลาที่ดีๆ (Not make a grate time but have a grate time)
ถนนสาย 66 จึงมีร้านรวงมากมาย เป็นแหล่งรวมความบันเทิง มีป้ายยินดีต้อนรับผู้ขับรถข้ามรัฐ โดยรวมคือมีชีวิตชีวา ที่นี่ชื่อเมือง Radiator Spring ที่กลายมาเป็น Racing Team ในเวลาต่อมา
แต่เมื่อตัดถนนสาย 40 ที่ตรงกว่า ทำให้ใช้เวลาขับรถข้ามรัฐเร็วขึ้น 10 นาที ถนนสาย 66 จึงหายไปจากแผนที่ และความรู้จักของผู้คน
แต่รถแข่งตัวเอกของเราก็หลงเข้าไป และต้องชดใช้ค่าเสียหายด้วยการซ่อมถนนที่ตัวเองทำพัง ถึงตอนนี้นึกถึงหนังสือแปลเล่มโปรด แผ่นดินนี้เราจอง (Pioneer go home) ของ Richard Powell แปลโดยเทศภักดิ์ นิยมเหตุ ขึ้นมาเลยครับ เล่มนี้เป็นอีกเล่มที่ต้องอ่านนะครับ ยิ่งใครอยากเป็นนักแปล อ่านแล้วจะรู้ว่า แปลดีๆ เจ๋งๆ ต้องอย่างนี้ครับ
หนังปูพื้นไปเรื่อยๆ พบพานบุคคลมากมายบนถนนสาย 66 รู้ความฝันของแต่ละคน พบรัก และพบอดีตฮีโร่รถแข่งที่คว่ำ จนต้องจบชีวิตนักแข่ง
ปูมาเสร็จก็เป็นฉากไคลแม็กซ์ แข่งรถครับ วิ่งกัน 199 รอบ จนรอบสุดท้าย พระเอกจะเข้าเส้นชัยอยู่แล้ว เหลือบไปเห็นเพื่อนรถแข่งด้วยกันคว่ำ และเป็นรถอายุเยอะ เบรคก่อนเข้าเส้นชัย เพื่อไปเข็นเพื่อนเข้าเส้นชัย ฉากนี้แรงครับ ดึงเอาทั้งเรื่องที่ปูมารวมกันเลย ดูฉากนี้ฉากเดียว รู้เลยว่าทำไมติดทำเนียบหนังดี
หลังจากฉากนี้ก็คลี่คลายความฝันของแต่ละคน จบแบบ Happy ending ถนนสาย 66 กลับมาในแผนที่อีกครั้ง ชีวิตชีวาก็กลับมาใหม่
เป็นหนังดีในรอบปีเรื่องหนึ่งเลยครับ แม้จะเป็นสูตรสำเร็จ แต่หนังกีฬา กับฉากแสดงน้ำใจ เรียกน้ำตาได้ทุกทีเลย
ทำไมไม่ได้ออสการ์หนอ เดี๋ยวต้องดู Happy feet ก่อนถึงจะรู้ |
ไม่มีความเห็น