ลุ่มน้ำปะเหลียนกินพื้นที่กว้างมีระบบนิเวศที่น่าสนใจมากทั้งเขตป่าบก ไล่ลงมาเป็นป่าสาคู ...ป่าชายเลน
เราคุ้นเคยกับป่าชายเลนอยู่บ้าง เพราะบ้านเดิมก็อยู่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และเคยไปดูงานป่าชายเลนในหลายจังหวัด น่าเสียดายที่ครั้งนี้ไม่มีเวลาไปดูป่าสาคู ซึ่งคุณด้วง ภรรยาอาจารย์พิศิษฐ์บอกว่า เป็นป่าที่สำคัญต่อแหล่งน้ำจืด งานนี้จึงไปดูแต่ป่าชายเลน
ชาวบ้านในเขตป่าชายเลนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม เราได้ไปคุยกับชาวบ้านหลายกลุ่มทั้งที่บ้านตะเซะ (กลุ่มชาวบ้านมีการอนุรักษ์ป่าชายเลน) บ้านแหลม (โรงเรียนมีบทบาทสำคัญมากในการจัดกิจกรรมที่มีผลต่อการอนุรักษ์) และนั่งเรือมาบ้านแตะหรำ (ที่ที่ชาวบ้านชี้ให้เห็นความแตกต่างของป่าปลูกเชิงเดี่ยวของรัฐ กับป่าชุมชนซึ่งมีความหลากหลายของพันธุ์พืชมากกว่า) เราใช้เวลาในการคุยแต่ละพื้นที่ประมาณ 2 ชั่วโมง
สิ่งที่เป็นความรู้ใหม่น่าสนใจสำหรับเรา คือ แนวทางการทำงานของอาจารย์พิศิษฐ์ ของสมาคมหยาดฝน และ ดร.เลิศชาย นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่มาช่วยให้คำแนะนำวิธีการศึกษาพื้นที่แก่ทีมเศรษฐศาสตร์
สำหรับอาจารย์พิศิษฐ์
เราคิดว่า การอนุรักษ์ก็ประเด็นหนึ่ง แต่หัวใจการทำงานจริงๆของอาจารย์พิศิษฐ์ คือ “การสร้างพื้นที่ให้กับคนเล็กคนน้อย”
“เราต้องใช้ประวัติศาสตร์เพื่อสร้างตัวตนให้กับชุมชน” อาจารย์บอกเรา และขณะนี้ เราคิดว่า อาจารย์ก็กำลังใช้เศรษฐศาสตร์ที่มองประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการรักษาป่า เพื่อสร้างความชอบธรรมและทำให้สังคมยอมรับบทบาทของ “คนเล็กคนน้อย” ผู้รักษาป่าเหล่านี้ ให้พวกเขามีที่ยืนในสังคมได้อย่างสง่างาม
และไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมอาจารย์จึงเห็นความสำคัญของการทำงานร่วมกันหลายฝ่ายเพื่อสนับสนุนชุมชน
สำหรับ ดร.เลิศชาย
อาจารย์ย้ำว่า “ชุมชนไม่ได้เป็นเอกภาพเสมอไป” และการศึกษาชุมชน คือ “การศึกษากระบวนการ” ที่เกิดขึ้นในชุมชน ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ และมักเป็นเรื่องของการจัดการที่จะ“อยู่ร่วมกันภายใต้ความขัดแย้งซึ่งมีอยู่เป็นธรรมดา”
**************
ก่อนออกจากตรัง เราได้ไปสักการะอนุสาวรีย์พระยารัษฎานุประดิษฐ์ เราเคยอยู่ที่ตรัง มาวิ่งเล่นและปิคนิคที่สวนบริเวณอนุสาวรีย์นี้อยู่ 7 ปี
เป็นเวลา 30 ปีแล้วที่เราไม่ได้กลับมาคารวะท่านอีกเลย
ได้มีโอกาสผ่านบ้านเก่าที่เคยอยู่ ผ่านโรงเรียนเก่าที่เคยเรียน ผ่านร้านหนังสือที่เคยแวะอ่านการ์ตูน เมืองตรังวันนี้เล็กลงถนัดตา และทรุดโทรมไปมาก
แต่การกลับมาเยือนก็น่าตื่นเต้นและมีความหมายมาก เราเก็บดอกศรีตรังจากสวนไว้ดอกหนึ่ง ทับไว้อย่างดีในหนังสือ
เราจะได้มาเมืองตรังและลุ่มน้ำปะเหลียนอีกครั้งในเดือนเมษายน
น่าสนใจจังคะ หน่อยยังไม่เคยไปเยี่ยม สมาคมหยาดฝนเลย แต่มีรุ่นพี่อยู่ ตรัง ด้วยคะ สมัยก่อนไปเที่ยว บ้านพี่และไปนั่งเรือ ไปลอดถ้ำ
จำชื่อไม่ได้ และไปดำน้ำดูปะการังด้วยคะ โลกใต้น้ำ
มีสีเยอะมาก ติดใจ ....พี่ทำงาน ประสานงานเครือข่ายชาวประมงภาคใต้ ภาคประชาชน
หัวหน้าเก่าของหน่อยที่สุรินทร์คะ
........................
อาจารย์ มีประสพการณ์ หลายจังหวัดดีนะคะ
ชอบ ดอกศรีตรัง ด้วยคะ
คุณหน่อยคะ
พี่อยู่ตรังตอนที่พื้นที่รอบตัวเมืองเป็นเขตสีชมพู หรือสีแดง คือ เป็นช่วงของการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างรัฐกับ พคท. จำได้ว่า แทบไม่ได้ออกไปนอกพื้นที่เขตเมืองเลย ยกเว้นตอนปิดเทอมที่ต้องเดินทางกลับบ้านที่สงขลา คือ จากตรัง ข้ามเขาพับผ้าไปพัทลุง แล้วไปลงเรือข้ามทะเลสาบสงขลา
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่รู้จักทะเลสวยๆของเมืองตรังเลย เสียดายมาก ลุ่มน้ำปะเหลียนก็เพิ่งได้ไปเยี่ยมครั้งนี้เป็นครั้งแรกค่ะ
รู้งี้เก็บดอกศรีตรังมาสองดอกก็ดีนะคะ จะได้ทับดอกไม้แห้งเผื่อคุณหน่อย
ขอบคุณอาจารย์ขจิตนะคะที่มาเยี่ยม และเชิญชวนไปที่พื้นทีครูบาสุทธินันท์ มีชาวบล็อคหลายคน น่าสนุกนะคะ ดิฉันเคยเรียนหนังสือกับอาจารย์จิระ หงส์ลดารมย์ ตอนเรียนที่เศรษฐศาสตร์ มธ. ด้วยค่ะ
ปี 47 เราเคยพากลุ่มชาวบ้านและนักวิจัยโครงการระบบแลกเปลี่ยนชุมชนไปสัมมนาที่ศูนย์ของครูบาฯค่ะ ครูบาสุทธินันท์เก่งมาก ยิ่งการนำเสนอใช้ไฮเทครวดเร็ว สนุก ได้สาระ
ตอนนี้กำลังจัดโปรแกรมชีวิตตัวเองอยู่นะคะ จะรับเอาข้อมูลจากอาจารย์ไว้พิจารณาด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณคะอาจารย์ ดอกศรีตรัง เป็นสัญญลักษณ์ ที่
มอ.ปัตตานี ด้วยคะ ที่ตึกเยื้องตึกกิจกรรม มีลานศรีตรัง
ค่ะ ชอบไปนั่งเล่น
คุณบางทรายคะ
อาจารย์พิศิษฐ์สบายดีค่ะ ท่านยังแข็งแรงมากทั้งกายและพลังใจ ยังประทับใจสิ่งที่ท่านพูดในวงชาวบ้าน สร้างกำลังใจให้กับทุกคน
ตามมาอ่านครับ...
ดีใจครับที่เห็นการพัฒนาเกิดขึ้นแถวบ้านเกิดครับ...
อยากให้พัทลุงได้รับการพัฒนามากกว่านี้ครับเพราะเป็นจังหวัดที่มักถูกมองข้ามครับ...
คิดว่าพัทลุงก็มีศักยภาพในการพัฒนาสูงเพราะมีเครือข่ายชาวบ้านเข้มแข็งค่ะ แต่ที่จริงพัทลุงก็สงบน่าอยู่นะคะ