ในเวทีภาคีงานวิจัย KM เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่ผ่านมา ผมมานึกย้อนดูว่ามีประเด็นหนึ่งที่ผมตั้งใจจะสื่อออกไป แต่ก็ยังทำได้ไม่ชัดเท่าใดนักก็คือ ตอนที่ผมพยายามจะพูดถึงความแตกต่างระหว่าง “การคิดค้น” กับ “การสื่อความ” ผมมองว่าประเด็นที่เรา ลปรร. กันในวันนั้นเป็นเรื่องของ “การคิดค้น” เป็นเรื่องของการวิจัย เช่น จะตั้งโจทย์อย่างไร? . . . โจทย์ใดที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อสังคมไทย? . . . และจะมีวิธีตอบโจทย์ต่างๆ ได้อย่างไรบ้าง?
ในช่วงบ่ายที่ผมดำเนินรายการก็ได้พยายามชี้ช่องให้เห็นว่า ถ้าเราไม่วิจัย ไม่คิดค้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เช่น ไม่รู้ว่า Learning Culture ของข้าราชการไทยนั้นเป็นอย่างไร . . . ไม่รู้ว่า KM แบบไหนจึงจะเหมาะกับส่วนราชการไทย ถ้าเราไม่มีการวิจัย Model ที่เหมาะสมส่งให้กับ กพร. เราก็ไม่ควรต่อว่า กพร. ว่า “ทำไมจึงใช้ KM Model ที่ยุ่งยาก ไม่เหมาะสม” ผมถือว่าสิ่งนี้เป็นความรับผิดชอบของภาคการศึกษาที่จะต้องช่วยกัน “ตั้งโจทย์ที่สังคมไทยได้ประโยชน์” ไม่ใช่สักแต่ว่า “เร่งผลิตนักศึกษา” มุ่งการทำวิจัยแบบ “Fast Food” ให้เสร็จๆ ไปเท่านั้น
ในตอนที่ผมพูดเรื่อง “ภาษา” ว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ “สื่อความ” ที่ทรงพลังแต่ก็มี “ข้อจำกัด” นั้น ก็เพียงแต่ต้องการบอกนักวิชาการทั้งหลายว่าอย่าไปติดกับ “ภาษา” มากเกินไป เช่น บางคนอาจจะทนไม่ได้เวลาที่ผมใช้ภาษาที่ง่ายเกินไป เช่นใช้คำว่า “หัวปลา” เพื่อสื่อให้เห็นถึงความจำเป็นในการเลือกประเด็นความรู้ที่จะมาแชร์กัน หรือใช้คำว่า “หางปลา” เพื่อเตือนสติว่าถ้าแชร์กันแล้วได้อะไรดีๆ ต้องอย่าลืมเอามาเก็บไว้ เป็นต้น เจตนาการใช้ภาษาของผม (ใน Model ปลาทู) ก็เพื่อสื่อสารให้เกิดความเข้าใจเพื่อให้นำไปใช้ นำไปปฏิบัติได้ ก็แค่นั้นครับ! การสื่อสารที่ได้ผลจะต้อง “ตีเข้าไปที่ใจ” ทำให้ผู้ฟังเข้าใจและมีไฟอยากที่จะทำ ไม่ใช่ไปติดอยู่แค่การได้ “ตีพิมพ์” โดยที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติใดๆ
ผมไม่เถียงครับว่าถ้างานวิจัยของท่านได้ตีพิมพ์ในวารสารชื่อดังระดับโลกย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผลงาน “การคิดค้น” ของท่านนั้น “ยิ่งใหญ่” เพียงใด แต่สิ่งที่ผมอยากให้นักวิจัยถามดัวเองก็คือคำถามที่ว่า ...แล้วสังคมไทยได้รับประโยชน์ใดๆ จากการ “คิดค้นอันยิ่งใหญ่” ของท่านหรือไม่? ปัจจุบันนี้มีงานวิจัยมากมายที่กลับกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่า ไม่ได้นำออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์แต่อย่างใด รู้ไหมครับว่าเป็นเพราะอะไร? . . . เป็นเพราะนักวิจัยไม่สามารถ “สื่อความ” ให้คนทั่วไปเข้าใจถึง “การคิดค้น” อันยิ่งใหญ่ของท่านได้ หรือไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นเพราะโจทย์วิจัยที่ท่านตั้งไว้นั้นสูงส่งเกินไป จนสังคมไทยไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากงานวิจัยนั้นเลย!!
ไม่สามารถ “สื่อความ” ให้คนทั่วไปเข้าใจถึง “การคิดค้น”
จริงโดยแท้เลยค่ะอาจารย์...มีหลายครั้งค่ะที่ได้มีโอกาสได้เจอลักษณะอย่างนี้ ยังนึกเสียดายอยู่เลยว่าถ้าอธิบายง่ายๆ น่าจะฟังเข้าใจกว่านี้ บางครั้งคงต้องคิดเสมอว่าจริงๆอย่างจะ "สื่อความ" อะไรให้ผู้รับสารรับ "สื่อ" นั้นจริงๆ
"คิดอย่างปราชญ์ ...พูดอย่างชาวบ้าน"
การที่ไม่ต้องแปลไทย เป็นไทย อีกรอบหนึ่ง มีความสำคัญอย่างที่อาจารย์อธิบาย พวกเบี้ยน้อยหอยน้อยระดับผมตามนักวิชาการได้กระท่อนกระแท่น ยกตัวอย่างไปซื้อสินค้า ฉลากมันเป็นภาษาต่างด้าวทั้งหมด อ่านไม่ออก ปฏิบัติตามขั้นตอนไม่ได้ แต่หน่วยงานฯเฮงซวยก็ไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้ น่าจะออกกฏหมายให้มีการแปลฉลากเป็นภาษาไทยกำกับทุกชนิดสินค้า
สมาคมคุ้มครองผู้บริโภคมันก็ไอ้แค่นั่นแหละ เรื่องสำคัญๆก็ไม่คิดทำ ไม่รู้ว่าใครคุ้มครองใคร หรือไปคุ้มครองอะไร
เรื่องวิชาการแบบไทยๆ สายพันธุ์ไทยต้องการคนอย่างอาจารย์นี่แหละมาตั้งหลักปักโจทย์
การวิจัยหรือการแสวงหาความจริง มาได้จากฐานคิด 2 อย่างครับ
แวะเข้ามาทักทาย ...สบายกันดีนะครับ สงสัยเรื่องนี้จะ "โดนใจ" หลายๆ ท่าน พรุ่งนี้มีประเด็นที่ต่อเนื่องกัน แต่ไม่รู้ว่าจะ "หลุดโลก" เกินไปหรือเปล่า
เห็นด้วยกับอาจารย์อย่างยิ่งค่ะ เรื่องการใช้ภาษาในการสื่อความ ผู้รับสื่อจะต้องดูให้ลึกถึง เจตนาของผู้ที่ใช้ภาษาสื่อสารนั้นด้วย จึงจะเข้าใจถ่องแท้ ทำให้นึกเปรียบเทียบไปถึงเรื่องรัฐธรรมนูญบ้านเรานะคะอาจารย์ เหตุที่ไม่ได้ดูไปที่เจตนารมย์ของคนเขียน ทำให้เกิดการตีความตามตัวอักษรอันวุ่นวาย (เอ๊ะ เปรียบกันได้หรือเปล่า ชักไม่แน่ใจแล้วค่ะ)
ประเด็นในบันทึกนี้ โดนใจค่ะ แต่ความเห็นของ อ. Handy ถูกใจมากๆ การวิจัย มาจาก 2 ฐาน คือ การใช้กิเลสเป็นตัวนำ และ ใช้เมตตาเป็นตัวนำ ทำให้เห็นภาพอะไรชัดเจนมาก เพียงแค่ใช้ภาษาสื่อสารที่ง่าย และ ตรงกับหลักพุทธธรรมพื้นฐานที่เราคุ้นเคย