ในการชี้แจงและทำความเข้าใจเรื่อง การจัดการความรู้ ให้กับเจ้าหน้าที่จากทุกจังหวัดและทุกเขตของกรมส่งเสริมการเกษตรที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 26 ก.พ. – 2 มี.ค. 50 ณ โรงแรมหลุยแทรเวิร์น กรุงเทพมหานครนั้น ทีมงาน KM ได้แบ่งงานออกเป็น 6 ช่วงคือ
ช่วงที่ 1 การให้ข้อมูล เกี่ยวกับเนื้องานในภารกิจงานหลัก 4 เรื่อง ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง วิสาหกิจชุมชน อาสาสมัครเกษตร และโรงเรียนเกษตรกร โดย ผู้เข้าฟังประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากกรม เขต และสำนักงานเกษตรจังหวัด รวมประมาณ 300 กว่าคน ส่วนผู้ให้ข้อมูล คือ เจ้าของงาน
ช่วงที่ 2 การให้ความรู้เกี่ยวกับ “การจัดการความรู้” ได้แก่ การกำหนดเป้าหมาย (หัวปลา = KV) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ตัวปลา = KS) และ คลังความรู้ (หางปลา = KA) ส่วนผู้รู้ คือ ดร. ประพนธ์ ผาสุกยืด และ เพื่อน ๆ ชาว KM ของกรมส่งเสริมการเกษตร (คุณชาญวิทย์ คุณทวี และ คุณสายัณห์ โดยมีคุณอุษา เป็นคนชวนคุย)
ช่วงที่ 3 แบ่งกลุ่ม 18 กลุ่ม เพื่อฝึกปฏิบัติ “นำการจัดการความรู้เข้าไปรวมกับ 4 ภารกิจงานหลักปี 2550 ของกรมส่งเสริมการเกษตร) โดยยึด 18 จังหวัดนำร่องเป็นแกนนำ และมี “คุณอำนวย” ประจำกลุ่ม และเมื่อทุกกลุ่มทำเสร็จแล้วก็มีการสุ่มนำเสนอ 7 กลุ่ม (เกณฑ์ คือ กลุ่มที่มีจุดแข็งและข้อดีแตกต่างกัน) เพื่อให้ทุกคนได้เติมเต็มกับกลุ่มของตนเอง ในขณะที่มีการนำเสนอ ดิฉันก็ทำหน้าที่ “จับประเด็นข้อมูล” ของทุกกลุ่มโดยใช้ตาราง ภายใต้กรอบ คือ KV KS และ KA
ช่วงที่ 4 สะท้อนย้อนข้อมูล เป็นการนำเสนอข้อมูลของทีมงาน (คุณอุษา คุณยอดธงไชย คุณสรณพงษ์ และคุณศิริวรรณ) ที่ได้สังเกตและจับประเด็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด คือ 1) สะท้อนข้อมูลและเนื้อหาสาระจากการนำเสนอข้อมูลของแต่ละกลุ่ม 2) การสังเกตพฤติกรรมการทำงานของแต่ละกลุ่มตั้งแต่เริ่มจนงานกลุ่มเสร็จ 3) การสังเกตบรรยากาศการทำงานร่วมกัน 4) การปิดเวทีด้วย เพลงประกอบภาพเป็น Clip VDO และ 5) การสรุปปิดการสัมมนา หลังจากนั้น 58 จังหวัด ก็เดินทางกลับ
ช่วงที่ 5 นำการจัดการความรู้ไปสู่การปฏิบัติ โดย 18 จังหวัดนำร่องในปี 2549 และเจ้าหน้าที่จากกรม เขต จังหวัด และคณะทำงาน ได้แบ่งกลุ่มเจ้าหน้าที่ตามเขตเป็น 6 เขต หรือ 6 กลุ่ม เพื่อช่วยกันคิดถึง “การนำการจัดการความรู้ ไปสู่การปฏิบัติจริงให้ 4 งานหลัก ของกรมส่งเสริมการเกษตรบรรลุผล” โดยเหตุการณ์ดังกล่าวทีมงานจะคอยสังเกตพฤติกรรมการทำงานของแต่ละกลุ่มอยู่ตลอดเวลา เช่น การยึดเวทีมีมั้ย? มีคุณอำนวยมั้ย? และใครเป็นศูนย์กลางของกลุ่ม” ซึ่งพบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวมีประมาณ 2-3 กลุ่ม ฉะนั้น เราจึงใช้หลากหลายเทคนิค เช่น โทรศัพท์ ไปชวนให้มาประชุม และไปสะกิดเพื่อชวนออกมาคุย เป็นต้น แต่ก็มีสิ่งดี คือ 1) มีการทำความเข้าใจระหว่างกัน 2) มีการสอนระหว่างกันเกิดขึ้น และ 3) ประมาณ 90 % มีคนที่เข้าใจเรื่อง การจัดการความรู้ อยู่ในกลุ่ม ๆ ละ 1-3 คน สิ่งที่เห็น คือ บรรยากาศที่แต่ละกลุ่มคุยกันเสียงดัง สนุกสนาน และเหย้าแหย่กันเป็นระยะ ๆ
ช่วงที่ 6 นำเสนอ ประมวลวิเคราะห์ เชื่อมโยงและสรุปจบ เมื่อ 6 กลุ่มทำงานเสร็จแล้วก็เปิดเวทีให้นำเสนอกันกลุ่มละประมาณ 10 นาที ซึ่งในขณะนำเสนอก็มี การเล่านิทาน การแหย่กลุ่มอื่น ๆ และการหยิบประเด็นมาแซวกัน ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะได้เป็นระยะ ๆ เพื่อให้ทุก ๆ อารมณ์ดี หลังจากนั้นคนที่เก็บข้อมูลและเนื้อหา (คุณมัลลิกา) ก็นำข้อมูลทั้งหมดมาประมวล วิเคราะห์ให้กับกลุ่มใหญ่ได้ฟังเป็นการสะท้อนข้อมูลกลับเพื่อให้คนเข้าคิดและสรุปบทเรียนด้วยตนเอง สุดท้าย คุณสำราญ ได้ทำหน้าที่มาเชื่อมโยงการจัดการความรู้ กับภาระงานที่เจ้าหน้าที่จะร่วมกันทำเพื่อมุ่งสู่องค์กรให้เกิดผลสัมฤทธ์ ภายใต้หลักการของ KV KS KA ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติจริงกับทุกหน่วยงานของกรมส่งเสริมการเกษตรทั่วประเทศกำลังใจที่เกิดขึ้น คือ มีผู้บริหารอยู่กับเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา คอยให้กำลังใจ และเฝ้ามองพวกเราอย่างเงียบ ๆ บางครั้งแอบฟังเจ้าหน้าที่คุยกันและแอบอมยิ้ม ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในบทบาทของหัวหน้าอย่างแท้จริง ทีมงานมีความมุ่งมั่นเพื่อพัฒนาบุคลากรของเราเอง แต่ “งานจัดการความรู้” ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำร่วมกัน และกำลังรอเราอยู่ข้างหน้า.
KM เป็นอะไรที่ดีมากครับ อนุโมทนาผู้คิดริเริ่มโครงการนี้้ด้วยครับ