การแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ที่เกิดขึ้นใน Oral Presentation ภาคเช้า กรรมการอนุญาตให้ถาม 1 คำถาม เป็นการตอบคำถามของอาจารย์เป็นส่วนใหญ่ ในจำนวนน.ศ. 7 คน ถูกถาม 6 คน สามารถตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษได้ 2 คน 1 ใน 6 คน ถูกถามเป็นภาษาอังกฤษแล้วตอบไม่ตรงคำถาม ต้องเปลี่ยนเป็นคำถามภาษาไทย ตอบไทยจึงพอเข้าใจ น.ศ. 3 คน ขอตอบเป็นภาษาไทย ทราบจากอาจารย์ที่ปรึกษานอกเวทีว่า ที่จริงอาจารย์ถามในฐานกรุณา เพื่อเพิ่มสีสันให้บรรยากาศในการประชุมเป็นงานวิชาการมากขึ้น ในขณะที่น.ศ.ด้วยกันนั่งฟังตาแป๋ว ไม่แน่ใจว่าไม่สงสัย ฟังไม่ทัน หรือฟังไม่รู้เรื่อง ตัวดิฉันเองฟังเรื่องของเทคนิคการแพทย์ก็ไม่เข้าใจ เลยไม่มีใครถาม งานนี้รุ่นน้องเกิดการเรียนรู้ว่า ปีหน้าต้องเตรียมหน้าม้ามาเลย เพราะถามแค่ 1 คำถาม ก็ต้องให้หน้าม้ารีบยกมือถาม จะได้ตอบถูก
ดิฉันเป็น 1 ใน 2 ที่บรรยายและตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษ (แบบตะกุกตะกัก) ในคำถามง่าย ๆ ว่าเพราะอะไรจึงเลือกเก็บข้อมูลในจังหวัดนครสวรรค์ แต่ก็ได้รับคำชมเชยจากอาจารย์สุชีราและอาจารย์กนกรัตน์ ว่านำเสนอได้ดี มีอาจารย์ 1 ท่านพูดด้วยตอนcoffee brake ว่า"รู้สึกจะสำเนียงดีที่สุดในเช้านี้นะคะ" เท่านี้ดิฉันก็รู้สึกเป็นปลื้ม ตัวพองไปทั้งวัน
อ.สุชีราบอกว่าการประชุมในศิริราชที่ได้จัดห้องประชุมอาทิตยาทรฯ นับเป็นงานที่ grand โอกาสที่ได้รับในครั้งนี้จึงนับเป็นประสบการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตของดิฉัน ประโยชน์ที่เกิดทันที คือ ดิฉันยังไม่ได้สอบป้องกันวิทยานิพนธ์ งานนี้ได้รู้ช่องโหว่ของตัวเองก่อนว่า การนำเสนอเพื่อให้ผู้ฟังเห็นกรอบแนวคิด วิธีการ ผลการศึกษา และการวิจารณ์อย่างชัดเจนควรทำอย่างไร เช่น หลายคำถามในวันนั้นเป็นคำถามที่ต้องอธิบายเพื่อลด bias ในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งที่จริงมีคำตอบแล้ว แต่ถ้าไม่นำเสนออาจเกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องได้แม้ที่ผ่านมาและปัจจุบันดิฉันจะยังต้องทะเลาะกับภาษาอังกฤษอย่างหนักก็ตาม ดิฉันรู้สึกภาคภูมิใจว่า "Yes, I can do it"
สกุลรัตน - DAENG...D