เมื่อคืนที่ผ่านมา 10 กันยายน2549 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ผมคิดในใจว่าพรุ่งนี้จะลองขี่จักรยานเพื่อเดินทางไปทำงานเพราะอยากจะย้อนอดีตชีวิตวันวิปโยคที่สำคัญคือ การที่ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินจำนวนสองลำพุ่งเข้าชนตึก WORD TREAD ในสหรัฐอเมริกา จนพังพินาศผู้คนเสียชีวิตกว่าสามพันคนด้วยเหตุตึกพังลงมาและเกิดไฟไหม้ อีกประการหนึ่งฟังข่าวเกี่ยวกับการจับผู้ต้องหาเกี่ยวกับคดีข่มขืนเด็กในจังหวัดสุพรรณบุรีได้และฟังข่าวการเมืองที่น่าสงสัยประกอบกับการดูสาระเกี่ยวกับเวทีการประกวดนางสาวไทยและรู้สึกยินดีกับนางสาวไทยคนล่าสุดพร้อมรองฯทั้งคู่ซึ่งมีความสามารถในคุณลักษณะ “หญิงไทย” โดยเฉพาะนางสาวไทยชอบกีฬาแนวบู๊ใน "เทควนโด"และมีอุดมการณ์ที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้ยากไร้แม้อายุจะเพียง 18 ปีก็ตาม (ช่างคิดสรรสร้างที่ดี น่านับถือ)
พยายามตื่นแต่เช้า แต่ลูกสาวก็ตื่นก่อนเห็นสาระวนกับการทำงานบ้านส่วนแม่ยายไปตลาดเตรียมอาหารเช้า หลังอาหารเช้าจึงได้เดินทางกับความฝันดังตั้งใจคือ ขี่จักรยานไปทำงานในเวลา 07.00 น. สู่จุดหมายและคิดว่าเวลานี้น่าจะปลอดโปร่งแต่กระแสความจริงกลับสวนความนึกคิดเพราะเป็นวันจันทร์ ผู้คนขวักไขว่ รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์หลากหลายชนิดแผดเสียงเติมเต็มบนท้องถนนยามเช้า(ยามสายของชีวิต) โธ่เอ๋ย! เมืองน่านถ้าใครไม่ลองขี่ปั่นจักรยานช่วงเวลานี้จะไม่รู้เลยว่าสภาพถนนลาดยางยามเช้าตลบอบอวลไปด้วยควันจากท่อไอเสียรถ เครื่องยนต์เก่าๆที่ขับแข่งแซงกันไปข้างหน้าแม้ว่าจะหลุดรอดมลพิษออกมาสู่บริเวณหน้าสนามบินก็ไม่วายมีรถยนต์มากมายที่จะรีบเร่งไปสู่จุหมายให้ทันการ ปั่นจักรยานมาได้ประมาณ 2 กม.รู้สึกปลื้มใจขึ้นมาว่าระยะทางสู่จุดหมายเหลือน้อยลงทุกที จาก 10 กม.เหลือ 8 กม.และจะลดลงเรื่อยๆ การเดินทางของผมนั้นใช้วิธีค่อยๆปั่นค่อยๆไปไม่เร่งรีบแต่ให้ทันเวลางานพร้อมสำรวจเส้นทางดูวิวทิวทัศน์ข้างทางไปด้วย จากการสังเกตฯเห็นว่าสภาพถนนลาดยางพอใช้ได้แต่ขอบถนน ความขรุขระยังมีเยอะซึ่งเป็นอันตรายสำหรับผู้ขับขี่จักรยานยนต์หรือจักรยานซึ่งอาจทำให้เสียการทรงตัวในการขับขี่ มีบางคนยังใช้เส้นทางนี้ไปไร่สวนและขับขี่ปั่นจักรยานออกกำลังกายในยามเย็นรถยนต์หลายคันวิ่งแซงขึ้นไปประดุจดังต้องการไปถึงจุดหมายปลายทางตามเวลาที่ถูกกำหนดไว้ ซึ่งตรงข้ามกับตัวผมเองซึ่งปั่นจักรยานอย่างระมัดระวังและให้การเดินทางเป็นไปตามแรงหมุนของโลกและล้อเพื่อถึงที่หมายอย่างใจต้องการอย่างมีสติและไม่เบียดเบียนถนนหนทางผู้อื่น ระยะทางแต่ละเมตรแต่ละกิโลช่างสร้างสรรค์สำหรับนักเดินทางด้วยยานพาหนะตามที่ตนมีอยู่ไปทำงาน ไปธุระ ไปค้าขายหรือไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ช่วงทางที่ผมปั่นจักรยานจะมีทางขึ้นเขา ลงเขาสลับกันไปประมาณ 3 แห่งคล้ายกับทางชีวิตมีขึ้นมีลงแต่ทางขึ้นเขาต้องใช้แรงกายแรงใจทุ่มเทเมื่อสูงสุดจุดหมายก็คลายเหนื่อยแต่พอลงเขาลิ่วล้อล่องลอยลมพัดเย็นสบายหายเหนื่อยแต่ต้องประคับประคองให้พาหนะอยู่ในครรลองของช่องทางที่ถูกต้องบางครั้งประหม่าในความเร็วที่อาจเกิดอันตราย ลมพัดผ่านใบหูดูอื้ออีงประหนึ่งมัจจุราชโห่ร้องโหยหวนตามปลิดชีวิตแต่พอรู้สึกตัวประคับประคองเหลียวมองไปดูเบื้องหลังพบเพียงรอยกงล้อล่องลอยหายไปกับสายลมดังล่ำลาจาก แต่พอหันกลับมองไปข้างหน้ามัจจุราชกลับตามมาเสียงอื้ออึงจึงต้องลดเลี้ยวความเร็วลงและมัจจุราชคงปราณีสู่จุดหมาย 08.30 น.เสียงปรบมือต้อนรับความแปลกใหม่ ข้าราชการไทยในยุค(น้ำมันแพง)เปลี่ยนแปลง
พี่หนานฐิน
ยินดีกับการได้ "ถีบฝัน - ปั่นชีวิต"
เผาผลาญไขมัน แต่ไม่สิ้นเปลืองน้ำมัน
สัญจรเงียบกริบ ดุจสายลมพลิกไหวใบไม้
วิถีถีบ วิถีเรา เมาไม่ถีบ....
วิถีโลกเปลี่ยนไปกับมวลบรรยากาศ
ธาตุทั้งสี่เปลี่ยนแปลงในร่าง
อารมณ์ร้อนแรงดังแสงกล้า
แผดเผาผิวพสุธากายาร้อนรน
ผู้คนห่มชีวิต จักรยานชีวจิตมิคิดแข่งขัน...แต่แบ่งปันฯ
ขอบคุณ(หมื่นครั้ง)
......พืชยืนต้นที่ให้พักพิง