ขณะที่วงการศึกษากำลังสนใจข่าวการประท้วงของครูเรื่องการถ่ายโอนอำนาจการจัดการศึกษาไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.)
นัยว่าจะเคลื่อนขบวนไปแสดงพลังคัดค้านการถ่ายโอนอำนาจที่หมู่บ้านครูข้างหอประชุมคุรุสภาในอีกไม่กีวันข้างหน้านี้
อีกส่วนหนึ่งของนักการศึกษาที่เกาะติดเรื่องการปฏิรูปการเรียนรู้ของกุลบุตรกุลธิดา
ซึ่งเรากำลังเดินมาถูกทางแล้ว ได้นำเอาแนวคิด วิธีการจัดการความรู้ KM
:Knowledge Management
มาเป็นเครื่องมือในการจัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
วันนี้เราได้เห็นตัวอย่างของผู้กล้าที่จะก้าวออกนอกกรอบกะลา
ก้าวไปสู่โลกกว้างทางการศึกษา
โลกแห่งการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต (long life
Education) ได้เกิดขึ้นแล้วในแวดวงการศึกษาบ้านเรา
เพียงแต่เขาเหล่านั้นต้องการให้เด็กๆลูกหลานที่ต้องการการศึกษา
อบรมบ่มนิสัยให้เป็นคนดี มีปัญญาและสามารถอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
นี่คือโจทย์ที่ดูเหมือนจะพูดง่ายแต่ทำได้ยากยิ่ง
การแก้โจทย์ปัญหาทางการศึกษาเป็นสมการเชิงซ้อนที่ต้องอาศัย
"ปัญญา" หรือ "ความฉลาดเฉลียว"
(Wisdom) เป็นฐานคติในการแก้ปัญหา
ผสมผสานกับสูตรสำเร็จในการดำเนินการ ดังนี้
สูตร
(ฉันทะ + วิริยะ + จิตตะ + วิมังสา)
หารด้วย
ความร่วมมือของทุกคน
= ความสำเร็จ
ปัญหาการศึกษาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้
หากเราทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูงตลอดจนเพื่อครูอาจารย์ในสถานศึกษาทุกแห่ง
ได้ใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหา ด้วยความฉันทะ (พอใจที่จะทำงาน)
วิริยะ (เพียรพยายาม) จิตตะ (มุ่งมั่นกัดไม่ปล่อย) และวิมังสา
(หมั่นทบทวน R&D)
และอาศัยพลังของทุกคนร่วมด้วยช่วยกันแบ่งงานกันทำตามความถนัด
ความสามารถ ไม่ถือเขาถือเรา ไม่ยึดอัตตา
เชื่อมั่นว่าความสำเร็จคงไม่ไกลเกินเอื้อม
สิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกคนพึงระลึกอยู่เสมอคือ
"ผู้เรียนสำคัญเป็นอันดับ 1"
ฉะนั้นก่อนที่จะทำอะไรลงไปของให้ลองชั่งน้ำหนักดูว่า ผลดี -
ผลเสีย
และประโยชน์ที่จะเกิดผู้เรียนโดยส่วนรวมมีมากน้อยแค่ไหนเพียงใด
แล้วจึงลงมือปฏิบัติ
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่ายินดี
เช้าวันนี้ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนครูในหลายจังหวัดไม่ว่าจะเป็นอุทัยธานี
สมุทรสงคราม
ต่างก็โทรมาถามถึงเรื่องการไปร่วมงานมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ
ครั้งที่ 2 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 1-2 ธ.ค.นี้ ที่โรงแรมมิราเคิล
กรุงเทพฯ
แสดงว่ายังมีครูจำนวนไม่น้อยที่กัดไม่ปล่อยในการเดินหน้าปฏิรูปการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนสำคัญเป็นอันดับต้นๆ
จึงเป็นกุศลจิตเจตนาที่น่าอนุโมทนาสาธุครับ
ความจริงน่าเห็นใจครูนะ เพราะเคยอยู่ในบ้านดีๆอยู่ๆก็มีคนบอกให้ย้ายบ้าน และยังไม่แน่ใจว่าบ้านใหม่จะดีกว่าบ้านเก่าหรือไม่ หรือจะเข้าทำนองหนีเสือปะจระเข้าก้ไม่รู้สิ
แต่หัวใจของความเป็นครูยังมีเกินร้อย ยังอยากเห็นรัฐบาลให้การสนับสนุนส่งเสริมการจัดการความรู้ของครูและนักเรียนในชนบทห่างไกล ซึ่งในวันนี้เราก็จัดการความรู้กันตามอัตภาพ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ยังไม่สายเกินไป หากโรงเรียนใดคิดจะทำทำได้เลย ไม่ต้องรองบประมาณ ไม่ต้องรอสั่งการจากรัฐมนตรีศึกษา (ใหม่)
น่าสนใจสูตรความสำเร็จค่ะ
น่าสนใจที่ใช้การแบ่งการทำงานมาเป็นตัวหาร
ขออนุญาตเพิ่มความคิดนะคะว่า ถ้าหารแล้ว หวังว่าคงไม่ใช่การพยายามหารลงตัวและทุกๆคนต้องทำสิ่งเดียวกัน ด้วยปริมาณที่เท่ากันนะคะ
"ผู้เรียนสำคัญเป็นอันดับ1" ทันสมัยอยู่เสมอสำหรับคนเป็นครู