ยังไม่สายใช่ไหม กับการรู้สึกสำนึกผิด....จากคนที่คิดได้อย่างฉัน


ยังไม่สายใช่ไหม กับการรู้สึกสำนึกผิด..จากคนที่คิดได้อย่างฉัน

     ฉันเกิดในครอบครัวอบอุ่น  ฉันแอบยิ้มและปลื้มใจทุกครั้งที่เห็นพ่อดูแลปรนนิบัติแม่ดีมากๆ  พ่อทำกับข้าวอร่อยที่สุด  เกิดมาจำความได้  ฉันไม่เคยแม้สักครั้งที่จะเห็นพ่อดุคนในบ้าน  หรือทำเกรี้ยวกราดกับแม่   พ่อคือฮีโร่ในดวงใจฉัน   จนฉันลอกเลียนแบบจากพ่อมาเกือบจะทั้งหมด  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานบริการในบ้าน  งานศิลปะ  และการดูแลสังคมในท้องถิ่น  แม้แต่อารมณ์  การพูดจา  การมีมนุษยสัมพันธ์ต่างๆ  พ่อสอนให้ลูกทุกคน  ได้รู้จัก "ให้"  มากกว่ารับ  รู้จักการ  "แบ่งปัน" มาแต่เด็ก   และพ่อก็จะย้ำให้ฟังเสมอว่า  "ความสุภาพ"  หรือ "สุภาพบุรุษ"  ไม่ใช่ "เจ้าชู้"  นะลูก

     เพื่อนๆ  หรือคนที่รู้จักครอบครัวของฉัน  จะชื่นชมว่า  ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและน่ารัก  

     แต่ความผิดปกติที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของฉัน  มันเริ่มฉายแววออกมา  เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่า  ฉันมีความผูกพันกับเพื่อนผู้หญิงมากกว่าเพื่อนผู้ชาย  เพราะภาพที่พ่อดูแลปรนนิบัติแม่  เอาใจใส่แม่  เป็นภาพที่ฝังอยู่ในความรู้สึกของฉันมาแต่เยาว์วัยแล้ว   ฉันเคยให้พ่อของฉันพาไปพบจิตแพทย์  เพราะฉันกลัวเหลือเกินว่าฉันจะมีความเบี่ยงเบนทางเพศ 

     หลังจากไปพบจิตแพทย์แล้ว  หมอแนะนำให้ยาปรับระดับโฮร์โมนมากิน  กลับมาถึงบ้าน  พ่อกับแม่ของฉันพูดว่า "ลูกของพ่อกับแม่จะเป็นยังไงก็ช่าง  ลูกโตแล้ว  เรียนมาสูงยิ่งกว่าพ่อแม่ซะอีก  ย่อมคิดอะไรได้มากกว่า  พ่อแม่เลี้ยงลูกได้แต่ตัว  ใจนั้นพ่อแม่เลี้ยงไม่ได้หรอ  เอาเป็นว่ารักรักใครพ่อกับแม่รักด้วยแล้วกัน  ไม่ต้องกังวล"

     วันเวลาผ่านไป  ฉันสามารถอยู่กับครอบครัว  อยู่กับตัวเอง  และงานที่ฉันรัก  ฉันได้ไปเป็นครูในโรงเรียนกันดารแห่งหนึ่ง  ฉันสามารถสร้างสร้างบ้านเล็กๆ  ซื้อรถเล็กๆ อยู่ในโลกใบเล็กๆ  แต่มีเพื่อนร่วมงานที่น่ารักมากมาย   พอเสาร์อาทิตย์ฉันก็กลับบ้านของฉัน  มานอนหนุนตักพ่ออย่างมีความสุข   มันก็น่าแปลกมากๆ  ตรงที่ว่าฉันชอบนอนกอดพ่อ  นอนหนุนตักพ่อ  ชอบคลอเคลียพ่อ  มีความสุขที่ได้เดินโอบไหล่พ่อซื้อของใช้ในห้างสรรพสินค้า  ชอบพาพ่อไปนวดแผนโบราณแล้วฉันนั่งรออย่างสดชื่น  แม้แต่ในวันหยุดฉันก็จะพาพ่อไปช่วยจัดนิทรรศการในที่ทำงาน   จะแอบปลื้มที่พ่อลายมือสวย  วาดรูปเก่ง  เป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ฉันอยากจะลอกเลียนแบบผู้ชายที่ฉันรัก

     สิ่งที่ฉันไม่คาดคิดก็มาถึง   ในวันหนึ่งพ่อของฉันเข้าโรงพยาบาลเพราะเส้นเลือดในสมองแตก  ฉันพยายามทุกวิถีทางที่จะได้พ่อฉันคืนมา   ฉันยอมขายทรัพย์สิน  สิ่งที่มีค่าเพื่อรวบรวมเงินรักษาพ่อ  ถึงแม้ว่าจะเบิกได้ก็ตาม  แต่ก็เบิกได้บางส่วนเท่านั้น  พ่อนอนอยู่ในห้องไอซียู  49 วัน  ฉันสิ้นหวัง  ได้แต่ภาวนาและทำสมาธิส่งกระแสจิตให้พ่อของฉันดีกลับมาเหมือนเดิม   ซึ่งในตอนนั้นแม่ของฉันก็ผ่าตัดหัวเข่าด้วย  เพราะเป็นหินปูนในสะบ้าเข่า  ฉันกับพี่ชายก็ช่วยกันดูแลพ่อแม่อย่างดี  พี่ชายของฉันก็มีนิสัยเหมือนพ่อ  ก็เลยคลายกังวลลงได้บ้าง

     เหมือนพายุที่ยังไม่ลดกำลัง   กระหน่ำมาอีกครั้ง  เมื่อพี่ชายของฉันประสบอุบัติเหตุ  หมอเรียกฉันไปดูอาการของพี่ชายแล้วบอกว่า  เสียใจด้วย เพราะหลังหัก  ฉันทรุดลงกับพื้น  แต่ฉันก็เห็นคณะแพทย์เรียกประชุมกัน  ฉันเห็นพยาบาลฉีดมอร์ฟีนให้พี่ชาย  ในตอนนั้นพี่ชายของฉันพูดได้อย่างเดียว  แขนขาไม่ไหวติงสักนิด  แต่ใจฉันฮึดสู้  เพราะถึงอย่างไร  ฉันก็ต้องสู้เพื่อให้พี่ชายของฉันกลับมาให้ได้

     ฉันกลับบ้าน  ไม่กล้าบอกพ่อกับแม่เลยว่า  เกิดอะไรขึ้นกับพี่ชาย  ในตอนนั้นพ่อเริ่มอาการดีขึ้น  สามารถรับรู้ได้  แต่เดินไม่ได้  แต่เขาเรียกกันว่าเป็นอัมพาตนั่นเอง  

     ฉันตัดสินใจบอกแม่เรื่องพี่ชาย  แทนที่แม่ฉันจะร้องไห้ฟูมฟาย  แม่กลับสูดลมหายใจเข้าปลอดลึกๆ  แล้วบอกฉันว่า  อย่าท้อ  แล้วแม่ก็กระเผกเข้าครัว  ยกถาดอาหารมาป้อนให้พ่อ  ฉันมองตามแม่อย่างศรัทธา  แม่ของฉันเข้มแข็งกว่าที่ฉันคิดซะอีก

     เหมือนสายตาพ่อจะถามว่า  "พี่ชายหายไปไหน"  ฉันก็จะพยายามหาวีดีโอ  สื่อสุขภาพมาฉายให้พ่อดู  เพื่อที่พ่อจะมีกำลังใจมาทำกายภาพ  มีวันนึงพ่อชี้ไปข้างนอก  เพื่อถามหาพี่ชาย  ฉันก็ต้องจำเป็นโกหกว่าพี่ชายมีงานต่างจังหวัด  เหมือนเค้ามีสังหรณ์แปลกๆ  ส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อ

     สามเดือนผ่านไป   พี่ชายฉันได้รับการผ่าตัด  แต่ก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้  ฉันเริ่มท้อแท้  ปัญหาจากหลายด้าน  ฉันไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนโดยไม่มีการตั้งกรรมการสอบ  และการตั้งกรรมการสอบสวน  ก็ได้แต่คิดว่า  "มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน"  ความท้อแท้และสินหวัง  หมดพลังใจ  ทำให้ฉันคิดผิดๆ  วูบหนึ่งคือ "เราสี่คนพ่อแม่ลูกตายพร้อมกันเถอะ"  นาทีหนึ่งกับความคิดชั่วๆ  คือฉันจะฉีดยาพิษให้คนในครอบครัวของฉันตายไปทีละคน  

     จำได้ว่าวันนั้น  วันที่ฉันคิดผิด  เป็นวันที่ฝนตกปรอยๆ  ฉันจอดรถที่ลานจอด  ฉันมองเห็นช่อดอกราชพฤกษ์  หรือที่เรียกว่าดอกคูณ  ฉันเด็ดจากต้นไปช่อนึง  เดินขึ้นอาคารผู้ป่วยไป  ค่อยๆวางช่อดอกคูณที่ข้างๆแขนของพี่ชาย   ฉันตกใจเพราะพี่ชายตื่นและพูดว่า "คันๆๆ  อะไรมาไต่"  ฉันมองไปที่แขนพี่ชาย  เห็นมดแดงตัวหนึ่งที่มันติดมากับช่อดอกคูณ  กำลังเดินไต่อยู่  ในใจของฉันตอนนั้นคิดว่า "เราตายไม่ได้แล้ว  เราต้องอยู่  พี่ชายเรารู้สึกตัวแล้ว"  พี่ชายของฉันทำกายภาพ  สามารถกลับมาอยู่บ้านได้  ทำงานได้  ถึงจะไม่ปกติก็ถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว   

     พ่อรับรู้อาการของพี่ชาย  หลังจากที่พี่ชายเริ่มเดินได้  แม่ของฉันก็อาการดีขึ้น  พ่อก็สามารถกินอาหารปกติได้  ฉันมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง  มีกำลังใจเรียนต่อปริญญาโทให้จบ  อยากให้พ่อชื่นใจ  อีกสองปีต่อมา  พ่อของฉันก็นอนหลับอย่างสบายโดยไม่มีอาการแทรกซ้อนเลย

     ฉันเริ่มรู้สึกเหงา  มีปัญหาก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร  เริ่มเที่ยวกับเพื่อน  เริ่มติดอบายมุข  เงินทองทรพย์สินก็เริ่มหมดไป  ฉันเริ่มคิดและสำนึกผิด   ไม่อยากให้วิญญาณของพ่อเป็นห่วง  ไม่อยากให้แม่เสียใจ....มาถึงวันนี้   ฉันเริ่มรู้สึกเป็นคนเก่าอีกครั้ง   รักที่จะทำงาน   อยากทำผลงาน  ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ 

.......ภาพในวัยเด็ก  ภาพครอบครัวที่อบอุ่นของฉัน   ดึงฉันมาจากอบายมุข...ได้จริงๆ

     ฉันยังจำเพลงที่พ่อชอบร้องให้ฉันฟังเสมอว่า  "ชีวิตที่ผ่านพบ  มาลบย่อมมีเพิ่ม  ขอเพียงให้เหมือนเดิม    กำลังใจ  "

หมายเลขบันทึก: 77325เขียนเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2007 07:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 21:19 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่
แต่ก็อยากจะบอกว่า สู้ต่อไปครับ

"ถึงจะรู้ว่ามหาสมุทรมีพายุ คลื่น
และอันตรายสารพัดรออยู่ แต่เรือทุกลำ
ก็ไม่ได้สร้างมาเพื่อให้จอดนิ่งอยู่ริมฝั่ง
เมื่อออกจากท่าเรือไปแล้ว ไต้ก๋งเรือที่
มีความสามารถเท่านั้นจึงจะพาเรือไป
ยังจุดหมายปลายทางได้"


คิดว่าไต้ก๋งคนนั้นคงมีชื่อว่าสติ สัมปชัญญะ
หาให้เจอก็เป็นสุข เหมือนอย่างในเพลง
เขาว่าใว้ครับ

"ชีวิตคือการก้าวเดิน...แต่ชีวิตย่อมลิขิตไปตามสภาพปัจจุบัน...ต้องเดินต่อไปเพื่อใจที่มั่นคง..ครับ คุณครู.....จาก..ลูกหลานด่านทองหลางครับ......

ขอบคุณค่ะ  น.เมืองสรวงและ คนผ่านมาค่ะ

     ตอนนี้  เวลาผ่านไป  เรื่องราวของเราที่เคยใช้ชีวิตที่ไม่ควรจะเป็น  เราได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในครอบครัวดังเดิม  ทำงานเกินร้อยแล้วค่ะ  เรามีความสุขมากกับสิ่งที่เป็นอยู่  บ้านเรามีสามหลังคือ  บ้านที่มีแม่  โรงเรียนที่มีเด็กรอเราอยู่  วัดที่เราไปทำสมาธิทุกสัปดาห์  แค่นี้ก็เพียงพอมากแล้วสำหรับเราค่ะ  

     เราดีใจ  ที่เราสามารถเรียนรู้ชีวิตได้ด้วยตนเอง  โดยเอาประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นครู  เราเข็มแข็งเหมือนเดิม  เราสามารถวิเคราะห์ตนเองได้อีกระดับหนึ่ง  ว่าเราอยู่สถานภาพไหน  ต้องทำอย่างไร  จะขอก้าวเดินต่อไป  ทุกก้าวย่างอย่างมีค่าค่ะ

ยินดีกับคุณครูด้วยครับ...ได้นำเรื่องราวดี ๆ ๆ มาถ่านทอดให้ได้เรียนรู้กัน....คนเรามีเพียงแค่ 3 บ้าน ครับ สุดท้ายก็ต้องไป...บ้านเก่างัยครับ..แฮ่ ๆ ๆตอนนี้เราอยู่ มีชีวิตที่เพียงพอแล้ว อย่าลืมแบ่งปันสังคมล่ะครับ  .... เพียงเพื่อนำประโยชน์และก่อเกิดสิ่งดี ๆ ให้เกิดแก่สังคม ชุมชน ที่ ที่ เราอยู่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว...

....หากมีโอกาสไปเยี่ยมเยียนคุณครูแอ๊ด...จะแวะไปสัมภาษณ์และเยี่ยนเยียนนะครับ.....

ผมซื้อกระแตมาเลี้ยงเลี้ยงได้ 2 อาทิตย์แล้ว ผมให้กินแอปเปิ้ลมันกินแบบว่าหิวโหยมาก ฟันนี้เคี้ยวๆๆดัง ก๊อบๆๆๆ เลย หางสวยงามาก พามันไปเลี้ยงที่ร้านขายของของผม ลี้ยงไปได้ซักพักรู้สึกว่าทำไมร้องจังเลย บ่อยมาก เลี้ยงใส่ตะกร้าพอปิดตะกร้าปุ๊บ มันกระโจนออกมาหาเราดีใจมากที่ได้อยู่กับเจ้าของ จากเสียงที่ลำคาญทำให้กิดความโมโห หงุดหงิด ไม่มีสมาธิทำงาน เลยจับหาง แล้วเหวี่ยง ควงมันๆๆ 2 รอบ ตรงนี้ผมรู้สึกเสียใจมาก " หางมันหลุดออกมาครับ "

ผมตกใจหัวใจสั่นๆๆหน้าซีดว่าเราทำไรไปเนี้ย สงสารมันมากแต่ว่า

ยังไม่จบผมตัดสินใจว่าผมไม่อยากเห็นมันแล้วผมทนไม่ได้ที่ผมทำมันแล้วเห็นมันหางหลุดจากพวงหางที่สวยๆๆๆกลับกลายเป็นเหมือนหางหนูที่อยู่ตามท่อระบายน้ำ แดงๆๆๆ ผมตัดสินใจเอามันไปปล่อยที่ป่า แล้วมันร้อง จี๊ดๆๆ อยู่แบบนั้น ไม่ไปไหนด้วย เพราะมันไปไหนไม่ได้มันเป็นสัตว์เลี้ยงที่ติดคนแล้ว ปรับตัวคงไม่ทัน ผมรู้สึกผิดจริงๆๆครับ เพื่อนๆๆ ยกโทษให้ผมได้ไหมครับผมอยากรู...

ต่อไปนี้ผมคงไม่เลี้ยงอะไรแล้วเลี้ยงมันยังไม่รอด แล้วจะเลี้ยงใครได้ใช่ป่ะครับ ตอนที่พิมพ์อยู่นี้ เสียงมันยังอยู่ในหัวเลยๆๆ ผมขอโทษกับสิ่งที่ผมทำไป อโหสิให้ผมด้วยน่ะจ้ากระแตน้อยเอ๋ยๆๆๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท