“บุคคลผู้มีบุญอันกระทำไว้แล้ว ย่อมร่าเริงในที่นี้จากไปแล้วก็ร่าเริง อยู่ที่ไหนก็ร่าเริงเขาย่อมร่าเริงและเบิกบาน <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center" class="MsoNormal" align="center">เพราะเห็นการกระทำอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของตนนั่นเอง”</p> <p style="text-justify: inter-cluster; margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal"> ลุงธรรม (ธรรมิกอุบาสก) มีลูกชาย ๗ คน ลูกหญิง ๗ คน ด้วยความที่ลุงแกชอบที่จะทำสิ่งที่แกเชื่อว่าเป็นบุญเช่น ให้ทานแก่ผู้รักษาศีลอุโบสถเป็นประจำ ถวายอาหารแก่ผู้มีศีลธรรมที่เดินทางมาไกลมิได้ขาด เป็นต้น และแกก็มีบุญจริงๆ เมื่อลูกชายและลูกสาวก็เดินตามรอยแก รักษาสิ่งที่พ่อเคยทำมานั้นให้ยั่งยืนเท่าที่จะทำให้เป็นไปได้ รักษาศีลตามพ่อ ทำแต่สิ่งดีงามตามพ่อ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเลี้ยงให้ลูกทุกคนเดินตามรอยได้ โดยที่ไม่เคยทำให้พ่อได้ผิดหวังในตัวลูกเลยฯ วันหนึ่งลุงธรรมเกิดเจ็บป่วยกะทันหัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของผู้สูงอายุ แกอยากฟังเรื่องดีงามจากพระ จึงให้คนไปกราบทูลพระพุทธเจ้าช่วยส่งภิกษุมาสาธยายธรรมให้ฟังด้วย ๘ รูปก็ได้ ๑๖ รูปก็ได้ แล้วแต่จะหาได้ ฯ เมื่อภิกษุมาแล้วจึงนั่งล้อมเตียงที่ลุงธรรมนอนอยู่ฯ ลุงก็พูดปราศรัยไปว่า “มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะท่านกับการที่จะได้เห็นท่านผู้มีศีลาจารวัตรงดงามเช่นนี้ ตอนนี้กระผมชราภาพเสียแล้ว ท่านช่วยสาธยายพระสูตรให้กระผมฟังสักสูตรเถิดครับ” “ลุงจะฟังสูตรไหนดีล่ะ” ภิกษุกล่าว “สติปัฏฐานสูตรก็แล้วกันครับท่าน” ลุงธรรมกล่าวตอบ ภิกษุจึงเริ่มต้นสาธยายสติปัฏฐานสูตรเป็นลำดับไปฯ ขณะนั้น ขบวนรถเทียมม้าอัสดรพันหนึ่งที่ประดับด้วยสิ่งสวยงามระยิบระยับจับตา ซึ่งมาจากสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นมารอคอยลุงธรรม เหล่าเทวดาจากสวรรค์ทั้ง ๖ ซึ่งยืนอยู่บนรถม้ายาวเหยียดนั้นก็พูดให้ลุงธรรมได้ยินว่า พวกเราจะนำท่านไปสู่เทวโลกของพวกเรา พวกเราจะนำท่านไปสู่สวรรค์ของพวกเรา ท่านจะได้ไปจากที่นี้เพื่อไปอภิรมในเทวโลกของพวกเรา เหมือนกับละทิ้งภาชนะดินแล้วถือเอาภาชนะทองคำไว้นั่นแหละ” ฯ ฝ่ายลุงธรรมเกรงว่าเสียงของเทวดาที่ชักชวนตนอยู่นั้นจะเป็นกระทบต่อการฟังธรรมจึงกล่าวออกไปว่า “หยุดๆ” ฯ พวกภิกษุเข้าใจว่า ลุงธรรมพูดกับตน จึงหยุดนิ่งฯ ลูกชายและลูกสาวเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ร้องไห้คร่ำครวญไปว่า “อะไรกันนี่ ปกติพ่อไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะฟังธรรมเลย พ่อให้นิมนต์ภิกษุมาเพื่อให้ท่านสวดให้ฟังแต่ท่านกลับห้ามเสีย เห็นทีสัตว์ที่ไม่กลัวต่อความตายจะไม่มีจริงๆ” ฯ เหล่าภิกษุเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นจึงพูดว่า “เวลานี้ไม่เหมาะกับการสาธยายแล้วกระมัง” จึงลุกจากที่นั่งกลับไปฯ เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ลุงธรรมได้สติจึงถามลูกหญิงชายว่า “พวกเจ้าคร่ำครวญอะไรกัน” ฯ ลูกๆ จึงบอกไปว่า “อะไรกันพ่อ พ่อให้นิมนต์พระมาสวดให้ฟัง ขณะฟังพระสวดอยู่ ท่านแหละห้ามเสียเอง ลูกก็เลยคิดว่า ขึ้นชื่อว่าสัตว์ที่ไม่กลัวตายเห็นจะไม่มีอีกแล้ว” ลุงธรรมจึงถามว่า “อ้าวแล้วนี่พระคุณเจ้าไปไหนแล้ว””เห็นท่านบอกว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม” จึงลุกจากอาสนะกลับไปแล้วล่ะพ่อ” ลูกๆ กล่าวตอบฯ “พ่อไม่ได้พูดกับพระคุณเจ้า” ลุงทันบอกให้ลูกๆทราบ ลูกๆ จึงถามว่า “แล้วพ่อพูดกับใครล่ะ” ลุงทันจึงกล่าวว่า “ก็เทวดาจากสวรรค์ ๖ ชั้นนั่นแหละ ประดับตกแต่งรถเป็นอย่างดียืนอยู่บนอากาศแล้วส่งเสียงดังบอกพ่อว่า ท่านจงมาอภิรมในเทวโลกของพวกเราเถิด ท่านมาอภิรมในเทวโลกของพวกเราเถิด พ่อพูดกับเทวดาเหล่านั้นต่างหาก” “แล้วไหนล่ะรถอยู่ไหน พวกเราไม่เห็นสักคันเดียว” “พวกเจ้ามีพวกดอกไม้บ้างไหม” “มีพ่อ” “เทวโลกไหนที่น่าอภิรมที่สุด” ลุงธรรมถาม “เห็นว่าภพดุสิตอันเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์และมารดาบิดาของพระพุทธองค์นั่นแหละดี น่าอภิรมที่สุด” “ถ้าอย่างนั้น ลูกจงอธิษฐานที่จะให้พวกดอกไม้ไปคล้องที่รถซึ่งมาจากภพดุสิตสิ แล้วค่อยโยนพวกดอกไม้ไป” ฯ ลูกๆ ได้ทำตามคำพ่อ ปรากฏว่าพวงดอกไม้ได้ไปคล้องที่แอกของรถห้อยอยู่ในอากาศ ชาวบ้านที่มาฟังสวดและลูกๆของลุงธรรมเกิดอัศจรรย์ใจที่เห็นพวกดอกไม้ห้อยในอากาศแต่ไม่เห็นรถ ลุงธรรมจึงกล่าวว่า นั่นแหละพวงดอกไม้ห้อยอยู่ที่รถซึ่งมาจากชั้นสวรรค์ชั้นดุสิต ฉันจะไปชั้นดุสิต พวกท่านอย่าเศร้าโศกเสียใจอันใดเลย ถ้าต้องการจะไปเกิดในที่เดียวกับฉัน จงหมั่นทำบุญเหมือนอย่างที่ฉันเคยทำไว้แล้วนั้นเถิด” สิ้นคำก็สิ้นลมและไปยืนอยู่บนรถที่มาจากชั้นดุสิตนั้นเองฯ</p> อันที่จริงหากเราไม่สนใจเทวโลกว่าจะมีหรือไม่ สิ่งหนึ่งของลุงธรรมบนโลกมนุษย์คือ สวรรค์ที่เกิดจากลูกเป็นคนดี ได้พบเจอคนดีๆ ได้ทำสิ่งดีๆ ชื่นใจ ชุ่มใจอยู่ตลอดเวลาเพราะได้นึกถึงการกระทำอันบริสุทธิ์ของตนฯ
สวัสดีค่ะ คุณ นมินทร์ (นม.)
- ยินดีครับคุณครู
- เป็นกำลังใจให้ผมเดินต่อดีครับ :-)
สวัสดีค่ะ
อ่านแล้วสนุกจังเลย
แต่พักนี้ไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาอ่าน เพราะกำลังสับสน และต้องรีบทำภาระกิจให้เสร็จสมบูรณ์โดยเร็ว บางครั้งอ่านทีเดียว ๕ เรื่องเลย
ขอบคุณค่ะ