เอาสาระธรรมจากคำถามของหนูณัชร
มาเป็นประเด็นธรรมครับ
สวัสดีค่ะ อาจารย์,
จริง ๆ แล้วก็ไม่สามารถเรียกได้ว่ากำหนดทันหรอกค่ะ แต่เรียกว่ามาเห็นแล้วเข้าใจทีหลังถึง เวทนาทางกายที่มันเกิดเนื่องจากใจเป็นเหตุดีกว่า
บังเอิญหนูไปเจอตัวอย่างชัดเข้ากับตัวเองมาจากนอกห้องกรรมฐาน แล้วเลยนึกถึงที่อาจารย์เคยสอน เลยมาเขียนไว้ดังนี้น่ะค่ะ
แล้วก็นึกถึงที่อาจารย์ศิริพรเคยสอนด้วยน่ะค่ะ ตอนอยู่ศูนย์ ๒ อ.ศิริพรเคยบอกตอนปรับอินทรีย์หนูว่า ให้กำหนดเหมือน กระบี่อยู่ีที่ใจ ใจอยู่ที่กระบี่ แต่ในที่สุดแล้ว แม้นกระบี่ก็ไม่ให้มี ใจก็ไมให้่มี น่ะค่ะ โห..ลึกซึ้งมาก หนูไม่ยักทราบว่าอาจารย์ศิริพรเป็นมือกระบี่กับเขาด้วย ฮิ ๆ
เขียนไปเสร็จก็เลยคิดว่า ถามอาจารย์ดีกว่า เพราะหนูจะต้องไปเรียนดาบไม้นี้อีกเร็ว ๆ นี้แล้ว เดี๋ยวจะต้องมีการโดนฟาดอีกแน่ ๆ
ตกลงความเข้าใจของหนูเรื่องเหตุของเวทนาทางกายที่เกิดเพราะใจ ดังที่เขียนไปในบล๊อกนั้น หนูเข้าใจถูกแล้วใช่ไหมคะอาจารย์ หรือเป็นเพียงอุปาทานของหนูเอง?
ขอบพระคุณมากค่ะ
ตอนนี้หนูกำลังชวนเพื่อนหนู คือ กันยามาส ให้มาเขียนบล๊อกด้วย เพราะรายนั้นนำการเจริญสติไปใช้ในการตีกอล์ฟ และสอนลูกชายบุญธรรมจนได้ดีเลยล่ะค่ะ
สวัสดีค่ะ,
ณัชร
ตอบ หนูณัชร
เวทนาเกิดได้ทั้งทางกายและทางใจ
อะไรเป็นเหตุนั้น ยากที่จะชี้ชัดลงไป ....ให้แน่นอน
เพราะรูปกับนาม ต่างก็เป็นเหตุและผลของกันและกัน
บางครั้งรูปเป็นเหตุ นามจึงเป็นผล
ในบางครั้งรูปเป็นผล นามพลันเป็นเหตุ
คำตอบอยู่ที่ เวทนาของใคร? และในเวลาไหน?
เพราะ เวทนาเป็นของเฉพาะตน
สำหรับคนบางคน เวทนาเป็นเรื่องร้ายในชีวิต ที่ไม่อยากเจอ
แต่น่าขัน ที่ยิ่งหนียิ่งเจอ และมักเจอศึกหนักทั้งเวทนาทางกายและใจ
สองเหตุและสองผล จึงเล่นงานเอาอ่วมอรทัย
แต่สำหรับคนบางคน เช่นผู้ปฏิบัติธรรม (อย่างหนูณัชร) ที่ได้ฝึกการเรียนรู้ ที่ต้องทนรู้ทนเรียนกับเวทนาทางกาย ทั้งในห้องกรรมฐานและในห้องเรียนดาบ
เวทนาทางกาย จึงเกิดขึ้นด้วยเหตุผลแรก คือจากความพกพร่องในรูปขันธ์ที่อาศัยอยู่นี้ ในสภาพที่ต้องทนทุกข์อยู่กับมัน
เพราะตัวธาตุขันธ์นั้น ตามธรรมชาติเดิมแท้ ล้วนเป็นสภาพทุกข์ ที่ทนได้ยาก เพราะถูกบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
เมื่อสติอ่อน จึงไม่เห็น เพราะจิตมัวหลงระเริงกับสิ่งมายา
พอเข้ากรรมฐาน เจริญสติ กล้าขึ้นมา จึงเห็นชัด
ยิ่งตามดู และตามรู้...ยิ่งชัด
จากเวทนาทางกาย พลันจึงเห็นเหตุว่าเกิดจากใจก่อน...ก็มี
ที่เกิดจากใจ เพราะยึดติด หลงยึดว่า กายเป็นเรา
มีกาย กายก็ปวด เมื่อมีเราเป็นเจ้าของ ใจนั้นจึงปวดด้วย
เมื่อเข้าถึงความจริง ไร้กาย ก็ไร้ปวด เพราะกายไม่มีตัวรู้ แต่เป็นผู้ถูกรู้
ใจต่างหากเป็นผู้รู้ และเป็นผู้วาง
ดังซามูไร วางดาบ และ วางใจ ลง
หมดศัตรู หมดดาบ... หมดใจ