ตอนฉันอยู่ป.1 น่าจะประมาณเทอมที่4 มั๊ง วันนั้นหอบสมุดพกกลับบ้านเอาไปให้อากงดูได้ตังค์มา 100 บาท ฉันดีใจมากมายพร้อมกับรู้สาเหตุที่ได้ตังค์ว่า.....ฉันสอบได้ที่หนึ่งในเทอมนั้นนั่นเอง จากสามเทอมที่แล้วได้ที่ 7 มั่ง เลขสองตัวมั่ง เอาละความงกฉันเริ่มทำงาน วิธิหาตังค์คือเรียนให้ได้ที่หนึ่งนั่นเอง จากนั้นป.2-ป.6 ฉันกวาดที่หนึ่งมาเกือบครบทุกเทอมพร้อมกับเงินในบัญชีที่มากขึ้นเรื่อยๆ มันมาพร้อมกับความติดใจในการเป็นที่หนึ่งแล้วหละค่ะ เพราะหลังจากนั้นแล้วอากงก็ไม่ต้องจ่ายตังค์จ้างให้ได้ที่หนึ่งแล้ว เพราะฉันยินดีจะไขว่คว้ามาเองเพราะติดใจในการได้รับคำชมเชย มั่นใจในความสามารถของตัวเอง และเห็นช่องทางที่รู้ว่าหากเรียนเก่งก็มีโอกาสจะมีสตางค์เยอะๆ
ฉันยังคงพยายามที่จะเรียนให้ดีไปเรื่อยๆ แน่นอนค่ะอยากจะสอบได้ที่หนึ่งในห้องตลอด ตอนนั้นไม่ได้นึกไปถึงที่หนึ่งของชั้นหรอกค่ะ ฉันยังคงเรียนแบบเดิมคือเรียนยังไงให้ได้คะแนนสูงสุดของห้อง ไม่ได้รู้เลยว่าควรจะเรียนเพื่อเอาความรู้ไปใช้ต่อ หรือพลิกแพลงความรู้นั้น แทบจะบอกได้เลยว่าหลังสอบเสร็จปั๊บ บางทีฉันก็แทบจะลืมวิชานั้นไปเลย.....ใช่แล้วค่ะ ฉันเก่งในการท่องจำมาก แต่จินตนาการคงจะไม่ได้เรื่อง การคิดต่อยอดก็ไม่ค่อยเป็นหรอกค่ะ(นี่มาย้อนสรุปได้เองตอนเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละค่ะ)
จนขึ้นมัธยมปีที่สาม ทางรร.คัดเด็กคะแนนดีมารวมอยู่ห้อง 1 ด้วยกัน ฉันเจอคนเก่งเต็มห้องจากห้องต่างๆมารวมกัน ต้องพยายามมากขึ้นเทอมแรกฉันไม่แน่ใจว่าคะแนนมาเป็นอันดับแรกหรือเปล่า แต่รู้ว่าข้อสอบเทอมที่สองยากมาก โดยเฉพาะวิชาเลขคณิต นักเรียนทั้งหมดน่าจะเกือบห้าร้อยคน สอบตกวิชานี้ไปเกือบครึ่งน่าจะได้ และคนที่ได้เกรด4 มีแค่สองคน ค่ะฉันเป็นคนนึงในนั้นด้วยคะแนนคาบเส้นพอดีของเกรด 4 สรุปคะแนนในเทอมสองฉันได้เกรด 4 หมดทุกวิชา เอาละสิชีวิตก้าวขึ้นมาอีกขั้นละ คราวนี้ไม่ใช่แค่ที่หนึ่งของห้องแล้ว กลายเป็นที่หนึ่งของชั้นไปเลย.....
ฉันเริ่มติดใจมากขึ้น สอบได้ที่หนึ่งของชั้นนี่ได้รับใบประกาศเกียรติยศจาก รร.ด้วยนะ เท่มากๆเพราะทางรร.จะประกาศชื่อของคนที่ได้ที่หนึ่งของชั้นขึ้นไปรับรางวัลตอนวันไหว้ครู ตอนมอสี่ ฉันเจอคู่แข่งที่ย้ายมาจากกรุงเทพ ฉันแพ้แล้ว ความรู้สึกตอนนั้นแย่มากๆ ฉันไม่ชอบการเป็นที่สอง ไม่ชอบการพ่ายแพ้ ชินกับการเป็นที่หนึ่งมาตลอด จำได้เลยว่ามีครั้งนึงฉันเครียดมากในการสอบวิชาเคมีเพราะกลัวจะไม่ได้คะแนนท๊อป ก่อนเข้าห้องสอบฉันมีอาการประสาท ร้องไห้ ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ หายใจเร็ว(ตอนหลังถึงมาเข้าใจว่า คือ hyperventilation syndrome นั่นเอง555 อาการแบบนี้จะเจอบ่อยเวลารับน้อง น้องคนไหนที่เครียดมากๆเวลาโดนว๊ากหละค่ะ)
เรียนม.5 ก็ยังคงเป็นที่สอง พอจะเริ่มทำใจได้บ้างแล้วแต่ยังไม่ชินค่ะ ตอนนี้ฉันเริ่มได้อ่านนิตยสารธรรมะที่คุณแม่รับทุกเดือน อ่านไปก็ลองทำตามหนังสือว่า นั่งสมาธิหายใจเข้าท่องในใจว่าพุทหายใจออกว่าโธ อืมดีแฮะ ฉันจะนั่งก่อนอ่านหนังสือสัก5-30 นาที พบว่าเรียนได้ดีขึ้น บางครั้งนั่งแล้วพบว่ามีอาการซาบซึ้ง น้ำตาไหล มีความสุขมากๆอย่างที่ไม่เคยสุขแบบนี้มาก่อน
สอบมอ6 จบโดยการวางแผนในการอ่านหนังสืออย่างเป็นขั้นตอน พร้อมกับนั่งสมาธิก่อนอ่านปีนั้นฉันจบมอหก ด้วยการได้ที่หนึ่งของชั้น พร้อมกับสอบเข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ ฉันนึกในใจว่า เอาละภารกิจของฉันทำสำเร็จแล้ว เหนื่อยจังเลย เวลาสามเดือนก่อนเข้ามหาวิทยาลัย หมดไปกับการพักผ่อนเต็มที่
เริ่มเรียนปีหนึ่ง เรียนหนักเหมือนกันนะ ฉันเริ่มล้า เบื่อที่จะต้องอ่านตำรามากมาย เพราะที่นี่คนเก่งมากๆแทบทั้งนั้น การจะสอบให้ได้ที่หนึ่งของคณะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ความคิดในใจเริ่มบอกว่า....พอเถอะเหนื่อยเหลือเกิน ทำไม่ไหวแล้ววุ๊ย เหนือฟ้ามันมีฟ้าอีกนะ หลังจากนั้นฉันเริ่มเรียนแบบผ่อนคลายกลายเป็นคนส่วนใหญ่ในชั้นไปแล้ว ตกมีน(mean)ก็ได้พร้อมกับเริ่มคิดได้ว่า มีความสุขดีแฮะ เพื่อนๆก็ไม่เกร็งเวลาอยู่กับเรา ชีวิตเริ่มเจออะไรใหม่ๆมากมายในชีวิต เพิ่งรู้สึกตัวว่าที่เรียนมาใช้ชีวิตแบบคนเป็นที่หนึ่งตลอดมันเครียดเหลือเกิน.....
ต่อไปนี้ ไม่ต้องเป็นที่หนึ่งก็ได้แล้ว..... แต่อย่าสอบตกละกัน อิอิ
ดีใจจัง
หมอมาเปิดบล็อกแล้ว
เล่าเรื่องสมัยทีนเอจด้วย ความพยายามที่จะเป็นที่หนึ่ง ด้วยความประสงค์รางวัล ซึ่งเป็นแรงขับที่ดีครับ
แต่ในสุดคุณหมอก็ค้นพบความจริงด้วยตนเองว่า การที่จะครองแชมป์ให้ยืนอยู่แถวหน้าแถวนั้น เป็นเรื่องที่เหนื่อย เครียดจัดและอาจก่อให้เกิดอาการโรคประสาทได้ง่ายๆ
ซึ่งก็เป็นแรงขับผลักให้คุณหมอหันเข้าหาธรรม
ทุกเรื่องล้วนแต่เป็นเรื่องดีทั้งนั้น
ทางธรรมเรียกว่าเหตุและปัจจัย
อาจารย์ชอบเรื่องและสำนวนเล่าของหมอนะ
เขียนต่อนะครับ
โอ้โห ดีใจมากมายเลยค่ะ อาจารย์ขา จนหมอกำหนดไม่ทันเลย อาจารย์เข้ามาอ่านแถมชมอีกตะหาก ได้กำลังใจเพียบ ยังงี้ต้องโม้ต่อแน่นอนค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นมั่ง