ในยุคที่เรากำลังใช้วิธีการให้การศึกษาแก่ประชาชนเพื่อส่งเสริมการป้องกันโรคและการดูแลรักษาสุขภาพตนเอง โรงพยาบาลหรือหน่วยบริการบางแห่งบอกว่าขาดบุคลากรเฉพาะด้านที่จะดำเนินการ โดยเฉพาะในเรื่องอาหาร และการออกกำลังกาย เมื่อมีโอกาสได้เข้าประชุม/อบรม ก็มักจะติดต่อให้วิทยากรในการประชุม/อบรมนั้นๆ ไปสอนผู้ใช้บริการของตน แทนที่จะเรียนรู้พัฒนาตนและทีมให้สามารถทำงานนี้ได้เอง
วิทยากรในโครงการอบรมผู้จัดกิจกรรมค่ายเบาหวาน และโครงการอบรมผู้จัดกิจกรรมออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรค ของเรา ได้รับเชิญแบบนี้มาแล้ว
การให้ความรู้แบบอบรม น่าจะได้ผลในเชิงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมน้อย ยิ่งถ้าทำโดยผู้ที่ไม่รู้ภูมิหลังและธรรมชาติของกลุ่มเป้าหมาย และผู้รับผิดชอบจัดงานขาดการเตรียมการอย่างดี
ได้ยินวิทยากรดีๆ บ่นให้ฟังว่า บางครั้งไปสอนมาแล้วเสียแรงเสียเวลาเปล่า ก่อนไปบอกว่าจะให้สอนคนทำงานในโรงพยาบาล เอาเข้าจริงมีคนทำงานมาน้อยนับคนได้ กลายเป็นนักเรียนจากโรงเรียนเสียนี่ ผลของงานนี้คือ “ได้จัดงาน” มากกว่าได้อย่างอื่น
วัลลา ตันตโยทัย วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๐
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ การจัดอบรมมักจะไม่ค่อยส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงครับ เพราะคนให้กับคนรับมักไม่ค่อยตรงกัน เป็นอย่างนี้เยอะมากครับ
ผมคิดว่าการที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น อาจจะเป็นจากผู้เข้ารับการอบรมไม่ได้ใช้ศักยภาพของตัวเองมากพอ และไม่มีความมั่นใจที่จะนำไปสอนต่อได้ คงจำเป็นต้องค้นหาผู้ที่มีความมุ่งมั่นในเรื่องนั้นๆ เหมือนผู้สอนเองครับ
ดีใจที่คุณหมอนรงฤทธิ์แวะมาเยี่ยม เสร็จจากอบรมแล้วกลับไปทำอะไรบ้าง เขียนเล่าให้รู้บ้างนะคะ
ผมอ่านแล้ว จุดประเด็นเลยครับว่า เราต้องสร้างทีมเราก่อน จากการพูดคุยเรื่องที่ทีม ธาตุพนม ที่จะทำค่ายปรับพฤติกรรม ทีมวิทยากรต้องทำได้ก่อนถึงจะเป็นแบบอย่าง หรือพูดอย่างมั่นใจ
ทีมเราก็เลยจัดค่ายแรกเป็นค่ายสร้างทีมวิทยากรเบาหวานก่อนครับ แล้วค่ายปรับพฤติกรรมอื่นๆ ก็จะตามมา