๑๔. เมื่อผมเป็นหมอดู


สมัยยังเด็กและเป็นวัยรุ่น ผมเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าวิชาหมอดูหรือวิชาพยากรณ์ต่างๆ เป็นวิชาที่คนบางคนเอาไว้ทำมาหากิน หลอกลวงเอาเงินผู้มาดูให้เชื่อถือสะเดาะเคราะห์หามยามร้าย บางครั้งก็เยินยอผู้ดูจนเคลิบเคลิ้มตามหมอดูว่าตัวเองเป็นผู้มีบุญ เกิดมาจะทำให้พ่อแม่ญาติพี่น้องพึ่งได้  ตอนนั้นคิดว่าชาวบ้านต่างเชื่อหมอดูมากไป จนทำให้พ่อแม่มีอคติต่อลูกบางคนจนเด็กมีปมด้อยไปนานพอสมควร ผมเองก็ได้รับการทำนายทำนองนั้น ว่าเป็นเด็กที่จะไม่มีวันประสบความสำเร็จในชีวิต เรียนหนังสือก็ไม่เก่ง สู้พี่น้องบางคนไม่ได้ 

แต่พอเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ออกไปพบปะผู้คนและสังคมหลากหลายวงการมากขึ้น ทำให้พบเจอบุคคลที่ทำนายได้แม่นยำหลายครั้งหลายครา ทั้งๆที่ไม่เคยพบปะกันมาก่อน และในที่สุดผมก็ต้องมาเรียนวิชาหมอดูจนได้  เมื่อเป็นครูเด็กชอบมาชวนคุย และซักถามถึงอนาคตเพราะคิดว่าคนเป็นครูต้องรอบรู้สารพัด ช่วงแรกก็แค่ลองทำนายเล่นๆ จากเลข ๗ ตัวตามตำราพรหมชาติที่แพร่หลาย แต่ก็มีส่วนตรงหลายเรื่อง ส่วนมากคำทำนายแบบเลข ๗ ตัว มักกว้างคลุมเครือ ไม่เจาะจง ผมรู้จักวิธีการทำนายแบบโหราศาสตร์ ก็จากพ่อของลูกศิษย์คนหนึ่งที่ จ.กำแพงเพชรแนะนำ ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจนัก จึงพอรู้แบบผ่านๆ มาเริ่มสนใจบ้างเมื่อไปอยู่ที่ จ.ประจวบฯ ได้ยินชื่อเสียงว่าหลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลักเป็นโหรที่ทำนายได้แม่นยำมาก คนนับถือมาก กุฎิที่ไปพักอาศัยเดิมเป็นกุฎิของหลวงพ่อเปี่ยม จึงทำให้ยังมีหนังสือโหราศาสตร์หลงเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง ได้อ่านจนหมดตู้ก็ยังไม่รู้จักวิธีการทำนายอยู่นั่นแหละ เพราะอ่านๆไป ทำไมเคล็ดลับมากมายจัง พลอยสับสนพอสมควร จึงทำให้ได้แค่ความรู้ทางด้านโหราศาสตร์เพิ่มขึ้นเท่านั้น 

กลางปี ๒๕๒๙ ก็จำต้องยอมหันมาเรียนและศึกษาโหราศาสตร์อย่างจริงจัง หลังจากไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา กลับมาเข้าไปกราบหลวงพ่อ ท่านถามว่าไปเรียนอะไรมา ตอบท่านว่าไปเรียนด้านจิตวิทยา ท่านถามว่าจิตวิทยาคืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ได้กราบเรียนท่านอย่างละเอียด พอตอบท่านเสร็จ ท่านโยนหนังสือโหราศาสตร์ของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร แล้วบอกว่าไปศึกษาให้เข้าใจ เมืองไทยวิชานี้ได้ประโยชน์กว่าวิชาจิตวิทยาของฝรั่ง แต่ด้วยความมีอคติต่อวิชาโหราศาสตร์ ไม่ยอมรับ ไม่เชื่อถือ จึงพยายามแย้ง(เถียง)ท่านไปต่างๆนาๆ ทั้งยกพระพุทธพจน์ที่ตำหนิวิชาโหราศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชามาสนับสนุนความคิดเห็นของผม ท่านคงรำคาญความโง่เขลาและทิฏฐิของผม จึงให้ผมบอกวันเดือนปีและเวลาเกิด แล้วท่านก็ทำนายเหตุการณ์ชีวิตผมตั้งแต่เด็กว่าเกือบตาย ๒ ครั้ง เพราะตกต้นไม้กับตกน้ำ ออกบวชเณรเพราะชอบวิชาคาถาอาคม และคิดว่าพ่อแม่รังเกียจที่ไล่ตีเพราะชอบไปแกล้งน้องและแกล้งตัดเปลญวณของตา  ได้เรียนปริญญาตรี-โท-เอกเพราะอะไร  ตอนไปเรียนที่สหรัฐต้องนอนป่วยเพราะปวดศีรษะมาก(ไมเกรน+ภูมิแพ้) เกือบเรียนไม่จบ  ผมจนกับคำทำนายที่แม่นยำของหลวงพ่อจนเถียงไม่ออก ภายหลังถึงทราบว่าหลวงพ่อมีความรู้ทางโหราศาสตร์อย่างสูง ท่านรู้โหราศาสตร์ตามแนวของรัชกาลที่ ๔ ท่านบอกว่าถ้ายังไม่เบื่อโลกหรือมุ่งที่จะไปนิพพานโดยตรง  การเรียนโหราศาสตร์ย่อมไม่ใช่เดรัจฉานวิชา แต่เป็นประโยชน์แก่ชาวบ้านทั่วไปที่ไม่รู้จักตัวเอง และช่วยเหลือชาวบ้านที่ต้องการที่พึ่งยามมีภัยอันตรายได้  ท่านชี้แนะว่าโหราศาสตร์ที่แท้จริงน่ะมันมีอยู่ แต่ต้องศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้ ท่านอธิบายถึงคำว่าโหรคืออะไร และยกตัวอย่างคำทำนายหลายเรื่อง  สุดท้ายท่านจึงสั่งด้วยความเมตตาถึงความโง่เขลาของผมว่า “ให้เวลา ๖ เดือน ไปอ่านตำราโหรเท่าเล่มเกวียน จนเหลือฝ่ามือเดียว” และบอกผมว่า ผมไม่สามารถเรียนรู้โหราศาสตร์จากใครได้ เพราะผมเป็นคนขี้สงสัย ชอบซักถาม(เถียงเก่ง) ครูผู้สอนจะรำคาญ ต้องเรียนรู้สรุปด้วยตนเอง เพราะการเรียนโหราศาสตร์จากใคร ต้องเชื่อถือยอมรับท่านผู้นั้น แนวใครแนวมัน เคล็ดลับก็ของใครของมัน ใช้ร่วมกับแนวอื่นไม่ได้ หรือใช้เหตุผลตามหลักโหราศาสตร์ดั้งเดิมไม่ได้ 

รุ่งขึ้นผมไปเวิ้งนาครเกษม และสมาคมโหรอีกหลายที่ กวาดซื้อตำราโหราศาสตร์ทุกเล่มได้หนังสือมากว่า ๔๐๐ เล่ม รวมปฏิทินโหรของนายทองเจือ อ่างแก้ว และปฏิทินโหรของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร หมดเงินไปประมาณหมื่นกว่าบาท อ่านไปได้สักพัก หลวงพ่อก็บอก ให้ไปหาวัดที่เงียบๆอ่าน แถวด้านเหนือของหัวหิน (ท่านคงทำนายน่ะครับ) ผมจึงไปขออาศัยวัดไกลกังวล อ.หัวหินพักอาศัย เมื่อไปอยู่ถึงรู้ว่าท่านพระครูอดุลบรรณสาร เจ้าอาวาสวัด ท่านก็เป็นโหรองค์หนึ่ง ท่านเคยศึกษาโหราศาสตร์แนวทางของหลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก จ.ประจวบมาก่อน เหมือนกับว่าหลวงพ่อของผมท่านจะรู้ทางเดินของผม (ตอนหลังผมกลับไปถามหลวงพ่อ ท่านบอกว่าท่านไม่รู้จักพระครูอดุลบรรณสารหรอก แต่ท่านทายตามดวงจรช่วงนั้น) ผมก็เริ่มเอะใจว่า โหราศาสตร์ทำไมสามารถทำนายได้เจาะจงขนาดนี้เชียวหรือ  พอสงสัยอะไรบางอย่างก็กราบเรียนถามท่านพระครูได้เสมอ  ท่านก็อดทนอธิบายให้ฟัง จนพอเข้าใจหลักการของโหรบ้าง  แต่ก็ยังสับสนกับวิธีการทำนายตามหนังสือของสำนักของอาจารย์ต่างๆ ที่มีมากไม่เหมือนกัน และพิสดารต่างกันออกไป เช่น แนวของอาจารย์สิงห์โต สุริยาอาลักษณ์, แนวคัมภีร์โบราณของหลวงวิศาลดรุณกร, แนวของอาจารย์แฉล้ม เลี่ยมเพชรรัตน์, แนวผสมเรือน ของอาจารย์ประทีป อัครา, โหร ๑๐ ลัคน์ ของอาจารย์อรุณ เทศถมทรัพย์, แนวของ พ.อ.ประจวบ วัชรปาณ, แนวของ พ.อ.เอื้อน มณเฑียรทอง, แนวของ ร.ต.อ.เปี่ยม บุณยะโชติ, แนวของอาจารย์จรัญ พิกุล, แนวของคุณยอดธง ทับทิวไม้, แนวของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร, แนวของหลวงวุฒิรณพัสดุ์, แนวของสำนักวัดราชประดิษฐ์, แนวของสมาคมโหร วัดบวร, แนวของสมเด็จพระสังฆราช(อยู่) วัดสะเกศ ฯลฯ

นอกจากนั้นผมยังซื้อตำราหมอดูทุกชนิด ทั้งลายมือ, กราฟชีวิต, โอเรกุรัม, ไพ่, โหงวเฮ้ง, ฮวงจุ้ย ฯลฯ และวารสาร/นิตยสารโหราศาสตร์รวมเล่มย้อนหลังหลายปีไปศึกษาด้วย   สรุปตอนแรกยิ่งอ่านยิ่งงง  ไปๆมาๆ ยิ่งอ่าน ความรู้จะมากกว่าเล่มเกวียนเสียแล้ว ไม่มีทางเหลือเท่าฝ่ามือเดียวทัน ๖ เดือนได้แน่ 

ต่อมาผมได้รู้หลักของโหราศาสตร์และวิธีการทำนายบ้างแล้ว  ก็ยังไม่ทราบว่าจะใช้แนวทางการทำนายของใครเป็นหลัก  เพราะวิธีการทำนายของทุกท่านต่างก็มีหลายคนออกมายืนยันว่าแม่นยำด้วยกัน  ผมจึงใช้ดวงเกิดของผมเป็นหลัก โดยผูกดวงตามปฏิทินสุริยาตร์ของอาจารย์ทองเจือ อ่างแก้ว ที่เน้นภพ-เรือนคงที่ แล้วใช้วิธีการทำนายและเกร็ดพยากรณ์ของแต่ละท่านมาทำนาย  ซึ่งวิธีการทำนายของแต่ละท่านก็มีส่วนถูกต้อง ตรงแม่นยำในบางเหตุการณ์ของชีวิต  แต่ไม่ตรงถูกต้องทุกเหตุการณ์  ครั้งแรกก็คิดว่าตัวผมยังไม่รู้ลึกซึ้ง และหนังสือโหราศาสตร์ของแต่ละท่าน  คงไม่ได้เปิดเผยวิธีการทำนายไว้หมดทุกอย่าง  คงมีการปิดบังเคล็ดลับสุดยอดไว้แน่  แต่เมื่ออ่านจากบทความของเหล่าอาจารย์โหราศาสตร์เขียนลงในนิตยสารโหราศาสตร์  มักจะเป็นไปในทำนองเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว จึงบอกว่าเป็นเพราะดาวดวงนั้นดวงนี้ทำเกณฑ์ หรือเสวยอายุจร ที่จะทำนายอนาคตอย่างเจาะจงแล้วแม่นยำเกิน ๒๐ % แทบจะไม่มีเลย  มีแต่เขียนแบบคลุมเครือให้คนอ่านตีความไปเอง

เมื่อผมใช้ตัวเองทดสอบวิธีการพยากรณ์ของโหราศาสตร์ทุกสำนัก  ก็พบว่าไม่มีวิธีการพยากรณ์ของสำนักใดสามารถทำนายได้ถูกต้องแม่นยำทุกเหตุการณ์  แต่ถึงไม่มีสำนักใดมีวิธีการทำนายที่สมบูรณ์แบบ  ส่วนตัวผมกลับเริ่มเชื่อมั่นว่าความรู้และหลักโหราศาสตร์ของไทยแต่โบราณมีคุณค่าพอที่จะศึกษาให้เข้าใจและใช้ประโยชน์ได้  วันหนึ่งอ่านบทความที่มีหลายคนตั้งข้อสงสัยและข้อสังเกตเกี่ยวกับดวงดาวตามปฏิทินโหรศาสตร์แบบสุริยาตร์ เช่น พระยาบริรักษ์เวชชการ  และได้ไปอ่านหนังสือแนวทางการศึกษาโหราศาสตร์ของ พ.ต.ท. ประสิทธิ์ ลีละยูวะ นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทย คนที่ ๘ เขียนไว้  จึงฉุกคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่ปฏิทินดวงดาวตามสูตรคำนวณเดิมจะคลาดเคลื่อนไม่ตรงตามความจริงที่เห็นด้วยตาบนท้องฟ้าในปัจจุบัน  ทำให้จึงไม่สามารถใช้หลักและกฎเกณฑ์ตามตำราโหราศาสตร์ไทยแต่โบราณมาทำนายให้แม่นยำได้  จึงลองใช้ปฏิทินดาราศาสตร์ไทยของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ที่จัดทำขึ้นตามการคำนวณตำแหน่งดาวระบบดาราศาสตร์สากล แล้วตัดอายนางศะ แบบนิรายนะวิธี (Fixed Zodiac) ของลาหิรี  วิธีนี้มีความแตกต่างตรงที่การหาลัคนาและภพเรือน ซึ่งกำหนดค่าแต่ละเรือนไม่เหมือนกับปฏิทินสุริยาตร์  ผูกดวงผมขึ้นมา ก็พบว่าสามารถทำนายเหตุการณ์ชีวิตของผมที่ผ่านมาได้แม่นยำร้อยละ ๗๕ ขึ้นไป และยิ่งลองใช้กฎ-เกณฑ์ตามโหราศาสตร์ไทยโบราณ (หนังสือโหราศาตร์พื้นฐานของ อ.สิงห์โต และหลวงวิศาลดรุณกร) ก็พบว่าแม่นยำมาก โดยไม่ต้องใช้เกร็ดพยากรณ์อื่นๆใดมาช่วยทำนายเพิ่มเติม และต่อมาผมก็ใช้วิธีการทำนายแบบดาวอยู่เรือนไหน ก็ให้ทายเน้นเรือนนั้นเป็นหลัก ใช้คุณลักษณะ(นิสัย)ดาว และเกณฑ์-โยคของดวงดาวมาเสริม  พูดกันง่ายๆ เรือนไหนมีดาวก็แสดงว่าดวงชะตานั้นมีจุดเด่นหรือมีเหตุการณ์ชีวิตตามเรื่องราวของเรือนนั้นๆ ไม่มีดาวที่เรือนใด แสดงว่าไม่มีเรื่องราวที่เด่นหรือเหตุการณ์ชีวิตตามเรือนนั้น ทำให้การทำนายมีหลักการและเหตุผลสอดคล้องกับความจริงของชีวิตมากขึ้น  

หลังจากนั้นผมลองใช้ปฏิทินดาราศาสตร์สากล แบบสายนะวิธี (วิธีนี้เห็นว่า  ดวงดาวต่างๆ และจุดเริ่มต้นที่นักดาราศาสตร์กำหนดเป็นพิกัดในการสังเกตดวงดาวทุกดวงเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา) มาผูกดวงชะตาผมบ้าง  แต่ใช้วิธีการทำนายตามแนวโหราศาสตร์โบราณของไทย ก็พบว่าแม่นยำตรงตามตำราโหราศาสตร์ไทยเกินร้อยละ ๘๐  และต่อมาปี ๒๕๓๓ ผมนึกถึงจิตวิทยาจิตวิเคราะห์ของคาร์ล กุสตาฟ จุง (Carl Gustav Jung) ที่ผมเคยเรียนมา จุงกล่าวว่า Psychological Types :  อุปนิสัยส่วนบุคคลเป็นปัจจัยหนึ่งในวัยเด็กอยู่แล้ว มันเป็นมาแต่กำเนิด และไม่ได้ได้มาในวิถีแห่งชีวิต และ เรารู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถเป็นอะไรที่ดีได้ในคราวเดียว ไม่เคยสมบูรณ์ เขามักจะพัฒนาคุณสมบัติบางอย่างโดยยอมเสียสละผู้อื่น และไม่เคยบรรลุถึงความสมบูรณ์  ซึ่งจุงได้กำหนดบุคลิกภาพออกเป็น ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านความคิด (thinking) ความรู้สึกจากใจ(feeling) ความรู้สึกจากสัมผัส(sensation) สัญชาตญาณ (intuitive) แสดงถึงตัวตนและการเข้าถึงตัวตนที่แท้จริง แนวคิดของจุงนี้มีความสอดคล้องกับโหราศาสตร์ไทยที่แสดงถึงธาตุดินน้ำลมไฟในเรือนหลักทั้งสี่เป็นอย่างมาก  ต่อมาผมทราบว่ามีนักโหราศาสตร์ฝรั่งใช้แนวคิดของจุงเรื่องนี้ไปศึกษาต่อยอด  นักโหราศาสตร์ฝรั่งกลุ่มนี้เชื่อเรื่องการระลึกชาติ และการเกิดมาใช้หนี้กรรม โดยใช้ดาวเคราะห์ช่วยการมองเห็นแผนที่ชะตาชีวิต  กลายเป็นหลักการและแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับธรรมชาติของการเดินทางเชิงวิวัฒนาการของจิตวิญญาณชีวิตมนุษย์จากมุมมองทางโหราศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นว่าดาวเคราะห์เกี่ยวข้องกับบทเรียนวิวัฒนาการและกรรมในชีวิตนี้อย่างไรบ้าง  นักโหราศาสตร์กลุ่มนี้เรียกแนวทางนี้ว่า “Karmic Astrology” ในปีนั้นผมจึงสั่งซื้อหนังสือโหราศาสตร์ด้านนี้ที่ร้าน Asia Books ได้มาหลายเล่ม เช่น Karmic Astrology ของ Martin Schulman, The Twelve Houses Paperback - Howard Sasportas & Liz Greene, Aspects in Astrology: A Guide to Understanding Planetary Relationships in the Horoscope - Sue Tompkins, Retrograde Planets and Reincarnation - Donald H. Yott,  Discover the Aspect Pattern in Your Birth Chart : A Comprehensive Guide - Glenn Mitchell, The Astrology of Family Dynamics, Retrograde Planets: Traversing the Inner Landscape - Erin Sullivan. 

เมื่อได้หนังสือมาผมได้ลองทำนายดวงชะตาผมตามแนว Karmic Astrology ถือว่าแม่นยำ ๑๐๐ % โดยเฉพาะการอธิบายถึงความหมายดาวเสาร์ ดาวราหู ดาวยูเรนัส ดาวพลูโตที่แสดงถึงกรรมที่ทำให้เราต้องมาเกิดใหม่ในชาตินี้เพราะอะไร เราต้องมาเรียนรู้อะไร อะไรคือสิ่งที่เราเรียนไม่ผ่านมาตลอดทุกชาติ (กรรมซ้ำซาก-เกณฑ์-มุมฉาก) แล้วเราจะแก้ไขวิบากกรรมนั้นได้อย่างไร พูดง่ายๆ คือ "ฉันมาเกิดทำไม" หรือ "บทเรียนของฉันในชาตินี้คืออะไร" ถือว่าตอบคำถามที่คาใจ-ข้องใจผมได้หมดทุกคำถาม

ต่อมาในปี ๒๕๕๔ จะไปซื้อของ แต่ของไม่มี บังเอิญแวะร้านซีเอ็ด กลับเจอหนังสืออ่านดวงชนะกรรม ของคุณมณฑาณี ตันติสุข ได้แปลและเรียบเรียงจากหนังสือ Symbols of the Soul: Discovering Your Karma Through Astrology เขียนโดย Gina Lake (2000) ผมจึงรีบซื้อทันที แค่อ่านสำนวนก็สะดุดใจ ยิ่งพลิกอ่านก็เข้าใจง่าย ตะลุยอ่านจนจบคืนนั้น ได้คำตอบชีวิตตามที่ต้องการ และที่สงสัยข้องใจมาหลายปี รู้อย่างนี้รอคุณมณฑาณีแปลดีกว่า เสียดายที่หมดเงินไปหมื่นกว่าบาทเพื่อซื้อหนังสือ Karmic Astrology จากต่างประเทศ ทำให้ตอนนั้นไม่เข้าใจหลายตอน เพราะไม่คุ้นกับคำศัพท์ที่ผู้เขียนใช้เมื่อเทียบกับคำศัพท์ทางโหราศาสตร์ของไทย 

จากเหตุการณ์ที่ผมลองใช้ปฏิทินดาราศาสตร์สากล ตัดอายนางศะของลาหิรี แบบนิรยะวิธี ทำให้ผมสามารถย่อยตำราโหราศาสตร์เท่าเล่มเกวียน เหลือเพียงแค่ฝ่ามือเดียว ตามคำสั่งของหลวงพ่อได้ แต่ใช้เวลาเกินกำหนดไปเดือนกว่า ทำให้ผมกล้าสรุปได้ว่า ถ้าเราใช้ปฏิทินดวงดาวที่ถูกต้องตามความเป็นจริงบนท้องฟ้าที่ตามองเห็น เราก็สามารถใช้ตำราโหราศาสตร์ของไทยโบราณแท้ๆ ทำนายได้ใกล้เคียงแม่นยำ (ความแม่นยำขึ้นอยู่กับเจ้าชะตาบอกวันเดือนปี เวลา และสถานที่เกิดได้ตรงแค่ไหน) โดยไม่น้อยหน้าชาวต่างประเทศเลย

แต่ก็ไม่ใช่ว่าการทำนายพยากรณ์ของสำนักต่างๆ จะไม่แม่นยำหรือใกล้เคียงนะครับ แม้ในสมัยก่อนจะขาดอุปกรณ์เครื่องมือในการเฝ้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า แต่ก็มีสูตรคำนวณการโคจรของดวงดาวของบรรพบุรุษที่ตกทอดกันต่อๆมา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเริ่มต้นจากยุคใด สมัยใดกันแน่ แค่นี้ก็ยังใช้ในการทำนายอย่างแม่นยำได้ เท่าที่มีหลักฐานชัดเจนยากต่อการปฏิเสธ เช่น รัชกาลที่ ๔  ท่านมีพระราชหัตถเลขาบันทึกการทำนายทั้งบ้านเมือง และดวงชะตาของพระโอรสธิดาไว้อย่างชัดเจน แม้บางสำนักหรืออาจารย์บางท่านจะไม่มีปฏิทินไว้ผูกดวงชะตา ก็สามารถทายได้แม่นยำ เช่น สมเด็จพระสังฆราชอยู่ วัดสระเกศ, หมอแฉล้ม เลี่ยมเพชรรัตน์, อาจารย์อรุณ เทศถมทรัพย์ เป็นต้น บางคนบางท่านผมเคยเห็นแค่ใช้กราฟชีวิต หรือเลข ๗ ตัว ก็ทายได้แม่นยำไม่แพ้นักโหราศาสตร์เลย บางท่านแค่มีคนมาหา ท่านก็ทักทายและตอบคำถามที่คนนั้นตั้งใจมาถามทันที  (ผมเคยแอบถามท่านว่าท่านใช้ฌานใด หรือวิธีใด ท่านบอกว่าแค่ใช้ดวงดาวตามปฏิทินโหรของวันนั้น และเวลาตามที่คนมาหา ผูกดวงวางลัคนาในใจขึ้นมา บางท่านก็ใช้ยามโหรทายหนู  ผลการทำนายบางทีทำให้ผู้มาพบตกตะลึงไปตามๆกัน เพราะไม่ต้องเอ่ยปากถาม ท่านก็ทายทันทีแม่นมาก ,บางองค์ก็ตอบว่า บางทีแค่หลับตาทำใจให้สงบ(ส่วนมากองค์ใดมีจิตใจเมตตาสูง ใจสงบง่าย) มันจะแว่บขึ้นมาในใจ หรือเป็นภาพขึ้นมาก็มี แล้วท่านก็เอ่ยปากตามที่ท่านแว่บเห็น ส่วนมากผู้ที่มาหาบอกว่า ท่านทักดังตาเห็น) 

สิ่งที่กล่าวมานี้  จึงเป็นคำตอบที่ผมสงสัยมานานว่า  เพราะเหตุใดจึงมีเกร็ดพยากรณ์ทางโหราศาสตร์มากมายหลายรูปแบบ  ตอนนี้ได้คำตอบแล้วว่าเพราะมาจากปฏิทินดวงดาวแบบสุริยาตร์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคลาดเคลื่อน  เมื่อใช้วิธีการที่เรียนมาจากโบราณการทำนายจึงไม่ตรงไม่แม่นยำ แต่ด้วยนักโหราศาสตร์ส่วนมากท่านมีจิตใจที่เมตตา อยากอนุเคราะห์ช่วยเหลือให้คำแนะนำแก่ชาวบ้าน  ซึ่งผมเข้าใจว่าเพราะจิตใจที่มีความเมตตาของท่าน  ทำให้มีอะไรบางอย่างมาดลบันดาลใจให้ท่านคิดค้นหาวิธีมาทำนายจนใกล้เคียงได้ในที่สุด  เมื่อมีคนถามท่านว่าท่านใช้วิธีใด ท่านก็บอกไป ผู้คนก็จดจำไปใช้ในการทำนายบ้าง แต่ก็ไม่สามารถทำนายได้ใกล้เคียงแม่นยำเท่าองค์/คนแรก เพราะคนต่อๆมาขาดความเมตตาเหมือนองค์/คนแรกนั่นเอง  ซึ่งทำให้คนรุ่นหลังมักกล่าวหาว่ากฏเกณ์คำพยากรณ์ของโหรไทยรุ่นหลังเลื่อนลอยไร้ที่มาที่ไป พิสูจน์ไม่ได้ จึงไม่น่าเชื่อถือ

หลังจากผมได้คำตอบที่แน่ใจแล้ว ช่วงต่อมาผมจึงใช้ปฏิทินโหราศาสตร์ของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตรเป็นหลักในการผูกดวงชะตาและวางลัคนา  บางครั้งก็เข้าไปผูกดวงชะตาในเว็บของ https://www.astro.com/horoscope  ซึ่งสะดวกมาก มองเห็นทั้งภาพรวม ลัคนา และมุมสัมพันธ์ของดวงดาวแต่ละดวงได้ชัดเจน  ทำให้ผมสามารถพยากรณ์ได้ง่ายขึ้น   ซึ่งผมก็ขอยืนยันว่าการพยากรณ์โดยใช้ปฏิทินแบบลาหิรี และสากลโดยใช้กฏเกณฑ์โหราศาสตร์ไทยโบราณดั้งเดิม และโหราศาสตร์ Karmic Astrology มาแนะนำได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง สามารถช่วยนักเรียนให้รู้จักตนเอง วางเป้าหมายให้ตรงตามพื้นฐานดวงชะตา บอกวิธีแนวทางปรับปรุงตนเองถ้าอยากให้บรรลุเป้าหมายนั้น  เรียกว่าทำหน้าที่แทนครูแนะแนวได้เลย  แค่ไม่ได้ใช้หลักทางจิตวิทยา แต่ใช้วิธีทางโหราศาสตร์มาช่วยเหลือแนะนำมากกว่า ส่วนมากคำทำนายผมจะเป็นไปในลักษณะวิเคราะห์ชะตาชีวิต ปรับปรุงแก้ไขชีวิตมากกว่าที่จะทำนายว่าจะโชคดี ร่ำรวย ประสบความสำเร็จ ยิ่งตอนหลังได้แนวการทำนายแบบ Karmic Astrology ยิ่งตรงใจผมมากที่สามารถช่วยวิเคราะห์ช่วยเหลือนักเรียน ชาวบ้านได้ทั้งการดำเนินชีวิต และชะตาชีวิตในแง่กรรม  ซึ่งก็ถือได้ว่าวิชาโหราศาสตร์มีคุณค่าจริง ไม่ใช่วิชาโกหกหลอกลวง สามารถช่วยเหลือประชาชนให้ได้คำแนะนำชีวิตที่ดีได้ และมีที่พึ่งตามอัตภาพ  

ประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๔ ลูกศิษย์เก่าคนหนึ่งพาแวะเข้าไปซื้อของในตัวจังหวัดกำแพงเพชร  มีเวลาเหลือจึงเข้าร้านหนังสือ บังเอิญพบกับหนังสือไพ่ยิปซีของคุณขุนทอง อสุนี ณ อยุธยา ตอนแรกแค่พลิกอ่านเฉยๆ เพราะอยากรู้ว่ามันคืออะไร ลูกศิษย์เห็นอ่านอยู่จึงแอบซื้อให้ ตกตอนเย็นลองอ่านจนจบ พอเข้าใจบ้าง ก็ลองใช้ไพ่ยิปซีทำนายตัวเอง ผล ปรากฏว่าแม่นยำมาก (ตอนนั้นยังไม่เข้าใจคำว่าตัดไพ่ พอสับไพ่เสร็จ ก็ตัดออกไปเลย ใช้แค่ที่เหลือ) ถามตั้งแต่ชีวิตในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต พอวางไพ่ตามคำถาม ผมได้จดบันทึกเก็บไว้ พอต่อมาหยิบขึ้นมาอ่านในภายหลัง พบว่าแม่นยำทุกประการ รุ่งขึ้นมีคนเดินผ่านที่พัก จึงหยิบไพ่ขึ้นมาแอบถาม พบว่ามาเกี่ยวกับความตายของลูก พอเขากลับมาก็เลยลองทักเขาว่า ลูกตายหรือ เขาตกใจทั้งๆที่ไม่ได้บอกใคร เขาบอกว่ามาลอยขี้เถ้ากระดูกลูกที่แม่น้ำ ก็เลยลองทายเขาตามที่แอบหยิบไพ่ดู เขาบอกว่าแม่นมาก และจะทำตามที่ผมบอก เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเก็บมาคิดว่า ทำไมไพ่ยิปซีจึงแม่นยำมาก ไม่ต้องใช่วันเวลาเดือนปีเกิดเลยก็ทายได้ คนที่ดูให้ก็ไม่ต้องหยิบไพ่สับไพ่เอง คิดอยู่สัก ๒ วันก็พอได้คำตอบจากหนังสือไพ่ยิปซีนั่นแหละ  เพราะในหนังสือแนะนำว่าให้ใช้มือซ้ายตัดไพ่ หยิบไพ่ (หนังสือบอกว่าเพราะมือซ้ายเป็นมือแห่งหัวใจและโชคชะตา) จากคำแนะนำนี้ ทำให้ผมนึกถึงหลักการทางจิตวิทยาของ Neuropsychology และการแพทย์ที่บอกว่า มือซ้ายสัมพันธ์กับสมองซีกขวาที่ทำงานด้านจิตใต้สำนึกและทำหน้าที่เกี่ยวกับจินตนาการ, ความรู้สึก, สัญชาตญาณ ฯลฯ ก็เลยคิดต่อไปว่าแล้วไพ่ยิปซีแต่ละใบรวม ๗๘ ใบทำหน้าที่อย่างไร ก็เลยนึกถึงระบบคอมพิวเตอร์เอามาเปรียบเทียบว่า คงเหมือนไฟล์ข้อมูลที่เก็บอยู่ จะประมวลผลออกมาก็ตามคำสั่งที่เรียกใช้(คำถามที่ถามไพ่ยิปซี) จากไพ่ยิปซี ๗๘ ใบ และสามารถตั้งคำถามได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สภาพแวดล้อม ขอให้คำถามนั้นชัดเจนอย่างเดียวเท่านั้น  ส่วนการวางเรียงไพ่ทาโรต์แบบ CELTIC CROSS ๑๐ ใบ ที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะสามารถนำไปทำนายได้กว้างขวางและครอบคลุมรายละเอียด  และที่น่าทึ่งก็คือว่า การที่จะให้ไพ่ออกมาซ้ำกันเหมือนกันทุกใบทุกตำแหน่ง จะต้องทำไพ่/สับไพ่ใหม่ประมาณ ๒๕๖ ล้านครั้งขึ้นไป [(ใช้วิธีการคำนวณทางคณิตศาตร์-แฟกทอเรียล (Factorial)]  

สรุปได้ว่า ความแม่นยำของไพ่ทาโรต์(ยิปซี) อยู่ที่ “เราตกลงกับไพ่ไว้เช่นไร”  และ

๑. คำถามต้องชัดเจน จะถามอะไรก็ได้ แต่ต้องเพียงหนึ่งคำถามที่ชัดเจน ๑ คำถามเท่านั้น (ห้ามถามคำถามหลายอย่าง เช่นนึกถามถึงเรื่องชีวิต เงินทอง คู่ครองในครั้งเดียวกัน – ถ้าอยากรู้ทุกเรื่องควรถามว่า “ชีวิตของฉันตอนนี้เป็นอย่างไร” หรือ ถ้าไม่อย่างนั้นก็แยกถามเรื่องคู่ครอง การเงิน ชีวิตครอบครัวในครั้งต่อไปจะดีกว่า)  

๒. ควรนึกคำถามก่อนหยิบไพ่ขึ้นมาสับและตัดไพ่ ขณะสับไพ่ให้มีสมาธิอยู่ที่คำถามนั้น (บางแห่งจึงให้สับเท่าอายุเพื่อมีสมาธิ)

๓. ควรถามคำถามไม่เกิน ๓ คำถามต่อการดู ๑ ครั้ง และไม่ควรถามคำถามเดิมซ้ำอีก (เพื่อทำให้จิตใจแน่วแน่มากขึ้น)

๔. ถ้าได้คำตอบที่ไม่ดีหรือไม่ถูกใจ ควรให้ถามต่อไปว่า “แล้วจะแก้ไขปรับปรุงอย่างไรจึงจะดีขึ้น หรือสมหวังได้”

หลังจากที่ผมใช้วิธีการของไพ่ทาโรต์ช่วยเหลือชี้แนะแก่บุคคลทั่วไป พบว่าได้ผลดีมาก ชัดเจน เจาะจงได้ลึกกว่าโหราศาสตร์  แต่บางทีก็ไม่ได้ผล  เพราะผู้มาขอให้ทำนายบางคนฟุ้งซ่านมาก จิตใจมีแต่ความทุกข์ หมกมุ่นครุ่นคิดแต่ปัญหาที่ตัวเองพบ บางครั้งไพ่ทาโรต์จึงออกสะเปะสะปะตามความฟุ่ซ่านวิตกกังวล ไม่เรียงร้อยคำตอบตามลำดับ(๑-๑๐)  ส่วนโหราศาสตร์ให้คำตอบเรื่องชีวิตในภาพรวมและจุดมุ่งหมายชีวิตที่ชัดเจนกว่า แต่มีจุดอ่อนตรงที่คนไทยที่อายุเกิน ๔๐ ปีขึ้นไป มักบอกวันเดือนปีเวลาเกิดไม่แน่นอน หรือไม่ตรงกับวันเดือนปีเวลาเกิดที่แท้จริง   

.

หมายเหตุความรู้เพิ่มเติม 

มีผู้เคยทดสอบปฏิทินโหราศาสตร์สุริยยาตร์ VS ลาหิรี ด้วยตำแหน่งดาวพุธ (๔) บนท้องฟ้า ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2563  หากเปรียบเทียบข้อมูลของดาวพุธระหว่างปฏิทินแบบลาหิรีและสุริยยาตร์ พบว่าจะมีความแตกต่างกันประมาณ 10 องศา (จากเพจคุณปฏิทรรศน์ นานา, 15 Aug. 20) 

แล้วดาวพุธจริงในท้องฟ้าเป็นอย่างไร ?   คำตอบ คือ  ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์ใกล้กับดวงอาทิตย์มาก มีระยะเชิงมุมห่างจากดวงอาทิตย์ไม่เกิน 28 องศา ซึ่งหมายถึงตำแหน่งปรากฎของดาวพุธ จะอยู่ใกล้กับขอบฟ้า ซึ่งมันก็ยากที่จะสังเกตเห็นด้วยตาเปล่ากัน แต่ปัจจุบันมี Application ทางดาราศาสตร์ เป็นแอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับการดูดาวบนท้องฟ้า เป็น App. จำพวกท้องฟ้าจำลอง (Satellitium) มีให้เลือกใช้งานกันมากมาย เราจะเลือกใช้ App. เหล่านี้ในการทดสอบตำแหน่งดาวพุธ ตามวันเวลาข้างต้น โดยเลือกการตั้งค่าโลเกชั่นสังเกตการณ์ที่ กรุงเทพมหานคร เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นตรงขอบฟ้าพอดี 6.05 น. ของวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๓  

       -ตามปฏิทินโหราศาสตร์แบบสุริยาตร์ ดาวพุธ(๔) จรอยู่ต้นราศีสิงห์ องศาที่ ๔ กว่าๆ 

       -ตามปฏิทินโหราศาสตร์แบบลาหิรี ดาวพุธ(๔) จรอยู่ปลายราศีกรกฎ องศาที่ ๒๕ กว่าๆ

จาก ๒ กรณี เมื่อเทียบดาวพุธ (๔) กับตำแหน่งของดวงอาทิตย์(๑) พบว่าแบบสุริยยาตร์ ดาวพุธ(๔) โคจรล้ำหน้าดวงอาทิตย์(๑) ไปแล้ว โดยสถิตย์ในราศีสิงห์ ในขณะที่แบบลาหิรี ดาวพุธ(๔) ยังตามหลังดวงอาทิตย์(๑) สถิตที่ราศีกรกฎ

จากการแสดงผลของ App. ท้องฟ้าจำลองที่เลือกใช้จำนวน 2 App. คือ "Star rover" และ "Astro app" ก็พบว่าตำแหน่งของดาวพุธ (Mercury) เดินตามหลังดวงอาทิตย์ (Sun) ทั้ง 2 App. การแสดงผลเป็นไปตามตำแหน่งของกลุ่มดาวจักรราศีที่เป็นฉากหลังทุกประการ  สรุปผลการศึกษา พบว่า การแสดงผลของดาวพุธตาม App. ทั้ง ๒  เป็นไปตามปฏิทินโหราศาสตร์ แบบลาหิรีอย่างชัดเจน……

ปฏิทินโหราศาสตร์ไทย แบบลาหิรี เป็นการนำเอาปฏิทินดาราศาสตร์มาตัดค่าอายนางศ์ (เพื่อย้อนกลับจุดเริ่มต้นราศีเมษ แบบจักรราศีคงที่) ดังนั้นในทางทษฎี ค่าพิกัดของดวงดาวจึงตรงตามท้องฟ้าจริงตามฐานข้อมูลดาราศาสตร์อยู่แล้ว ในขณะที่ปฏิทินแบบสุริยาตร์เป็นปฏิทินดาวคำนวณ ตามสูตรการคำนวณของโหราจารย์ในสมัยก่อน ซึ่งก็ถือว่าให้ผลที่ใกล้เคียงในระดับหนึ่ง แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ดวงดาวก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เราพบความแตกต่างดวงดาวระหว่างปฏิทินฯและท้องฟ้าจริง ผู้ศึกษาโหราศาสตร์จึงไม่ควรละเลย  และในปัจจุบันมีเทคโนโลยี โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่ช่วยให้เราศึกษาหาความจริงได้สะดวกขึ้น  จะช่วยให้เราไม่ต้องหาคำตอบจากคำถามที่ตั้งกันซ้ำๆอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า " ปฏิทินสุริยยาตร์ หรือ ปฏิทินลาหิรี อย่างไหนจะถูกต้องกว่ากัน ?"

ปฏิทินโหราศาสตร์ไทยนิรายนะวิธีชุดนี้ คำนวณสมผุสดาวตัดอายนางศะ แบบลาหิรี ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๐๐-๒๗๐๐ และเนื่องจากความแตกต่างกันของปฏิทินโหราศาสตร์ไทยแต่ละชุดหรือแต่ละเล่ม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องให้ตรงกัน และทราบถึงที่มาที่ไป รูปแบบ กฎเกณฑ์ ข้อกำหนดของปฏิทิน  ผมขอสรุปเป็นข้อ ๆ ดังนี้

1. ปฏิทินโหราศาสตร์ไทยชุดนี้ คำนวณตำแหน่งดาวระบบดาราศาสตร์ นิรายนะวิธี (Fixed Zodiac) ตัดอายนางศะ แบบลาหิรี , อายนางศะ ในระบบนิรายนะ มีหลายแบบเช่น ลาหิรี ฟาเก้น กฤษณามูรติ ฯลฯ โดยอายนางศะ แบบ ลาหิรี นิยมใช้ในระบบปฏิทินโหราศาสตร์ไทย นิรายนะ มากที่สุด , คำนวณสมผุส ณ เวลา 07:00น. ตามเวลามาตรฐานประเทศไทย (UTC+07:00) , เวลาจันทร์ยก เวลาฤกษ์ ดิถี เวลาดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงจันทร์ฯ แสดงเป็น เวลามาตรฐานประเทศไทย (UTC+07:00) ทั้งหมด ซึ่งใช้ จ.อุบลราชธานี ที่เส้นลองจิจูด 105° ตะวันออก เป็นจุดอ้างอิงเวลา

เนื่องจากเวลามาตรฐานประเทศไทย (UTC+07:00) เริ่มใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน พ.ศ.2463 ก่อนนี้ ประเทศไทยยังใช้เวลาท้องถิ่นกรุงเทพฯ (UTC+06:42) เป็นเวลามาตรฐาน ดังนั้นการใช้ปฏิทินฯ ก่อน 1 เมษายน พ.ศ.2463 ต้องปรับฐานเวลามาตรฐานที่ใช้ในช่วงเวลานั้น ๆ คือเวลาท้องถิ่นกรุงเทพฯ (UTC+06:42) โดยนำเวลามาตรฐานฯ (UTC+07:00) ลบออก 18 นาที (เวลา 18 นาที เป็นส่วนต่างเวลา ของ จ.กรุงเทพฯ และ จ.อุบลราชธานี คำนวณตามลองจิจูด)

2. ช่วงเวลาย้ายราศี ย้ายฤกษ์ ย้ายดิถี ของดาวในปฏิทินโหรฯ ชุดนี้ คำนวณราศี ฤกษ์ดิถี ทุกนาที ตั้งแต่ 00.00น.-24.00น. (1,440 นาที) ของแต่ละวัน นำสมผุสเปรียบเทียบนาทีต่อนาที เพื่อหาเวลานาที ย้ายราศี ย้ายฤกษ์ดิถี จริง , การแสดงเวลาย้ายฤกษ์ ย้ายดิถี เพื่อให้เข้าใจง่ายในการใช้งาน ปฏิทินชุดนี้ แสดงเป็นเวลามาตรฐาน เช่น ย้ายฤกษ์ 02:00น. หมายถึง เวลา 02:00น. ของวันนั้นปฏิทิน ๆ ตามเวลามาตรฐานประเทศไทย (UTC+07:00)

วิธีการอธิบายช่วงเวลาย้ายฤกษ์ ย้ายดิถี (หลัง 1 เมษายน พ.ศ.2463) อาจแตกต่างปฏิทินรายวันของสำนักอื่น ๆ ซึ่งหากเวลาย้ายฤกษ์ก่อนจุดคำนวณปฏิทิน 07:00น. สำนักอื่น ๆ อาจแสดงเวลาย้ายในปฏิทินวันก่อนหน้า และหมายเหตุในปฏิทินวันรุ่งขึ้น , สอบทานผลคำนวณดาวย้ายราศี ย้ายฤกษ์ดิถี ละเอียดระดับวินาทีได้ใน จักรราศีวิภาค ลัคนาฤกษ์ ของปฏิทินวันนั้น ๆ หรือ ดูดวง โหราศาสตร์ไทย

3. สมผุสเกตุไทย (๙) ในปฏิทินปฏิทินโหราศาสตร์ไทย นิรายนะวิธี ชุดนี้ เป็นผลคำนวณจากคัมภีร์สุริยยาตร์ ตั้งจุดคำนวณ ณ เวลา 07:00/24:00น. เวลามาตรฐานประเทศไทย , เลือกแสดงสมผุสราหูเฉลี่ย (๘) หรือราหูจริง (☊) และ สมผุสเกตุไทย (๙) หรือเกตุสากล (☋) ได้ โดยสมผุสราหูจริง (☊) และเกตุสากล (☋) คำนวณระบบดาราศาสตร์ นิรายนะวิธีปรกติ, สมผุสแบคคัส (บ) คำนวณระบบดาราศาสตร์ นิรายนะวิธี ผลสมผุสแตกต่างจากแบคคัสในโหราศาสตร์ระบบ อ.พลูหลวง

4. ดาวโคจรวิปริต/วิกลคติ มี 3 แบบ คือ พักร์ (พ.) ดาวโคจรถอยหลัง , มณฑ์ (ม.) ดาวโคจรช้ากว่าปรกติ เกิดช่วงก่อนและหลังพักร์ และ เสริต (ส.) ดาวโคจรเร็วกว่าปรกติ , ผลดาวโคจรวิปริตในปฏิทินโหรฯ ชุดนี้ การโคจรวิปริตพักร์ พิจารณาองศา ความเร็ว ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับวันก่อนหน้า ส่วน มณฑ์ และ เสริต พิจารณาเปรียบเทียบความเร็วการโคจรกับค่าความเร็วเฉลี่ยต่อวัน , หากใช้การโคจรวิปริต ดู กราฟดาว/ดาวย้ายราศี นิรายนะวิธี ลาหิรี พ.ศ.2567 ประกอบ ว่าการโคจรวิปริตรอบนั้น ๆ อยู่ช่วงเริ่มต้นหรือใกล้สิ้นสุด เพื่อพิจารณาเลือกใช้ได้เหมาะสม

5. กฎเกณฑ์การคำนวณ จากตำราหรือข้อมูลดังนี้ (1.) คำนวนตำแหน่งดวงดาว ตามระบบดาราศาสตร์ ตัดอายนางศะ แบบ ลาหิรี , (2.) คัมภีร์สุริยยาตรแลมานัตต์ ฉบับเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้า (คำนวณสมผุสเกตุ/เกตไทย) อ.วรพล ไม้สน , (3.) ปฎิทินโหราศาสตร์ไทย (นิรายะนะวิธี) อ.เทพย์ สาริกบุตร ใช้สอบทานข้อมูลที่ได้จากการประมวลผล , ปฏิทินโหรฯ ชุดนี้ในบางปีได้วางตากลไว้เพื่อตรวจสอบการละเมิดฯ

6. การคำนวณตำแหน่งหรือสมผุสดาว ในระบบโหราศาสตร์แบ่งเป็น 2 ระบบหลัก คือ "นิรายนะ" (Sideral Zodiac / Fixed Zodiac) และ "สายนะ" (Tropical Zodiac / Movable Zodiac) ทั้ง 2 ระบบแตกต่างตรงจุดเริ่มราศีเมษ , เดิมทั้ง 2 ระบบใช้กลุ่มดาวแกะ เป็นจุดเริ่มต้นราศีเมษ 0° เหตุเนื่องจากแกนโลกที่หมุนเอียงและเหวี่ยง (Precession) ส่งผลให้จุดเมษหรือจุดวสันตวิษุวัต (Vernal Equinox) ซึ่งเดิมเคยอยู่ตรงกลุ่มดาวแกะ เคลื่อนที่ออกห่าง ส่งผลให้การสังเกตการณ์ ตำแหน่งดาวเทียบกับดาวฤกษ์ท้องฟ้าเปลี่ยนไป , แนวคิดระบบนิรายนะ นั้นอ้างอิงตำแหน่งดาวฤกษ์หรือกลุ่มดาวแกะแบบเดิม เป็นจุดเริ่มต้นราศีเมษ อาทิตย์ยกเข้าราศีประมาณวันที่ 13 - 17 ของแต่ละเดือน , ส่วนระบบสายนะ ใช้จุดเริ่มต้นราศีเมษ ตามจุดวสันตวิษุวัตที่เปลี่ยนไป ระบบสายนะ อาทิตย์ยกเข้าราศีประมาณวันที่ 21 - 22 ของแต่ละเดือน , ดังนั้นดาวดวงเดียวกันตำแหน่งเดียวกันบนฟ้า การอ่าน องศา ราศี ทั้ง 2 ระบบผลต่างกัน โดยองศาระยะห่างเท่ากับค่าอายนางศะ (Precession) ซึ่งปัจจุบันอายนางศะ (ลาหิรี) ประมาณ 24° และค่อยเพิ่มประมาณ 1 องศาทุก ๆ 72 ปี (ปีละประมาณ 50 พิลิปดา) , ปฏิทินโหราศาสตร์ นิรายนะวิธี ใช้ใน โหราศาสตร์ไทย โหราศาสตร์ตะวันออก พระเวท อินเดียส่วนระบบสายนะ ใช้ใน ระบบดาราศาสตร์ (Astronomy) โหราศาสตร์สากล (Traditional Astrology) โหราศาสตร์ตะวันตก โหราศาสตร์ยูเรเนียน (Uranian Astrology) เป็นต้น

ปฏิทินโหราศาสตร์ไทยที่นิยมใช้กัน มี 2 แบบ คือ (1) ปฏิทินโหราศาสตร์ไทย สุริยยาตร์ เป็นปฏิทินโหราศาสตร์ไทยแบบดั้งเดิม คำนวณตามคัมภีร์สุริยยาตร์และคัมภีร์มานัตต์  และ (2) ปฏิทินโหราศาสตร์ไทย นิรายนะวิธี ลาหิรี เป็นปฏิทินโหราศาสตร์ไทย คำนวณตามระบบดาราศาสตร์สากล นิรายนะวิธี (Fixed Zodiac) ตัดอายนางศะ แบบลาหิรี , ทั้งนี้ชื่อเรียกวิธีคำนวณต่างกัน แต่โดยหลักการ ปฏิทินโหราศาสตร์ไทยสุริยยาตร์ จัดเป็นระบบนิรายนะ ใช้กลุ่มดาวแกะ เป็นจุดเริ่มต้นราศีเมษแบบเดียวกัน แต่หากดูตามชื่อเรียกอาจเข้าใจว่าเป็นคนละแบบ

7. กฎเกณฑ์ปฏิทินจันทรคติไทย การนับปีนักษัตร ปีศักราช ข้อกำหนดต่างๆ ดูได้ที่ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2

หมายเลขบันทึก: 718256เขียนเมื่อ 17 พฤษภาคม 2024 16:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 พฤษภาคม 2024 18:13 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท