สรุป รีวิวสารคดี Crime Scene Berlin: Nightlife Killer ฆาตกรราตรีแห่งเบอร์ลิน (2024 netflix)


สรุป รีวิวสารคดี Crime Scene Berlin: Nightlife Killer ฆาตกรราตรีแห่งเบอร์ลิน (2024 netflix)

ดูคลิปนี้ได้ที่นี่

#เกริ่นนำ
ก็นับว่าเป็นสารคดีอาชญากรรมถือว่าเป็นซีรีส์เรือธงของ Netflix ที่นำเสนอมาแล้วสี่คดีนับว่าโด่งดังมาก ๆ ประกอบด้วย Crime Scene: The Vanishing at the Cecil: การหายตัวไปที่โรงแรมเซซิล เล่าเรื่องราวของเอลิซ่า แลม นักศึกษาสัญชาติเอเชียที่ต้องการอยากจะท่องโลกจึงไปพักที่โรงแรม เซซิล แล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย การสรุปว่าเธอน่าจะมึนเมาจากสารเสพจิด เกิดประสาทหลอนแล้วก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าเข้าไปซ่อนตัวในแทงค์น้ำแล้วก็เสียขีวิตอยู่ในนั้น หรือ Crime Scene: The Times Square Killer ฆาตกรไทม์สแควร์ ที่เล่าเรื่องราวการถูกฆาตกรรมของผู้หญิงกลางทำงานคืนในย่านไทม์สแควร์หลายคนในช่วงยุคปี 60's - 80's  โดยฝีมือของ ริชาร์ด คอตติ้งแฮม โดยสรุปคดีว่าก่อเหตุฆาตกรรมอย่างเป็นทางการ 11 คน แต่เขาอ้างว่าได้กระทำการฆาตกรรมระหว่าง 85 ถึง 100 คน และ Crime Scene: The Texas Killing Fields: ทุ่งสังหารแห่งแท๊กซัส เล่าเริ่องราวของการฆาตกรรมที่ยังไม่คลี่คลายของผู้หญิงสี่คน และอีกหลายคนที่ระบุตัวตนไม่ได้ในเท็กซัสในช่วงทศวรรษที่ 80's และ 90's ในพื้นที่ที่เรียกว่า Texas Killing Fields ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองลีกซิตี้ รัฐเท็กซัส ดังนั้นจากตัวอย่างสามสารคดีอาชญากรรมภายใต้ซีรีส์ Crime Scene ที่กล่าวไปข้างต้นจึงเป็นเครื่องการันตีได้ว่า Crime Scene Berlin: Nightlife Killer ฆาตกรราตรีแห่งเบอร์ลิน น่าจะมีความสนใจอยู่ไม่น้อยและควรค่าแก่การรับชมอย่างยิ่ง ถึงเรื่องราวจะเป็นยังไง ทางซุปเปอร์รีวิวชาแนลของเราก็จะขอเล่าเรื่อง และรีวิวอย่างละเอียดยิบเลยครับ

#เนื้อเรื่อง
Crime Scene Berlin: Nightlife Killer (2024 Netflix) ฆาตกรราตรีแห่งเบอร์ลิน เปิดเรื่องมาที่กรุงเบอร์ลินมหานครที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในประเทศเยอรมนี เป็นเมืองแห่งค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงสี แหล่งบันเทิงเริงรมย์ เสียงเพลง ที่ไม่เคยเงียบ ปาร์ตี้สุดเหวี่ยง และเป็นที้ปลดปล่อยของชาว LGBTQi+ ซึ่งถ้าใครก็ตามต้องการอยากจะหาความสุขแบบไม่มีขีดจำกัด มีแต่กรุงเบอร์ลินเท่านั้นที่สามารถตอบสนองได้ เพราะคลับในเบอร์ลินหลายแห่งเสนอให้ชาว LGBTQi+ เข้าถึง "ห้องมืด" ได้ไม่จำกัด ซึ่งเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่เปิดเผยตัวตนกับคนแปลกหน้า นี่คือสวรรค์หรือแหล่งปลดปล่อยอันเป็นที่เฉพาะโดยแท้ จนมีคำกล่าวที่ว่า

"อะไรก็ตามที่เบอร์ลินทำได้ ก็จะมีแต่เบอร์ลินเท่านั้นที่ทำได้"

#นิคกี้เหยื่อคนที่สอง
แต่แล้วในวันที่ 5 พฤษภาคม 2012 เวลา 6:25 นาฬิกา ที่กรอสส์ ฟรีไฮต์ 114 ควีนและผองเพื่อน ผับสำหรับกลุ่ม LGBTQi+ โดยเฉพาะ สถานีตำรวจกรุงเบอร์ลินได้รับแจ้งจากพนักงานร้าน โดยมีมัทธีอัส บาร์เทนเดอร์ของร้านเป็นตัวแทนมาเล่าว่า มันเป็นค่ำคืนวันศุกร์โดยทั่วไป ที่จะมีกลุ่มรักร่วมเพศจำนวนมากเข้ามาใช้บริการ แต่หลังจากที่ร้านปิดแล้ว เพื่อนพนักงานก็พบศพของชายคนหนึ่ง นอนนิ่งอยู่ในห้องมืด ซึ่งเป็นห้องที่สร้างขึ้นมาสำหรับให้นักท่องเที่ยวเข้าไปมีเพศสัมพันธ์กันได้อย่างอิสระ แต่ครั้งแรกที่พบเขาไม่รู้ว่าชายคนนั้นเสียชีวิตแล้ว คิดว่าเมาหนักจนสลบไป พยายามปลุกให้ตื่นก็ไม่ตื่น เขาวางแก้วน้ำไว้ข้าง ๆ แล้วบอกว่าจะกลับมาภายใน 10 นาที แต่เมื่อเขากลับมา พบว่าผิวของชายคนนั้นก็เปลี่ยนสีไปแล้วจึงรู้ว่าเสียชีวิต เบื้องต้นคิดว่ามันอาจเป็นอุบัติเหตุจากกิจกรรมทางเพศ หรือยาเสพติดหรือดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หรือทุกอย่างรวมกัน ก็ได้ จึงได้โทรศัพท์เรียก ตำรวจถูกเรียกมายังที่เกิดเหตุ หลังจากตรวจสภาพแวดล้อมเบื้องต้น พบว่ามีกระดาษทิชชู่อยู่รอบ ๆ และมีถุงยางอนามัยใข้แล้วอยู่เต็ม ก็ไม่พบหลักฐานหรือระบุตัวชายคนดังกล่าวได้เลย จึงเรียกว่า “จอห์น โด”

เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพพบหลักฐานการบีบคอ แต่ไม่มีสิ่งใดบ่งชี้ถึงการต่อสู้ นั่นหมายความว่าเหยื่อกับฆาตกรรู้จักกัน

พนักงานคนหนึ่งจำได้ว่าเขาเป็นขาประจำที่ทำงานการตลาด เมื่อตำรวจกลับไปที่บาร์พร้อมรูปถ่ายของเหยื่อ เขาถูกระบุว่าคือ นิคกี้ มิลเลอร์ วัย 32 ปี

อังคา ฮิลเกิร์ต น้องสาวของนิกกี้ เล่าว่าเขามีโลกสองใบิกใบหนึ่งเป็นชายธรรมดา และอีกใบเขาเป็น LGBTQi+ ในผับบาร์ในเบอร์ลินเขาเป็นที่รักของทุกคน มักจะ "สวมวิกแล้วเดินไปมาเหมือนผู้หญิง และบางครั้งก็สวมรองเท้าส้นสูง"

แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่พิสูจน์ได้ว่าการตายของนิกกี้ เป็นการฆาตกรรม แต่เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ ดร. สเวน ฮาร์ทวิก ยอมรับว่าพวกเขาไม่สามารถแยกแยะความเป็นไปได้ที่เหยื่อจะถูกวางยาพิษได้ เพราะตรวจหาสารพิษไม่พบ แม้แต่สารเสพติดก็ไม่พบ พบแต่เพียงแอลกอฮอล์ในเลือดเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบหลักฐานในที่เกิดเหตุเบื้องต้นก็พบว่า กระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือของนิกกี้ที่หายไปด้วย และเมื่อทำการตรวจสอบการใช้บัตรเครดิตก็พบว่ามีการใช้บัตรที่สถานีรถไฟ วอร์ชัวเออร์ (Warschauer Str.) เป็นการพยายามใช้บัตรเครดิตในการซื้อตั๋วรถไฟถึง 2 ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้เพราะว่าไม่มีรหัส ตำรวจจึงรีบเดินทางไปที่สถานีรถไฟและไปดูกล้องวงจรปิด จึงพบผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีดำ กำลังทำการซื้อตั๋วรถไฟที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ แต่เนื่องจาก กล้องไม่ชัดจึงไม่สามารถระบุตัวตนได้อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นมันก็เกิดขึ้นหลังการเสียชีวิตของนิกกี้ผ่านไปเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

#มิโรสลาฟเหยื่อคนที่สาม
การสืบสวนที่ก้าวหน้าเกิดขึ้นเมื่อ มิโรสลาฟ วาวัก เหยื่อเป้าหมายรายหนึ่งรอดชีวิตจากการโจมตี โดยที่เขาตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนงงในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หมอและพยาบาลกำลังดูแลเขาอยู่ เขาแจ้งว่าหมดสติไปก่อนหน้านี้และพบว่าบัตรเครดิตและเงินสดของเขาถูกขโมยไปด้วย เขาจึงแจ้งตำรวจ และเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้น

การเผชิญหน้ากับฆาตกรเริ่มต้นขึ้นระหว่างทางกลับบ้านในค่ำคืนนั้น เมื่อมิโรสลาฟจำได้ว่าแวะซื้อเบียร์และเหล้าเปปเปอร์มินต์ขวดเล็กก่อนและซื้อตั๋วรถไฟเพื่อนั่งรถไฟกลับบ้าน

เขาอยู่คนเดียวในชานชาลา จากนั้นมีชายคนหนึ่งในชุดวอร์มสีดำเข้ามาหาเขา เขาน่าจะอยู่ในช่วงวัยสามสิบต้น ๆ และพวกเขาก็เริ่มคุยกัน มิโรสลาฟรู้สึกว่าชายแปลกหน้าคนนี้ มีปฏิสัมพันธ์ดี พูดจาเก่งและดูเป็นมิตร

ขณะที่พวกเขาเดินทางด้วยกัน คนแปลกหน้าเสนอว่าจะแลกเครื่องดื่มเปปเปอร์มินต์เป็นเหล้ายินหนึ่งขวดไหม ซึ่งมิโรสลอว์ยอมรับแล้วก็ดื่มมัน ทันทีที่ดื่มแล้วก็รู้สึกเหมือนหัวกำลังจะระเบิด เมื่อลงจากรถไฟมิโรสลาฟก็เกินไม่เป็นทรง สติสัมปชัญญะก็เริ่มขาดหายไป ชายแปลกหน้าบอกเขาว่า ตอนนี้มาถึงเบอร์ลิน เขารู้ทาง และจะพาไปที่ป้ายรถเมล์

ผ่านไปสักพักมิโรสลาฟก็ทนไม่ไหว รู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หน้าผากของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ

จากนั้นชายแปลกหน้าก็เดินเข้ามาประครอง วางมือบนหลังของมิโรสลาฟ สอดมือของเขาไว้ในเสื้อ และคลำหาไปรอบ ๆ และทำทีถามว่า "คุณรู้สึกไม่สบายหรือไม่?” จากนั้นชายแปลกหน้าก็วางร่างมิโรสลาฟเอาไว้บนถนนเส้นนั้น

ชายแปลกหน้าได้ขโมยกระเป๋าเงินของมิโรสลาฟไป ใช้บัตรอีกใบที่ขโมยมาจากมิโรสลาฟซื้อตั๋วรถไฟ

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ในสถานีรถไฟที่ทั้งสองคนได้ไปเจอกันและพูดคุยกันนั้นล้วนแต่ถูกบันทึกเอาไว้ด้วยกล้องวงจรปิดของสถานีรถไฟ เพราะมิโรสลาฟจำหมายเลขชานชาลาและเวลาที่เขาเดินทางได้ในเวลาต่อมา ช่วยให้ตำรวจระบุกล้องวงจรปิดที่ถูกต้องได้ ซึ่งหมายความว่าในที่สุดตำรวจก็ได้ภาพของชายที่พวกเขาตามหาแล้ว แต่นั่นมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมายนะเพราะกล้องวงจรปิดไม่ชัด ตำรวจก็เลยต้องใช้ไม้เด็ดในการ เผยแพร่ภาพจากกล้องวงจรปิดนี้ไปสู่สาธารณชนผ่านทางรายการโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์หวังว่าใครก็ตามที่เคยเห็นเขาจะเข้ามาแจ้งเบาะแสกับทางตำรวจ

และในขณะเดียวกันแพทย์ก็ได้ทำการตรวจเลือดของมิโรสลาฟ เพื่อหาสารพิษและสารเสพติด ครั้งนี้ทางทีมแพทย์ก็ได้พบว่าสารพิษที่อยู่ในร่างกายของมิโรสลาฟ มันก็คือยาเสพติดชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอีน้ำ หรือสาร GHB ขนาดร้ายแรง

และเมื่อทางแพทย์ชันสูตรได้กลับไปตรวจหาสารพิษยาอีน้ำนี้ในร่างของนิกกี้ก็พบเช่นกัน ตอนนี้ตำรวจสามารถสร้างความเชื่อมโยงระหว่างชายสองคนได้แล้ว

#อเล็กซานเดอร์เหยื่อคนที่หนึ่ง
สามสัปดาห์ก่อนที่นิกกี้จะเสียชีวิตในห้องมืด ชายคนหนึ่งชื่อ อเล็กซานเดอร์ อายุ 34 ปี ถูกพบเสียชีวิตในอพาร์ตเมนต์ของเขาเอง ที่เมืองมิตเต หลังจากที่ เรจิน่า ลัค ยายของเขาได้รับแจ้งว่าเขาไม่ได้ไปทำงาน ซึ่งเธอโทรหาแม่ของเขาให้ไปดูที่อพาร์ทเมนต์ จบพบว่าเขานอนตายอยู่บนเตียงของตัวเองโดยใส่กางเกงชั้นในตัวเดียว นอนคว่ำหน้าและถูกห่มด้วยผ้าห่ม

สารวัตร ลาชเค่ ผู้ดูแลคดีนี้กล่าวว่าร่างของอเล็กซานเดอร์ไม่ได้ถูกแตะต้องหรือทำให้เสียหาย และไม่มีสัญญาณของการดิ้นรนต่อสู้ก่อนเสียชีวิต เมียเพียงโทรศัพท์ไอโฟนและกระเป๋าสตางค์ของเขาหายไป และแน่นอนว่า การชันสูตรพลิกศพในเบื้องต้นไม่สามารถยืนยันสาเหตุการเสียชีวิตได้ แต่ท้ายที่สุดก็พบว่าเขาได้รับ ยาอีน้ำหรือ GHB เป็นจำนวนมาก และในภายหลังก็รู้ว่าหลังจากชายแปลกหน้าได้ทำการสังหารอเล็กซานเดอร์แล้ว เขาก็เอาเสื้อแจ็คเก็ตของอเล็กซานเดอร์ไปใส่ ซึ่งเสื้อแจ็คเก็ตตัวนี้นี่แหละที่เขา เอาไปใส่และก่อคดีฆาตกรรมในห้องมืด และเอาไปก่อคดีพยายามฆ่าที่สถานีรถไฟ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าฆาตกรมีพฤติกรรมที่ต้องการแสดงให้เห็นว่าเขามีอำนาจเหนือเหยื่อของเขาอย่างเด็ดขาด เมื่อทำการสังหารแล้วจะต้องเอาสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่งติดตัวไปด้วย อย่างเช่นชายที่ถูกฆาตกรรมในห้องมืดนั้นถูกนำโทรกระเป๋าสตางค์ไป มิโรสลาฟก็ถูกเอากระเป๋าสตางค์ไป

ตำรวจสามารถสืบจากการใช้โทรศัพท์ของอเล็กซานเดอร์ได้ว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการส่งข้อความไปหาชายคนหนึ่ง จากนั้นก็มีการนัดแนะกันให้มาพบที่อพาร์ทเม้นท์ของเขา ทั้งสองคนก่อนหน้านี้ได้รู้จักกันจากโลกออนไลน์ โดยชายคนนั้นใช้ชื่อ เดิร์ก พี. (Dirk P.) ในห้องสนทนาออนไลน์นั่นเอง

และแน่นอนว่าเมื่อมีการพบเหยื่อคดีฆาตกรรม ที่มีการเสียชีวิตที่เหมือนกัน มีรูปแบบเดียวกัน นั่นก็ทำให้ตำรวจเบอร์ลิน รับรู้ว่า ได้เผชิญหน้าเข้ากับฆาตกรต่อเนื่องเข้าแล้ว

#ปีเตอร์เหยื่อคนที่สี่
หลังจากการก่อเหตุฆาตกรรมนิกกี้ในห้องมืดที่กรอสส์ ฟรีไฮต์ 114 ควีนและผองเพื่อน มีการพบศพชายอีกคนหนึ่งชื่อปีเตอร์ อายุ 41 ปีถูกฆาตกรรมในอพาร์ตเมนต์ของเขาเอง ตำรวจพบปีเตอร์นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงของเขา ในลักษณะท่าทางเดียวกับอเล็กซานเดอร์ และการชันสูตรพลิกศพในเวลาต่อมาพบว่าเขามีพบสาร GHB ในปริมาณสูงในระบบของเขาเช่นกัน

ต่อมาเดิร์ก พี.ได้สารภาพว่าเขารู้จักปีเตอร์ผ่านโลกออนไลน์ โดยที่ปีเตอร์ได้ใช้ชื่อว่ามาริโอ แล้วทั้งสองก็จะตัดสินใจมาเจอกันแล้วก็นัดกันมาพบในอพาร์ทเม้นท์ของปีเตอร์  ทั้งสองนั่งคุยกัน จากนั้นเดิร์ก พี.ก็ได้ผสมยาอีน้ำในเครื่องดื่มให้ปีเตอร์กิน เขาวางร่างปีเตอร์ไว้บนเตียงในลักษณะนอนคว่ำ แล้วก็ห่มผ้าห่มให้เป็นอย่างดี เขาได้นำเสื้อแจ็คเก็ตของเขารวมถึงกระเป๋าสตางค์และบัตรเครดิตของเขาไปด้วยของเขาไปด้วย

#การจับกุมฆาตกรต่อเนื่อง
ย้อนกลับไปจากการสืบหาข้อมูลจากโทรศัพท์ของอเล็กซานเดอร์ ที่พบว่ามีการส่งข้อมูลนัดแนะพบกับผู้ชายที่ใช้นามปากกาว่า เดิร์ก พี. อายุ 38 ปี ตำรวจจึงได้นำกำลังไปจับกุมจบพบค้นที่อพาร์ทเม้นท์ของเขาทัน พบว่ามีขวดยาอีน้ำอยู่ในตู้ การสอบสวนในเวลาต่อมา ฆาตกรยอมรับว่าเขาตั้งใจวาง "ขวดแก้วยาอีน้ำ" ลงบนโต๊ะในห้องนั่งเล่นของเหยื่ออย่างโจ่งแจ้งก่อนจะให้ดื่มเครื่องดื่ม

ส่วนการค้นห้องพบขวดเหล้า "ไคลเนอร์ ฟักลิง ชแนปส์ ในตู้ภายในอพาร์ทเม้นท์ของเขานั้น มันก็คือความตั้งใจของเดิร์ก พี. ที่ต้องการจะให้ตำรวจมาพบ เพราะเขาที่พูดในภายหลังว่าเขาต้องการจะหยุดการฆ่าของเขา ซึ่งไม่สามารถทำได้เลย เขาฆ่าคนโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีแรงจูงใจ เพียงแค่ว่าต้องการจะฆ่าเท่านั้น ทำให้เดิร์ก พี. ได้ฆ่าคนไปแล้ว 3 คน และพยายามฆ่าอีก 1 คน จนถึงปัจจุบัน นั่นก็กินระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนกว่า ๆ เท่านั้นเอง

#เหยื่อคนที่ 0.5
เดิร์ก พี. มีชีวิตในวัยเด็กอาศัยอยู่ที่ซาร์บรึคเดิน ห่างจากกรุงเบอร์ลินถึง 788 กิโลเมตร เบิร์กล์ท หญิงที่มีอายุมากกว่าเดิร์ก พี. ถึงสิบปี พ่อและแม่ของเธอก็มีศักดิ์เสมือนเป็นตาและยายของเดิร์กด้วยและมีสถานะเสมือนเป็นน้าของเขาได้เล่าเรื่องราวของเดิร์กในวัยเด็กว่า

เดิร์ก มาอาศัยอยู่ ในบ้านพ่อและแม่ของเบิร์กล์ทตลอดเวลา เขาเป็นเด็กที่นิสัยดี สุภาพ เรียบร้อยและมีความเป็นกันเอง เมื่อเขามีอายุ 13 ปี มันตรงกับจังหวะที่พ่อของเบิร์กล์ทเสียชีวิต วันหนึ่งเบิร์กล์ทกลับมาบ้านเห็นว่าเดิร์ก อยู่ในห้องนอนของพ่อแม่เธอ ห่มผ้าห่มที่พ่อของเธอเอาไว้ใช้นอน และที่เลวร้ายก็คือ เดิร์กใส่ชุดของพ่อเธอนอนอยู่บนเตียงกับแม่ของเธอด้วย แต่เธอก็ไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แม้จะสงสัยว่าเขากล้าดียังไงถึงขึ้นมานอนบนเตียงพ่อกับแม่เธอ แล้วเธอก็คิดว่าน่าจะเป็นคำสั่งของแม่เธอที่สั่งให้เดิร์กทำเช่นนี้ นั่นทำให้เดิร์กกลายเป็นตัวแทนของพ่อ และแม่ของเธอต้องการให้เดิร์กชดเชยสิ่งที่เธอขาดหายไปนั่นคือสามีของแม่นั่นเอง

เมื่อโตขึ้นเดิร์กเปิดเผยตัวตนอย่างไม่ปิดดังว่าเขาเป็น LGBTQi+ เคยเป็นครูฝึกหัดที่โรงเรียนประถมในบรันเดนบูร์ก ก่อนจะมาเป็นหน่วยแพทย์ เขาเคร่งศาสนา ชอบไปที่โบสถ์ ยืนอยู่หน้าสมาชิกและชอบอ่านคัมภีร์ไบเบิล แต่ผู้คนในโบสถ์ไม่ยอมรับเขาและถูกประณามจากทางโบสถ์ นั่นทำให้แม่ของเบิร์กล์ทรู้ จากความรักให้ที่มอบให้กับ เด็กชายคนนี้เสมอมาก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นความขยะแขยง และเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะอาศัยร่วมอยู่กับเดิร์กต่อไป

แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดเหตุที่ทำให้แม่ของเบิร์กล์ทเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา ในวันที่เธอตายเดิร์กอยู่กับเธอด้วย ซึ่งก่อนตายเธอได้นอนลงบนเตียงและบอกว่าเธอไม่สบายอย่างมาก จากนั้นเดิร์กก็พบว่าเธอนอนตายอยู่บนเตียง ต่อมาเดิร์ก ก็ได้โทรศัพท์ไปเรียกหมอซึ่งหมอที่มานั้นไม่ใช่หมอประจำครอบครัวและไม่ใช่หมอประจำตัวของเธอเลย และคนที่ถูกเรียกต่อมาก็คือสัปเหร่อ วันรุ่งขึ้นแม่ก็นอนอยู่ในโรงศพแล้ว และก็ถูกจัดงานศพด้วยการฝังอย่างรวดเร็ว

นั่นทำให้คิดว่า แม่ของเบิร์กล์ทน่าจะเป็นเหยื่อของเดิร์กคนแรก และเธอนี่แหละเป็นคนถูกวางยาด้วยการใส่ลงไปในอาหารหรือเครื่องดื่ม

ต่อมาในภายหลัง หลังจากที่มีการจับกุมเดิร์กแล้ว ร่างของแม่ของเบิร์ก ก็ถูกขุดขึ้นมาแล้วทำการชันสูตรศพใหม่ พบว่ามีสารตกค้างในร่างกายของเธอ ซึ่งเป็นตัวยาที่ใช้สำหรับการเตรียมผ่าตัด เป็นยาที่ใช้ในการคลายความกังวลทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าอยากพักผ่อนกระตุ้นการนอนหลับ ซึ่งสามารถหาได้ในโรงพยาบาล ซึ่งแน่นอนว่าเดิร์กก็มีความรู้เกี่ยวความรู้เกี่ยวกับผลกระทบร้ายแรงของ  GHB และพัฒนานำมาใช้เป็นสารพิษในการก่อเหตุฆาตกรรมชาย 3 คนและพยายามฆ่าอีก 1 คนในปี 2012 อย่างไรก็ตามการเสียชีวิตของคุณยายของเดิร์ก หรือหลักฐานที่ได้จากการชันสูตรศพของเธอนั้น ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในการดำเนินคดีฆาตกรรมอีกหนึ่งราย เพราะทางทีมอัยการบอกว่าคดีฆาตกรรม 3 รายในเบอร์รีนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เดิร์ก พี. ถูกดำเนินคดี ติดคุกตลอดชีวิตแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไปแล้ว

หลักจากการเสียชีวิตของยายเดิร์กก็เลยต้องย้ายหนีจากซาร์บรึคเดินไปกรุงเบอร์ลิน และเดิร์กก็ได้ปฏิญาณกับตนเองว่า

"ผมไม่ได้อยากเป็นเกย์ ผมก็กลัวที่จะเป็นคนนอกเหมือนกัน ผมก็เลยเลิกไปสถานที่ที่ผมจะตกหลุมรักผู้ชายได้ แผนของผมคือไม่ยอมรับรสนิยมทางเพศของตัวเอง แน่นอนว่ามันได้ผลไม่นาน..."

#การพิจารณาดำเนินคดี
วันแรกของการพิจารณาคดีตรงกับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2013 เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมิโรสลาฟ วาวัก เหยื่อเป้าหมายรายหนึ่งรอดชีวิตจากการโจมตี ก็เข้าไปในห้องพิจารณาคดีในฐานะโจทก์ร่วมด้วย ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนที่กำลังจะพยายามฆ่าเขาเมื่อ 1 ปีที่แล้วแบบตาต่อตา และญาติของเหยื่อทุกคนก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่ห้อง และเมื่อตัวของเดิร์ก พี. ถูกนำตัวเข้ามาที่ห้องพิจารณาคดี เขาก็รีบนำแฟ้มมาปิดบังที่ใบหน้าของเขา ไม่ยอมให้สื่อมวลชนถ่ายรูป แต่เมื่อสื่อมวลชนออกไปแล้วโจทก์ร่วมทุกคนก็ได้เห็นหน้าตาของชายที่เป็นฆาตกร ทุกต้องไปที่ดวงตาของเขา และคิดว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาถูกดำเนินคดีให้ได้นานที่สุด แต่เดิร์กไม่ยอมสบตา

ตามรายงานของสำนักข่าวเยอรมนี  Tagesspiegel เดิร์ก พี. ถูกศาลตัดสินในข้อหาการก่อคดีฆาตกรสามราย ลักทรัพย์ และคดีพยายามฆ่า 2 ราย ในระหว่างการพิจารณาคดี ผู้กระทำผิดพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อชะลอการพิจารณาคดีออกไป และอ้างว่าสภาพจิตของตนไม่เหมาะที่จะเข้ารับการพิจารณาคดีแบบคนปกติ แต่ศาลกลับปฏิเสธ เดิร์ก พี. เพราะพฤติกรรมของเขาขัดแย้งกับคำพูดตัวเองในศาล และอ้างว่าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับผลกระทบอันร้ายแรงของการใช้ยาอีน้ำ และแม้ว่าเงินปล้นทั้งหมดจากอาชญากรรมของ เดิร์ก พี. จะอยู่ที่ 500 ยูโรเท่านั้น แต่ศาลเยอรมันเชื่อว่าความโลภเป็นแรงจูงใจหลักในการก่อเหตุฆาตกรรม ในระหว่าพิจารณาคดี เดิร์ก พี. ไม่แสดงความสำนึกผิดต่อเหยื่อเลย และยังมองว่าตัวเองเป็นเหยื่อเองด้วยซ้ำ

เดิร์ก พี. ถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตในเดือนมิถุนายน 2013 โดยฆาตกรวัย 39 ปีนี้จะต้องรับโทษจำคุกอย่างน้อย 25 ปี แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าเหตุใด เขาจึงวางยาพิษเหยื่อของเขา แต่เป็นไปได้มากว่าความโลภเป็นเหตุจูงใจ

อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาปีเตอร์ ชูสเตอร์ ระบุในคำตัดสินของเขา เดิร์กได้กล่าวว่า "เขายังต้องการรู้สึกถึงอำนาจทั้งหมดเหนือผู้อื่นและมีความสุขไปกับมัน"

ต่อมา วันที่ 28 มีนาคม 2014 เคิร์ก พี. ได้ปลิดชีวิตตัวเองขณะที่เขาถูกคุมขังในคุก

#บทวิจารณ์สารคดี
ก็นับว่า สารคดี Crime Scene Berlin: Nightlife Killer ฆาตกรราตรีแห่งเบอร์ลิน (2024 netflix) ก็นับว่าเป็นสารคดีอาชญากรรมในชีรีส์ Crime Scene ลำดับที่ 4 ของ Netflix แล้วถ้าใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของสารคดีชุดนี้ก็จะรู้ว่าเอกลักษณ์ของการนำเสนอนั้นไม่ใช่เพียงแค่นำเสนอเหตุการณ์การก่ออาชญากรรม ไม่เป็นเพียงแค่นำเสนอประวัติความเป็นมาภูมิหลังหรือแรงจูงใจของฆาตกรหนึ่งเท่านั้น แต่ทางทีมสร้างก็ยังนำเสนอถึงพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการก่อคดีอาชญากรรมด้วย เสมือนกับว่าพื้นที่หรือสถานที่นั้นเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญที่ไม่สามารถแยกออกไปจากตัวฆาตกรต่อเนื่องได้เลย

เช่นใน Crime Scene: The Vanishing at the Cecil: การหายตัวไปที่โรงแรมเซซิล เล่าเรื่องราวของเอลิซ่า แลม หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา ในขณะที่เธอพักที่ โรงแรม เซซิล ที่ถือว่าเป็นโรงแรมในลอสแอนเจลิสที่มีประวัติอาชญากรรม ต่อเนื่องยาวนานหลายปี ทางสารคดีก็เลยนำเสนอประวัติของโรงแรมอย่างละเอียดยิบ จนกลายเป็นเสน่ห์ที่สำคัญที่เสริมเรื่องราวให้กับทางเนื้อหาของสารคดีเป็นอย่างมาก

หรือใน Crime Scene: The Times Square Killer ฆาตกรไทม์สแควร์ ที่เล่าเรื่องราว ประวัติของ Times Square ที่ก่อนหน้านี้ทำหน้าที่เป็นสถานเริงรมย์และเป็นที่ปลดปล่อยอารมณ์เปลี่ยวของชายในนิยอร์ค จนทำให้เกิดเหตุ อาชญากรรมจำนวนมากและภายหลังจึงถูกพัฒนาการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแทน

และ Crime Scene: The Texas Killing Fields: ทุ่งสังหารแห่งแท๊กซัส เล่าเรื่องราวของการฆาตกรรมที่ยังไม่คลี่คลายของผู้หญิงหลายคนในเท็กซัสในช่วงทศวรรษที่ 80 และ 90 ที่จนถึงปัจจุบันนั้นก็ยังไม่มีการจับตัวของฆาตกรได้เลย จึงทำให้เป็นสารคดีที่มีตัวเอกของเรื่องเป็นสถานที่มากกว่าตัวของฆาตกรซะอีก

แต่เมื่อมาถึงสารคดี Crime Scene Berlin: Nightlife Killer ฆาตกรราตรีแห่งเบอร์ลิน (2024 netflix) ที่เล่าเรื่องราวการก่อคดีฆาตกรรมรักร่วมเพศในกรุงเบอร์ลิน แต่ส่วนตัวกับรู้สึกว่าทีมสร้างเล่าเรื่องราวถึงสถานเริงรมยในกรุงเบอร์ลินน้อยมาก กรุงเบอร์ลินมีสถานะเป็นเพียงแค่ตัวประกอบฉาก หาได้เป็นตัวละครสำคัญของเนื้อเรื่องไม่ ส่วนตัวจึงรู้สึกว่าเสน่ห์ ของสารคดี Crime Scene นั้นได้หายไปมาก ๆ ความน่าสนใจก็ลดลงไปด้วย มุ่งเน้นไปที่เหตุการณ์และการตามล่าตัวฆาตกรมากเกินไป จนรู้สึกว่าสารคดีมีเนื้อหาที่ขาดมิติไปพอสมควร

สารคดีนำเสนอมุมมองหรือมิติของ เดิร์ก พี.น้อยมาก  เราจะ ได้เห็นเฉพาะที่ทางทีมสร้าง ได้นำคำให้การของฆาตกรมาใช้เสริมเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่องเพียงเท่านั้น เช่นนำมาใช้เสริมถึงความขัดแย้งทางความคิด ความพยายามจะเอาชนะเพื่อให้ตัวเองไม่สังหารเหยื่อ หรือแสดงให้เห็นเพียงแค่ว่าตนเองนั้น ไม่อยากอยู่ในสถานะของความเป็น LGBTQi+ ซึ่งถ้าหากเอามาเทียบกับการนำเสนอมุมมองหรือมิติของตัวฆาตกรนั้น ดาห์เมอร์ Conversation with a Killer : The Jeffrey Dahmer Tapes เล่าเรื่องราวของเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ ที่นำเสนอโดย netflix ทำออกมาได้ดีกว่ามาก ๆ เพราะสารคดีชุดนี้ต้องการจะเข้าถึงจิตใจของตัวฆาตกรมากกว่าจะนำเสนอกระบวนการหรือช่วงเวลาในการก่อเหตุฆาตกรรม ดังนั้นจากการดูสารคดีเราจึงรับรู้เพียงว่า เดิร์ก พี.
ย้ายไปอยู่ที่กรุงเบอร์ลินเพราะต้องการมาอยู่ในเมืองใหญ่  แต่เขาก็ยังดิ้นรนกับการเป็นข่มการเป็น LGBTQi+ เอาไว้ และเขาเริ่มก่อเหตุฆาตกรรมด้วยอาการไม่มั่นคงทางจิตใจ การได้เห็นคนอื่นตายทำให้เขาพึงพอใจและกระตุ้นให้เกิดการสังหารต่อเท่านั้นเอง

ในด้านของการนำเสนอนั้นก็เป็นไปตามรูปแบบของภาพยนตร์สารคดีอาชญากรรมทั่วไป ที่นำบทสัมภาษณ์ของผู้คนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นทีมตำรวจผู้ทำคดี ไม่ว่าจะเป็นทีมแพทย์ชันสูตร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานของเหยื่อ หรือญาติของเหยื่อ แล้วนำภาพเหตุการณ์จริง ภาพเหตุการณ์จำลอง มาประกอบเรื่อง ซึ่งก็ยังถือว่ามีความดีงามเพราะเราได้เห็นมุมมองที่หลากหลาย เดี๋ยวเสียดายตรงที่เราได้เห็นมุมมองของตัวฆาตกรนั้นน้อยเกินไป

การลำดับเรื่องก็ถือว่าดีมาก ที่นี่เขาไม่ได้เริ่มต้นแบบทื่อๆที่จะมาเล่าเรื่องราวในวัยเด็กของตัวฆาตกรและไปจบในที่คดีสุดท้าย แต่ทีมสารคดีได้เล่าเรื่องจากเหตุการณ์ใหญ่ก่อน แล้วก็เริ่มสาวไปในเหตุการณ์ข้างเคียง หรือเหตุการณ์ที่นำไปสู่การจับกุม ดังนั้นเราจึงไม่ได้เห็นลำดับของการสังหารเหยื่อ แต่นี่ก็ถือว่าเป็นไม้เด็ดที่ทำให้เราดูสารคดีแล้วไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและอยากจะรู้ต่อไปเรื่อย ๆ จากนั้นสารคดีก็ไปจบตรงที่ประวัติในวัยเด็กของตัวฆาตกร และเหตุการณ์สำคัญที่หล่อหลอมให้กลายมาเป็นฆาตกรในปัจจุบัน

นอกจากนี้ส่วนตัวชอบมาก ๆ ก็คือการนำเสนอภาพที่เกิดขึ้นใน สารคดี มีการถ่ายภาพจัดองค์ประกอบศิลป์ที่สวยมาก การนำเสนอภาพเบลอ ๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นว่าฆาตกรนั้นมีความสับสนภายในใจ ภาพของสถานที่ที่ล่อแหลมไม่ว่าจะเป็นบาร์รับเฉพาะนั้นก็พยายามถ่ายให้ไม่มีความโจ่งแจ้งเกินไป ที่สำคัญมันมีศิลปะของความเป็นองค์ประกอบศิลป์อยู่เยอะซะด้วย ดังนั้นการนำเสนอภาพในมุมที่สวย ๆ การนำเสนอในแสงสีที่จัดมาดีแล้ว ก็ถือว่าเป็นหนึ่งเอกลักษณ์ที่สำคัญของสารคดีชุด Crime Scene ด้วยเช่นกัน

#บทสรุป
อย่างไรก็ตามการเลือกคดีมาทำเป็นสารคดีในชุดนี้สำหรับเรื่อง Crime Scene Berlin: Nightlife Killer ฆาตกรราตรีแห่งเบอร์ลิน แม้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการออกก่ออาชญากรรมแบบต่อเนื่อง แต่ก็มีเนื้อหาที่ค่อนข้างเบาเกินไปหากเปรียบเทียบกับสารคดีชุดเดียวกันที่นำมาออกอากาศก่อนหน้านี้ แม้ว่าฆาตกรจะลงมือสังหารเหยื่ออย่างเลือดเย็นก็ตาม แต่การจัดการกับศพของเหยื่อนั้นไม่ใช่โหดร้ายไปกว่าสารคดีก่อนหน้านี้เลย ดังนั้นใครมาสายโหดอาชญากรรมก็อาจจะผิดหวังไป แต่อย่างน้อยที่สุดการดูสารคดีเรื่องนี้จบไปแล้วมันก็ไม่ได้ทำให้หดหู่ใจจนค้างอยู่ในหัวนานเกินไป ดูแล้วเราก็ไม่จิตตกจนเกินไปมากนักนั่นเอง

สารคดี นำเสนอในรูปแบบภาษาเยอรมันและไม่มีพากษ์ไทย ออกฉายเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2024 ซึ่งสามารถรับชมได้ ตอนนี้ทาง Netflix

เนื่องจาก Crime Scene Berlin: Nightlife Killer ฆาตกรราตรีแห่งเบอร์ลิน ถูกนำเสนอในภาพยนต์เชิงสารคดี จึงขอสงวนสิทธิ์การให้คะแนนความชอบมา ณ ที่นี้

@วาทิน ศานติ์ สันติ 
04042024

#SuperReviewChannel
#CrimeSceneBerlinNightlifeKiller
#CrimeSceneBerlinNightlifeKiller2024
#CrimeSceneBerlinNightlifeKillerNetflix
#ฆาตกรราตรีแห่งเบอร์ลิน
#สารคดีฆาตกรราตรีแห่งเบอร์ลินNetflix
#สารคดีชุดCrimeScene
#ฆาตกรห้องมืดแห่งเบอร์ลิน
#เดิร์กพี
#AnetflixDocumentary
#สารคดีอาชญากรรมจากNetflix

หมายเลขบันทึก: 717831เขียนเมื่อ 6 เมษายน 2024 22:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน 2024 22:52 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท